ราชาซากศพ - บทที่ 370 รวมตัวปรมาจารย์
บทที่ 370
รวมตัวปรมาจารย์
”โอ้…เป็นหลานชายของท่าน หลงหลี่ หลงฉีถอนหายใจด้วยใบหน้าขมขื่นและกล่าวทวนคำพูด
”หลี่เอ๋อ … ” ฝานเหวินหยูร้องไห้ออกมาอย่างเศร้า ๆ ดวงตาของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ และมีน้ำตาไหลเป็นสายที่หางตาของนาง
”หลงฉี! ร่างของหลงหลี่อยู่ที่ใด ? หลงชิงหยางถามด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย และริมฝีปากสั่นเทา
”ฮ่าฮ่า…ตาเฒ่าชิงหยาง! เด็กคนนั้นเป็นหลานชายของท่านหรือ หืม..ข้าขออภัยจริง ๆข้าไม่รู้มาก่อน….แต่ศพหรือ? ท่านเห็นหรือไม่…มันอยู่ตรงนั้น” กัวห้วยหัวเราะสองครั้ง แล้วเอื้อมมือชี้ออกไปยังกองเนื้อและเลือดบนสนามประลอง
คำพูดของเขา เผยให้เห็นถึงท่าทางยั่วยุ
“ พรึ่บ หลงชิงหยางมองตามทิศทางของนิ้วของกัวห้วย เขาพบกับแอ่งเนื้อบนสนามประลอง ใบหน้าของหลงชิงหยางเปลี่ยนไปอีกครั้ง รูม่านตาของเขาขยายออก จากนั้นก็หดตัวในทันที และกลายเป็นทึมทื่อ
จากนั้นเขาก็หันศีรษะ และมองกลับไปยังกัวห้วย ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น และกำหมัดแน่น
“ เจ้ากล้าสังหารหลานชายข้า …ข้าจะให้เจ้าชดใช้ด้วยชีวิต” หลงชิงหยางคำรามในปากของเขา เจตนาสังหารที่น่าสยดสยองถูกปล่อยออกมาจากร่างกายของเขาทันที เช่นเดียวกับเทพแห่งความตายที่คืบคลานออกมาจาก ทะเลซากศพ
”ช่างน่ากลัวยิ่งนัก! หลงชิงหยางคนนี้ได้สังหารผู้คนมากมาย มาเป็นเวลาหลายปี จนเขามีจิตวิญญาณสังหารที่กล้าแข็งเช่นนี้” หลินเว่ยรำพึงรำพันกับตัวเอง
“ หวือ!” ฝานเหวินหยูระเบิดพลังออกจากร่างกายของนาง จากนั้นรีบวิ่งไปที่สนามประลอง และทรุดตัวลงตรงหน้าแอ่งเนื้อ และค่อยๆยื่นมือที่สั่นเทาออกมา
แม้ว่าจะยังคงมีเลือดเนื้อของไท่ซานอยู่บนสนามประลองด้วย แต่ฝานเหวินหยูสามารถบอกได้อย่างรวดเร็วว่า ที่ใกล้กันนั้น คือหลานชายของนาง แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องยาก เนื่องจากยังมีเสื้อผ้าขาด ๆ อยู่ในกองเนื้อ และแอ่งเนื้อทั้งสองกอง
ฝานเหวินหยูหยิบกล่องไม้ออกมา และหอบเศษเนื้อและกระดูกของหลงหลี่ทั้งหมด ลงในแหวนมิติอย่างระมัดระวัง จากนั้นนางก็มองขึ้นไปบนท้องฟ้าทันที นางถือดาบยาวไว้ในมือ และค่อยๆ ลอยก็ไปบนท้องฟ้า นางมุ่งสังหารกัวห้วย
โดยไร้คำพูดใดๆ ดวงตาของนางกลายเป็นสีแดงก่ำ และเต็มไปด้วยความเกลียดชังที่ไม่มีที่สิ้นสุด
“ ผู้อาวุโสหลงฉี กัวห้วยผู้นี้จะต้องถูกฆ่าตายด้วยฝีมือของข้าและภรรยา หลังจากเราสังหารกัวห้วยแล้ว เรารีบจะกลับมาเพื่อช่วยเจ้าตกลงหรือไม่?” หลงชิงหยางกัดฟันและพูดกับหลงฉี
”ไม่มีปัญหา! มอบเหมิงโซ่วให้พวกเราจัดการ หลงฉีพยักหน้าและยืนยัน
ในครั้งนี้ หลงฉีไม่ได้ปกป้องหลงหลี่ และปล่อยให้อีกฝ่ายถูกสังหารอาณาเขตของตนเอง ไม่ว่าอย่างไร มันก็เป็นการละทิ้งหน้าที่ของเขา นี่คือเหตุผลที่ หลงฉียืนยันตั้งแต่แรกว่า จะต้องสังหารกัวห้วยและคนอื่นให้ได้
”หวืด! อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้มีร่างทั้งสี่เหาะออกมาจากที่นั่งตัดสิน ซึ่งเป็นผู้ตัดสินที่เหลืออีกสี่คน
”ฮิฮิ! คนมากรุมคนน้อย เป็นเช่นนี้ก็ไม่สนุกสิ!” กู่หรูซี ที่มีท่าทางเย้ายวน กล่าวด้วยรอยยิ้ม
”กู่หรูซี! เจ้าหมายถึงอะไร?” หลงฉีคิ้วขมวดท่าทางเย็นชา เอ่ยถามท่าทีของนาง ภายในใจของเขาปรากฏร่องรอยของลางสังหรณ์ที่ไม่ดี
”หมายความว่าอย่างไร? เจ้าไม่เห็นหรือพวกเราคือกลุ่มเดียวกัน” เหมิงโซ่วเอ่ยปากด้วยความภาคภูมิใจ
ในเวลานี้ฝานเหวินหยูนั้นยืนอยู่กับหลงชิงหยาง เมื่อเทียบกับฝานเหวินหยูแล้ว นางไม่คิดอะไรทั้งสิ้น และมุ่งมั่นที่แก้แค้นให้หลานชายเท่านั้น ส่วนหลงชิงหยางนั้นสงบกว่ามาก
แม้ว่าหัวใจของเขาจะเต็มไปด้วยความเกลียดชังต่อกัวห้วย แต่อย่างน้อยเขาก็สามารถแยกแยะสถานการณ์ได้
ทางฝ่ายของกัวห้วย เขาคืออรหันต์ระดับเก้า ที่ยืนเผชิญหน้ากับหลงชิงหยางที่ภายในขอบคิดถึงการสังหารกัวห้วยกับฝานเหวินหยู สำหรับเหมิงโซ่ว เขามอบให้ อรหันต์ ระดับแปด จำนวนหลายคน เป็นคนจัดการ ซึ่งเขามองว่ามันไม่น่าจะเป็นปัญหา
อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้มี กู่หรูซีและคนอื่น ๆ เข้าร่วมการต่อสู้ด้วย ทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไปมาก เนื่องจาก กู่หรูซีและสมาชิกทั้งสี่ของนาง และกัวห้วย มีอรหันต์ระดับสูงจำนวนหกคน ในขณะที่ทั้งสามอาณาจักร มีอรหันต์ ระดับเก้าเพียงสองคน
แม้ว่าหลงฉีเองจะมี อรหันต์ระดับแปด อยู่หลายคน แต่ช่องว่างความแข็งแกร่งนั้นใหญ่เกินไป
เมื่อเผชิญกับพลังกดขี่ของกัวห้วย และอรหันต์ทั้งหกของเขา ใบหน้าของผู้คนจากสามอาณาจักรเต็มไปด้วยความหวาดกลัว และสั่นเทาอยู่ภายในใจ
”เกิดอะไรขึ้น?” ตั้งแต่เมื่อใดที่พวกเจ้าลอบสมคบคิดชั่วร้ายเช่นนี้ “หลงฉีพูดเสียงสั่นเครือ
“ อย่ามาว่าร้ายพวกเรา! สมรู้ร่วมคิดคืออะไร? ตอนนี้พวกเขาทั้งสี่คน เป็นแขกผู้อาวุโสของวิหารเร้นลับของข้า” กัวห้วยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ ผู้อาวุโสเค่อชิง? เป็นไปได้อย่างไร ด้วยความแข็งแกร่งของท่าน ในตอนนี้ยังมีอะไรที่ทำให้ท่านตื่นเต้นและเต็มใจที่จะสละอิสรภาพ เพื่อไปอยู่กับคนชั่วช้าอย่างกัวห้วย?” หลี่ซานส่ายหัวและกล่าวด้วยความไม่เชื่อ
”ฮ่าฮ่า ง่ายๆ เพียงต้องการทะลวงด่านไปยังเทพสงคราม” กัวห้วยหัวเราะเบา ๆ สองครั้ง และกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ เทพสงคราม? ข้าคิดว่าเขากำลังหลอกลวงพวกเขา ความสามารถเช่นเจ้าจะสามารถทำให้พวกมันทะลวงขอบเขตได้อย่างไร?” หลงฉีผงกหัวทันที แล้วถามด้วยใบหน้างงงวย
คำพูดของหลงฉี ล้วนมีความหมายของการยั่วยุ แม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าด้วยประสบการณ์ของกู่หรูซี ที่แข็งแกร่ง เป็นไปไม่ได้ที่จะถูกล่อลวงจากวิหารเร้นลับได้
จากนั้นหลงฉีพบว่า กู่หรูซีและอีกสี่คน หลังจากได้ยินคำพูดของเขา การแสดงออกบนใบหน้าของพวกเขาก็ไม่เปลี่ยนไป เห็นได้ชัดว่าคำพูดของพวกเขาไม่ได้กระทบจิตใจเลยแม้แต่น้อย
”เอาล่ะ! อย่าคิดที่จะถ่วงเวลา พวกเจ้าไม่มีใครที่จะรอดชีวิตไปได้
“ หวือ … !” ทันทีที่สิ้นเสียงของกัวห้วย มีร่างจำนวนมาก เหาะมาจากทุกทิศหลายสิบคน หากตัดสินจากลมปราณทั้งหมด ล้วนเป็นขั้นอรหันต์ทั้งสิ้น
”ฮ่าฮ่า! มันสายไปแล้ว! กำลังเสริมของพวกเรามาแล้ว ในตอนนี้ดูสิว่า มีอรหันต์มากมายเพียงใด! พวกเจ้าและคนของข้า ต่างก็มีจำนวนไม่แตกต่างกันแล้ว” เมื่อเห็นร่างที่ผุดมาจากทุกทิศทุกทาง
จิตใจของหลงฉีก็โล่งใจ ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็แสดงสีหน้าตื่นเต้น และกล่าวพร้อมกับหัวเราะ
ไม่นานหลังจากที่เขาพูดจบ ปรากฏว่ามีคนจำนวนหนึ่งมารวมตัวกัน เป็นหนึ่งในสามอาณาจักรใหญ่ ผู้นำทั้งสามอาณาจักร ล้วนเป็นผู้ฝึกฝนอรหันต์ระดับสูงสุด มีอรหันต์มากกว่า 20 คนในระดับเจ็ด และระดับแปด
และส่วนที่เหลืออยู่ใน ช่วงกลางของอรหันต์
เมื่อเป็นเช่นนี้ สถานการณ์ของทั้งสองฝ่ายก็พลันเปลี่ยนไปอีกครั้ง ด้วยหลงชิงหยาง และฝานเหวินหยู ทั้งสามอาณาจักรมีปรมาจารย์ทั้งสิ้นห้าคน ที่อยู่ระดับบนสุดของขั้นอรหันต์ แม้ว่าจะยังมีปรมาจารย์น้อยกว่า
กัวห้วยเพียงหนึ่งคน แต่ก็มีขั้นอรหันต์มากกว่า 30 คน ระดับแปด ซึ่งสามารถหักล้างกับจำนวนคนที่น้อยกว่าได้ และถือว่ายังได้เปรียบเล็กน้อย
”หลงฉี! เกิดอะไรขึ้น จึงเรียกตัวเราทุกคนมายังที่นี่?” ชายชราถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
”อาวุโส! เรื่องมันเป็นเช่นนี้ … ” เมื่อได้ยินคำพูดของชายชรา และเห็นผู้คนที่เข้ามาเป็นกำลังสนับสนุนให้เขา ทุกคนต่างมองมาที่หลงฉีด้วยความงงงวย บนใบหน้าของเขา หลงฉีจึงไม่รอช้ารีบเล่าเรื่องราวทั้งหมดอย่างรวดเร็ว
หลังจากฟังคำบรรยายของหลงฉี ทุกคนต่างก็พยักหน้า พวกเขาไม่สนใจชีวิตหรือความตายของหลงหลี่ อย่างไรก็ตาม เมื่อกัวห้วยสร้างปัญหาในเมืองเหยียนจิง พวกเขาจึงต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อเป็นการรักษาหน้า
ดังนั้นจึงมีคนจำนวนมาก ร้องด้วยความไม่พอใจ และตั้งใจจะสั่งสอนบทเรียนแก่วิหารเร้นลับ
”ฮ่าฮ่า! นอกจากปรมาจารย์เฉียน และ หลานจ้านแล้ว ยังมีจื่อหลงจากสถานศึกษาเฉียนคุน หลินหยูจากสถานศึกษาฉือเมิ่ง และผางซู จากสถานศึกษาไห่หลาน ก็อยู่ที่นี่ทั้งหมด กล่าวคือ ปรมาจารย์ทุกคนอยู่ภายในเมืองเหยียนจิงต่างก็อยู่ที่นี่แล้ว ”
เมื่อเห็นว่าหลงฉีกำลังสนับสนุนมากมาย แต่กัวห้วยก็ไม่รู้สึกกังวลใด ๆ แต่เขาทำท่าราวกับบรรลุเป้าหมาย และพูดด้วยใบหน้าหยอกล้อ
”ฮึ่ม! เมื่อได้ยินคำพูดลึกลับของกัวห้วยและเห็นท่าทางของอีกฝ่าย หัวใจของหลงฉีต่างก็กระสับกระส่ายด้วยความรู้สึกไม่สบายใจอีกครั้ง ราวกับว่าเหตุการณ์นี้อยู่ในการคาดเดาของอีกฝ่าย แต่ใบหน้าของเขานั้นราบเรียบและส่งเสียงพึมพำเย็นชา
”หืม?” กัวห้วยปรากฏรอยยิ้มลึกลับบนใบหน้าของเขา และพูดด้วยรอยยิ้ม: “เดิมที เราต้องการแก้ปัญหาหลังจากการแข่งขันนี้จบลงและตั้งใจว่าจะเก็บกวาดผู้เชี่ยวชาญในเมือง เหยียนจิงทั้งหมด ข้านั้นชื่นชมผู้ที่มีความสามารถมากที่สุด แต่หากข้าพบคนที่ไม่ถูกใจ ข้าเองก็อดไม่ได้ ที่จะสังหารพวกมัน แต่ในตอนนี้ มันช่วยให้ข้าประหยัดเวลาไปมาก จะได้ไม่ต้องตามหาทีละคน ไม่ว่าใครก็หนีไม่พ้น ”
หลังจากนั้น กัวห้วยคว้าพลุสัญญาณออกมาและจุดพลุส่งสัญญาณทันที
”ระเบิดสัญญาณ เจ้ามีผู้สมรู้ร่วมคิดอีกงั้นหรือ?” ใบหน้าของหลงฉีเปลี่ยนไป เขาดูแปลกใจและตะโกนออกมา
”นั่นเป็นเรื่องธรรมดา เจ้าคงไม่คิดว่า ข้าจะสามารถเอาชนะได้ด้วยกำลังของเรา หรือร้องขอชีวิตจากเจ้างั้นหรือ? ” กัวห้วยพยักหน้าและกล่าว
”นี่มัน…”
เมื่อได้ยินคำพูดของกัวห้วย ทุกคนต่างก็ขมวดคิ้วและรู้สึกวูบโหวงในใจ จากคำพูดของกัวห้วย พวกเขารู้สึกว่าอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความมั่นใจสำหรับการต่อสู้ครั้งต่อไป ด้วยเหตุนี้ผู้คนจึงอดไม่ได้ที่จะคาดเดาในใจว่า อีกฝ่ายมีกำลังเสริมจำนวนเท่าใด และความแข็งแกร่งของพวกเขาจะแข็งแกร่งมากเพียงใด
แม้ว่าจะไม่รู้ว่า กัวห้วยนั้นมีแผนใดในใจ แต่หนึ่งในสามอาณาจักรกำลังตื่นตัว อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีใครเริ่มเข้าโจมตีกัวห้วย พวกเขาไม่ได้โง่เขลา เนื่องจากสถานการณ์ก็ไม่เอื้ออำนวยต่อพวกเขา
“ ฟิว!”
ในช่วงเวลาแห่งความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่าย ปรากฏร่างที่สะดุดตา จากระยะไกล ๆ และกำลังใกล้เข้ามา ทุกคนพบว่าผู้มาเยือนนั้น แต่งตัวคล้ายทหารรักษาเมือง ใบหน้าของเขาซีดเผือด มือข้างหนึ่งไม่มีเรี่ยวแรง
ตาข้างนึงปิดลงมา มุมปากของเขายังคงเปื้อนเลือด และใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวล