ราชาซากศพ - บทที่ 368 กลับมา
บทที่ 368
กลับมา?
”ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างผิดปกติ?!” หลินเว่ยมองไปที่ กัวห้วย และคนอื่น ๆ ที่รายล้อมพวกเขา เขาเห็นว่าอีกฝ่ายนิ่งสงบ ภายใต้สถานการณ์ที่รุนแรงเช่นนี้ คิ้วของหลินเว่ยขมวด และเขาขบคิดกับตัวเอง
ท้ายที่สุดแล้ว กัวห้วยและผู้แข็งแกร่งคนอื่นในอาณาจักรมืดโบราณ เป็นเพียงอรหันต์ขั้นแปด และมีนักรบสามคนที่อยู่ช่วงกลางของขั้นอรหันต์ สำหรับนักรบระดับจักรพรรดิเหล่านั้น ล้วนไม่ต้องพูดถึง
ในทางกลับกัน มีคนเกือบ 20 คน ในสามอาณาจักร ในหมู่พวกเขามีปรมาจารย์ขั้นอรหันต์ ระดับแปด จำนวนหกคน แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากที่จะสังหารยอดฝีมืออย่างกัวห้วย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากพวกเขาได้เปรียบในเรื่องกำลังคน
อย่างไรก็ตาม เพียงแค่นี้เองที่ทำให้หลินเว่ยรู้สึกแปลก ๆ เห็นได้ชัดว่ากัวห้วยน่าจะคาดเอาไว้ล่วงหน้าว่า หากเขาโจมตีสามอาณาจักรเขาจะต้องถูกคนอื่นๆ จัดการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากเขาเสียเปรียบเรื่องกำลังคน
คาดว่าอีกฝ่ายน่าจะมีผู้ที่คอยเป็นกำลังอยู่เบื้องหลังที่ทรงพลัง และสามารถแก้วิกฤตนี้อย่างง่ายดาย
หากกัวห้วยไม่ได้เสียสติ และโง่ เขาคงไม่มีทางสังหารคนต่อหน้าสาธารณชน ซึ่งมันจะทำให้ผู้คนโกรธแค้น ท้ายที่สุดแล้วสำหรับผู้มีความสามารถเพียงไม่กี่คนในอาณาจักรของเขา
ก็ไม่ได้แข็งแกร่งมากเกินกว่าอีกสามอาณาจักรนัก เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ หลินเว่ยมองไปที่ทุกคน ที่อยู่ในอาณาจักรมืดโบราณ และในที่สุดก็จับจ้องไปที่ชายคนเดียวที่สวมเสื้อคลุมอยู่
เขาสามารถรับรู้ลมปราณความแข็งแกร่งของผู้อื่นได้อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตาม ชายเพียงคนเดียวที่สวมเสื้อคลุม หลินเว่ยไม่สามารถรับรู้ถึงความแข็งแกร่งหรือแม้แต่ลมปราณของเขา ดูเหมือนว่า
อีกฝ่ายจะปิดบังความแข็งแกร่งโดยการใช้อุปกรณ์ช่วย เพื่อช่วยให้อำพรางสายตา และสร้างภาพลวงตาผู้คน ซึ่งยิ่งทำให้หลินเว่ยรู้สึกติดค้างอยู่ในใจมาก
ดูเหมือนว่ามีใครบางคนกำลังมองมาที่เขา ชายผู้สวมชุดคลุม หันศีรษะและมองไปยังทิศทางของหลินเว่ย หน้ากากสีดำ ปรากฏขึ้นในดวงตาของหลินเว่ย สิ่งที่หลินเว่ยสามารถมองเห็นได้คือ ดวงตาที่ลึกล้ำ เบื้องหลังหน้ากาก
”เขาคือใคร?” หลินเว่ยมีความคิดที่อยากรู้ แต่ในใจของเขาเกิดความระมัดระวัง เขาฝึกฝนทักษะบางอย่างหรืออาจใช้สมบัติบางอย่าง เช่นเดียวกับเสื้อคลุมเฉียนซางหรือไม่ ? หาไม่แล้วความแข็งแกร่งของเขาจะต้องสูงมากจนสามารถปิดความแข็งแกร่งและลมปราณได้อย่างไร้ร่องรอย
มีความเป็นไปได้ทั้งสองอย่าง แต่ความกลัวในใจของหลินเว่ยคือ สิ่งสุดท้าย หากระดับการฝึกฝนของอีกฝ่ายถึงระดับเงินหรือสูงกว่านั้น ทั้งสามอาณาจักรคงจะจบสิ้นในวันนี้
”กัวห้วย! ด้วยความช่วยเหลือจากผู้แข็งแกร่งทั้งหมด ในวันนี้ข้าจะตัดหัวสุนัขของเจ้าออกมา และล้างแค้นให้กับองค์ชายของวิหารจรัสแสงของข้า” ในขณะที่หลินเว่ยกำลังขบคิด เขาก็ได้ยินเสียง ผู้พูดคือ หลี่ซาน ผู้อาวุโสของวิหารจรัสแสง
ชายคนนี้เข้าต่อสู้กับกัวห้วยเมื่อครั้งที่แล้ว ในแง่ของการฝึกฝนเขาอ่อนแอว่ากัวห้วยเล็กน้อย แต่ก็ไม่มากนัก ในส่วนของความแข็งแกร่งในการต่อสู้ที่แท้จริงนั้น จะไม่แตกต่างกันมากนัก
ในเวลานี้เขาได้รับความช่วยเหลือจากหลินคังซ่งและ หลงฉี เรียกได้ว่าเขามั่นใจมากพอที่จะพูดคำนี้
“ ฟู่!” ทันทีที่เสียงของหลี่ซานลดลง ร่างกายของเขาก็ถูกห่อหุ้มด้วยอาวุธ เขาถือหอกทองคำไว้ในมือ จากนั้นเขาก็สวมชุดเกราะสีทองที่ควบกลั่นโดยพลังปราณ
ชุดเกราะ พลังปราณบนร่างของหลี่ซาน แตกต่างจากชุดเกราะพลังปราณทั่วไป มันสว่างสดใส และมีความแวววาวลึกลับ ราวกับว่ามันถูกสร้างขึ้นเองโดยธรรมชาติ
นี่คือชุดเกราะรบพลังปราณ ที่สามารถสร้างขึ้นโดยใช้พลังปราณต้นกำเนิด การป้องกันของมันแข็งแกร่งมาก ซึ่งแข็งแกร่งกว่าผู้ที่มีความแข็งแกร่งเหนือความเขาหลายร้อยเท่า
เกราะพลังปราณของอรหันต์ช่วงปลายจะแตกร้าวได้ง่ายในการต่อสู้ ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงเลือกสวมชุดเกราะที่แข็งแกร่ง แทนที่จะเสียพลังปราณในการสร้างมันขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้หลินเว่ยหูตาสว่างคือ อาวุธสงครามของหลี่ซานและ กัวห้วย รวมถึงเครื่องใช้ศักดิ์สิทธิ์หรืออาวุธวิเศษในมือของพวกเขา
อาวุธของชายสองคนคน ระดับต่ำสุดคือซวนฉี ระดับสูง ส่วนใหญ่เป็นซวนฉีระดับสูงภายในร่าง และอาวุธในมือของพวกเขา เปล่งลมปราณที่แข็งแกร่งกว่าซวนฉีระดับสูงหลายเท่า
เห็นได้ชัดว่าอาวุธที่แข็งแกร่งกว่าซวนฉีระดับสูง คือ อาวุธวิเศษ
นอกจาก หลี่ซานและ กัวห้วยแล้ว นักรบอรหันต์ระดับแปดต่างก็ถืออาวุธอยู่ในมือ เตรียมพร้อมที่จะเข้าห้ำหั่น หลงซีเฉินถือดาบยาว เป็นอาวุธวิเศษไว้ในมือของนาง
นอกจากนี้นักรบขั้นอรหันต์ที่เหลือ และระดับมหาจักรพรรดิ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่มีซวนฉีระดับสูง อย่างมากที่สุดก็เป็นบางชิ้นมีระดับกลาง
เมื่อเห็นอาวุธเหล่านี้ ความคิดแรกของหลินเว่ยคือ ทำให้พวกเขาหมดสติ จากนั้นจึงคว้าอาวุธและอาวุธวิเศษทั้งหมดเก็บไปอย่างเงียบๆ แต่ไม่นาน หลินเว่ยก็ล้มเลิกความคิดบ้าๆบอนี้เสีย
ถึงอย่างนั้นหัวใจของเขาก็ยังคงร้อนรุ่มด้วยความปรารถนา ดวงตาที่เต็มไปด้วยความโลภนั้นยากที่จะปกปิด สายตาของเขาจับจ้องไปที่ กัวห้วย และชายที่แข็งแกร่งรอบ ๆ อีกด้านหนึ่ง และอาวุธในมือของอีกฝ่าย
อาวุธวิเศษของคนอื่นไม่สามารถปล้นได้ แต่ในฐานะศัตรู หลินเว่ยสามารถฉกฉวยพวกมันได้ ชายผู้แข็งแกร่งข้างกัวห้วย ถืออาวุธที่ดูไม่ค่อยเท่าทีเท่าใดนัก แต่ดาบยาวในมือของกัวห้วยนั้น เหมาะสมกับเขามาก!
หลินเว่ยกำลังพิจารณาอยู่ว่า จะตะโกนเรียกจื่อหยูดีหรือไม่? เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องเปลืองแรงมากนัก
“ หวือ!” เมื่อบรรยากาศเริ่มกดดัน จนพลันระเบิดความดุเดือด หลี่ซานเป็นผู้นำในการโจมตีกัวห้วยด้วยหอกของเขา
”เจ้าเด็กน้อย ระวังตัว ข้าไม่มีเวลามาปกป้องเจ้า ไปอยู่กับอาจารย์ของเจ้า อย่าวิ่งไปวิ่งมา ” เมื่อเห็นสิ่งนี้ หลงซีเฉินรีบบอกหลินเว่ยสองสามคำ จากนั้นนางก็พุ่งเข้าไปสังหารกัวห้วย
หลังจากนั้นไม่นาน สนามรบย่อม ก็แบ่งออกเป็นสามส่วน หลี่ซาน, หลงซีเฉิน และ หลินคังซ่ง ได้สร้างสนามรบขึ้นมากับชายผู้แข็งแกร่งแห่งอาณาจักรมืดโบราณ
ทางด้าน หลงฉีและอรหันต์ระดับแปดแห่งอาณาจักร กังหลันอีกคน ได้ก่อตั้งสนามรบขึ้นอีกแห่ง ส่วนที่เหลือ เป็นนักรบที่ยังคงล้อมรอบอาณาจักรมืดโบราณ แต่ยังไม่เริ่มการต่อสู้
โดยธรรมชาติแล้วสามอาณาจักร กำลังรอให้อีกสองสนามรบ สามารถเอาชนะได้อย่างชัดเจน จากนั้นค่อยรวมตัวบดขยี้พวกเขา ด้วยความแข็งแกร่งที่แท้จริง ในทางกลับกันอาณาจักรความมืดโบราณ ดูเหมือนกำลังจะรออะไรบางอย่าง แต่หลินเว่ยนั้นไม่รู้ว่า พวกเขารออะไร
เมื่อเทียบกับผู้คนในสี่อาณาจักรที่นั่งชมการต่อสู้ ในขณะนี้สนามประลองทั้งหมดเงียบลง แต่ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ตื่นเต้น การต่อสู้ระหว่างอรหันต์ โดยเฉพาะระดับแปดนั้น หาได้ยากมาก และส่วนใหญ่แทบไม่เคยมีใครได้เห็น
”ตูม การต่อสู้เริ่มขึ้นด้วยเสียงอันดัง หลี่ซานฟาดหอกของเขา และเผชิญหน้ากับหน้าแข้งที่แข็งราวกับเหล็กของกัวห้วย เขาโจมตีจุดสำคัญของกัวห้วยอย่างต่อเนื่อง การเคลื่อนไหวของเขาเปิดกว้าง ดูเหมือนว่าเขากำลังโจมตีและรอโอกาสเหมาะเจาะ
อย่างไรก็ตาม หลงซีเฉิน และ หลินคังซ่ง ทั้งสองฝ่ายเพื่อสนับสนุนซึ่งกันและกัน และคว้าโอกาสดีในการโจมตี แม้ว่าจะเป็นครั้งแรกที่ทั้งสองคนร่วมมือกัน แต่ก็เป็นไปได้อย่างราบรื่น เมื่อเทียบกับ หลงหลี่ และไท่ซาน
ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบได้ด้วยซ้ำ
สิ่งนี้มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมาก เนื่องจากประสบการณ์การต่อสู้ เมื่อเทียบกับ หลงหลี่และ ไท่ซาน และ หลงซีเฉินพวกเขาได้รับการฝึกฝน มาจนถึงขั้นอรหันต์ระดับเจ็ดและแปด
ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาเท่าใด และพวกเขาต้องเผชิญกับการต่อสู้มากี่ครั้ง ทุกคนล้วนมีประสบการณ์การต่อสู้มากมาย
ด้วยเหตุนี้การต่อสู้จึงเพิ่งเริ่มขึ้น และกัวห้วยก็เริ่มหมดแรง ทำได้เพียงแค่ตั้งรับเท่านั้น
“ ในเวลานี้ หากเจ้ามีไพ่ตายก็รีบนำออกมาซะ กัวห้วย หรือไม่ก็ถูกสังหารอย่างเงียบๆ เถอะ” เมื่อเห็นกัวห้วยที่ถูกไล่ต้อน หลินเว่ยก็ขมวดคิ้วและขบคิดกับตัวเอง
ในขณะที่ดูการต่อสู้ หลินเว่ยมักให้ความสำคัญกับชายสวมชุดคลุม อย่างไรก็ตามตั้งแต่ต้นจนจบ อีกฝ่ายไม่ได้มีท่าทีใด ๆ ซึ่งทำให้ หลินเว่ยลังเลใจ ในการคาดเดาก่อนหน้านี้ของเขา
“ ฮึก … !” ขณะที่หลินเว่ยกำลังคิดอยู่ เสียงหวีดหวิวก็ดังเข้ามาในหูของเขา จากนั้นหลินเว่ยก็รู้สึกว่าอุณหภูมิรอบตัวเขาลดลงอย่างรวดเร็ว และร่องรอยของความเย็นก็ไหลลงรูขุมขนและเข้าไปในร่างกาย
”ของเขตแห่งการรู้แจ้งพลังน้ำแข็ง” เขาเอื้อมมือไปจับเกล็ดน้ำแข็งที่ตกลงมา และรู้สึกถึงความหนาวเย็นที่ฝ่ามือของเขา หลินเว่ยแอบตกใจและมองไปที่ท้องฟ้าอย่างรีบร้อน
บนท้องฟ้าดวงอาทิตย์ยังคงสว่างไสว แต่มีเกล็ดหิมะตกลงมานับไม่ถ้วน หลี่ซานมองกัวห้วยด้วยความฉงน
”ระดับเก้า ขั้นอรหันต์ เข้าใจขอบเขตแห่งการรู้แจ้งกว่าครึ่งนึง ไม่คาดคิดว่าเจ้าจะซ่อนความสามารถไว้ลึกขนาดนี้” หลี่ซานมีใบหน้าและท่าทางขมขื่นเล็กน้อยกล่าวขึ้น
“ ข้าไม่ได้ตั้งใจที่จะเปิดเผยมันเร็วถึงเพียงนี้ แต่พวกเจ้าทั้งสามสาม นั้นกัดไม่ปล่อย ทำให้ข้าต้องเปิดเผยตัวเอง เจ้าควรภูมิใจที่สามารถบีบบังคับข้าได้ถึงเพียงนี้” เมื่อได้ยินคำพูดของ หลี่ซาน กัวห้วยกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
“ นี่คือความลับของเขาหรือ?” คิ้วของหลินเว่ยขมวด และมีความสงสัยปรากฏในดวงตาของเขา เขารู้สึกว่าเบื้องหลังของ กัวห้วยนั้นง่ายดายเกินไป
แม้ว่าการฝึกฝนขั้นอรหันต์จะทรงพลังมาก แต่อย่าลืมว่า สถานที่ที่พวกเขาอาศัยอยู่ในเมืองเหยียนจิง ซึ่งเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรกังหลัน น่าจะต้องมีปรมาจารย์มากกว่าหนึ่ง ที่มีการฝึกฝนที่อยู่ในจุดสูงสุดของขั้นอรหันต์
แม้ว่ากัวห้วยจะเป็นผู้ที่อยู่ในจุดสูงสุดของขั้นอรหันต์ แต่ก็ยากที่ปิดซ่อนความแข็งแกร่งของตนเอง