ราชาซากศพ - บทที่ 352 ชายในเสื้อคลุม
บทที่ 352
ชายในเสื้อคลุม
สำหรับท่าทางของหลงฉีนั้น เป็นการเตือนสติของทุกคนได้ดีมาก และเรื่องที่เขากล่าวออกมานั้นเป็นเรื่องสมเหตุสมผล เพราะในท้ายที่สุด ทุกฝ่ายล้วนสูญเสียนักรบในดินแดนของตน เมื่อครั้งที่ก้าวเข้าสู่ดินแดนลับ
และจุดประสงค์ของการแข่งขันพันธมิตรศิลปะการต่อสู้ที่จัดขึ้น โดยพวกเขาคือ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ มิใช่เพื่อการสังหาร มิฉะนั้น การที่มีผู้เข้าแข่งขันที่มีระดับความแข็งแกร่ง เช่น ขั้นราชาแห่งการต่อสู้ ขั้นจักรพรรดิ และแม้แต่ขั้นอรหันต์ เช่น หลินเว่ย
จะเป็นการเอาเปรียบผู้แข่งขัน หากพวกเขาต่อสู้และสังหารคู่ต่อสู้อย่างบ้าคลั่ง
”ข้อห้ามประการที่สองคือ ห้ามใช้ยาช่วยเหลือในระหว่างการแข่งขัน ผู้ฝ่าฝืนจะถูกตัดสิทธิ์จากการแข่งขัน ประการที่สามคือ ห้ามใช้สัตว์เลี้ยงสงครามในการต่อสู้ ยกเว้นผู้อัญเชิญ” หลงฉีกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ
ในความเป็นจริง มันเป็นเรื่องง่ายมากที่จะเข้าใจว่า มีผู้คนหลายกลุ่มที่มีสัตว์เลี้ยงสงคราม โดยพื้นฐานแล้ว พวกสัตว์เลี้ยงต่างๆ ล้วนจะมีความแข็งแกร่งในขั้น 9 ขึ้นไป มีแม้แต่สัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ และจะถูกห้ามไม่ให้ลงแข่งขันเพื่อเป็นการลดข้อได้เปรียบต่อผู้แข่งขันที่ไม่มีสัตว์เลี้ยงสงคราม และการขัดแย้งของแต่ละอาณาจักร
”ดังนั้นข้าขอประกาศว่าการแข่งขันพันธมิตรศิลปะการต่อสู้ที่ครั้งที่ 1137 จะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ ในตอนนี้โปรดอยู่กับที่ พิธีการจับฉลากจะเริ่มทันที
หมายเลขที่สามารถจับได้ แสดงถึงสนามประลองที่เจ้าต้องขึ้นไปแข่งขัน” หลงฉีหยุดพักไปชั่วขณะ จากนั้นกล่าวอย่างเคร่งขรึม .
หลังจากพูดแบบนั้น หลงฉีก็ยื่นมือออกมา และโบกมือขึ้น เบื้องหน้าของเขา ปรากฏกลุ่มแสงจำนวนนับไม่ถ้วน ล่องลอยอยู่ในอากาศ
”ไป!” จากนั้นหลงฉีชี้ไปที่ผู้เข้าแข่งขันหลายพันคนที่อยู่ที่พื้น จากนั้นเหล่าแสงระยิบระยับก็เคลื่อนไปพร้อมกัน ราวกับลำธารและไหลผ่านศีรษะของผู้แข่งขันทั้งหมด อย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับน้ำที่ไหลไปตามธรรมชาติ
เมื่อเห็นเช่นนั้น คนส่วนใหญ่ล้วนยกมือขึ้นและคว้าบอลแสงที่ล่องลอยอยู่ตามต้องการ หลังจากนั้นกลุ่มแสงมากมาย เริ่มกลับกลายเป็นป้ายไม้ที่มีตัวเลขสลักอยู่
หลินเว่ย เอื้อมมือไปคว้าบอลแสงแบบสุ่มๆ จากนั้นเขาก็เห็นว่ามีป้ายไม้อยู่ในมือของเขา พร้อมสลักหมายเลขสามอยู่บนนั้น
”ศิษย์น้อง เจ้าได้สนามประลองใด? ผางหลงถามด้วยความกังวลไม่เพียง แต่เขาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้คนรอบข้าง ที่เอียงหูฟังด้วยความระมัดระวัง
บางคนกังวลมาก เกี่ยวกับหมายเลขสนามประลองที่หลินเว่ยจับป้ายไม้ได้ เช่นเดียวกับผางหลง ทุกคนไม่เต็มใจที่จะต้องต่อสู้กับหลินเว่ย ในช่วงเริ่มต้นของการแข่งขัน
”หมายเลขสาม! แล้วท่านล่ะ” หลินเว่ยยื่นมือออกมา และแสดงป้ายไม้ที่เขาได้รับมาต่อหน้าฝูงชน จากนั้นเอ่ยพูดอย่าง ช้า ๆ
”ไชโย! ข้าหวาดกลัวแทบตาย…..โชคดีมาก…ข้าได้หมายเลข 108″ ผางหลงตบหน้าอกของเขา และพูดด้วยความโล่งใจ
”หืม…หลังจากที่ทุกคนรับรู้หมายเลขป้ายไม้ของหลินเว่ย ต่างก็ประหลาดใจและพูดด้วยรอยยิ้ม
ปรากฏว่าทุกคนในสถานศึกษาเทียนหยู พบว่าไม่มีผู้ใดได้รับหมายเลขเดียวกับหลินเว่ย เมื่อเห็นเช่นนี้ทุกคนก็โล่งใจและยิ้มอย่างมีความสุข
”เพราะเหตุใด! ข้าไม่เชื่อ…..เหตุใดจึงโชคร้ายเพียงนี้” ในขณะที่ผางหลงและคนอื่น ๆ กำลังมีความสุขอยู่ไม่ไกล มีเสียงดังขึ้นลอยมาจากบริเวณผู้แข่งขันจากอาณาจักรเสวี่ยอี้ ผู้ที่โพล่งขึ้นมา กำลังมองไปที่ป้ายไม้ในมือของเขา
“ ช่างน่าสงสารยิ่งนัก!” ผู้คนรอบข้างล้วนมองเขาอย่างเห็นอกเห็นใจ เมื่อเห็นหมายเลขบนป้ายไม้ ที่มีหมายเลขสามสลักอยู่บนป้ายไม้ของเขา แสดงให้เห็นว่า เขาจะต้องขึ้นต่อสู้กับ หลินเว่ย ในเวทีการท้าทาย ไม่น่าแปลกใจที่เขามีสีหน้าราวกับสิ้นหวังเช่นนี้
เมื่อผู้คนทั้งหมดได้รับป้ายเลขเรียบร้อยแล้ว ฝูงชนก็เริ่มหลั่งไหลไปที่สนามการประลองของพวกเขา หลินเว่ยนั้นได้ขอแยกตัวออกจากคนอื่น ๆ และมุ่งหน้าไปยังสนามประลองหมายเลข 3 ทันที
มีจำนวนผู้แข่งขันของแต่ละสนามประลองจำนวน 10 คน อย่างไรก็ตาม เมื่อหลินเว่ยก้าวเข้าสู่สนามประลองหมายเลข 3 จู่ ๆ เขาก็พบว่าทั้งเก้าคนที่อยู่ข้างหน้าเขา ต่างมองเขาด้วยความหวาดกลัว ยิ่งไปกว่านั้น เขาพบว่าความแข็งแกร่งของทั้งเก้าคนนี้ อยู่ในระดับราชาแห่งการต่อสู้ ซึ่งไม่น่าแปลกใจที่ระดับพลังของหลินเว่ย ทำให้พวกเขารู้สึกบีบคั้นราวกับว่าถูกรังแก
หลินเว่ยอดคาดเดาในใจไม่ได้ว่า เรื่องนี้มันบังเอิญมากเกินไป ในบรรดาผู้คนหลายพันคน ในปัจจุบันมีนักรบขั้นจักรพรรดิมากมาย เขากลับไม่พบแม้แต่คนเดียว ดูเหมือนว่ามีใครบางคนจงใจจัดให้คนที่มีพลังระดับต่ำกว่านั้น มาประลองกับหลินเว่ย
ทั้งเก้าคนต่างมองหน้ากัน และพบว่าแต่ละคนล้วนมีความแข็งแกร่งไม่แตกต่างกันมาก กล่าวคือไม่มีผู้ใดสามารถรับมือกับหลินเว่ยได้ พวกเขาทั้งหมดมีท่าทางหดหู่ ไร้ชีวิตชีวา
หากความแข็งแกร่งของหลินเว่ยเป็นเพียงขั้นมหาจักรพรรดิหรือแม้แต่ขั้นจักรพรรดิ พวกเขาทั้งเก้าคนอาจร่วมมือกัน เพื่อต่อสู้กับหลินเว่ยก่อน แต่ในความเป็นจริงคือ หลินเว่ยนั้นอยู่ในขั้นอรหันต์ มีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างพลังของพวกเขา โดยที่หลินเว่ยไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย เพียงแค่ปลดปล่อยพลังปราณของเขาออกมา ก็สามารถบดขยี้ทั้งเก้าคนได้อย่างพลิกฝ่ามือ
”ข้ายอมแพ้!” จู่ ๆ ชายคนหนึ่งในบรรดาคู่ต่อสู้ของ หลินเว่ย กล่าวยอมแพ้ออกมาอย่าง่าย ๆ
หลังจากนั้นคำพูดของชายคนนี้ ดูราวกับว่าจะเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ สามารถบดขยี้คนอื่น ๆ หลังจากสิ้นเสียงของเขา คนที่เหลืออีกทั้งแปดคน เริ่มยอมรับความพ่ายแพ้ทีละคน
เนื่องจากพวกเขารู้ว่า ไม่สามารถทำอะไรได้ ดังนั้นจึงมองหาวิธีที่ทำให้ตนเองเจ็บตัวน้อยที่สุดนั่นคือ การยอมรับความพ่ายแพ้
ก่อนเริ่มการแข่งขันบนเวทีการท้าทาย ปรากฏว่า หลินเว่ยกลับได้รับการลงความเห็นให้ได้รับชัยชนะไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ล้วนไม่มีผู้ใดตั้งคำถามกับการตัดสินเช่นนี้ ราวกับว่าพวกเขารู้มาก่อนหน้านี้ ว่าจะมีผลลัพธ์เช่นนี้
”การแข่งขันในวันนี้จบลงแล้ว ขอแสดงความยินดีที่เจ้าได้ผ่านเข้ารอบต่อไป เจ้าสามารถลงไปพักผ่อนได้” หลงฉีเอ่ยพูดกับหลินเว่ยด้วยรอยยิ้ม
”ขอบคุณท่านมาก หลินเว่ยพยักหน้าและประสานหมัดให้หลงฉี หลังจากนั้น หลินเว่ย ก็เดินออกไป จากสนามประลอง และเดินไปยังบริเวณผู้เข้าชมการแข่งขัน เพื่อรอดูการแข่งขันของทั้งสี่อาณาจักร และมองหาซางกวนฮ่าวหยาง
ทุกคนในสถานศึกษาเทียนหยู แม้แต่ หลินคังซ่งจากฝั่งราชวงศ์เฟิงหยูต่างก็กระตือรือร้น เกี่ยวกับการมาถึงของหลินเว่ย เป็นเพราะหลินเว่ยนั้น ทำให้อาณาจักรเฟิงหยูมีใบหน้าที่ใหญ่โต
ท้ายที่สุดแล้ว สถานศึกษาเทียนหยู เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรเฟิงหยู ยิ่งหลินเว่ยมีความโดดเด่นมากเท่าใด อาณาจักรเฟิงหยูก็ยิ่งได้รับชื่อเสียงไปมากเท่านั้น
”ดูสิ! หากไม่มีอะไรผิดพลาดหลินเว่ยจะต้องคว้าชัยในการแข่งขันนี้อย่างแน่นอน ชายชราผู้นำในพาคณะผู้แข่งขันจากอาณาจักรเร้นลับแตะเครายาวสีขาวราวกับหิมะของเขา และมองดูหลินเว่ยด้วยความสนใจ
ชายคนนี้มีชื่อว่า จงหลี่ และเขาเองก็มีฐานะเช่นเดียวกับกัวห้วย เขาเป็นสมาชิกของวิหารเร้นลับ ความแข็งแกร่งของเขา คือ ขั้นอรหันต์ ระดับแปด ในฐานะหนึ่งในผู้พิพากษาทั้งสิบสองคนของวิหารเร้นลับ ที่กัวห้วยกุมอำนาจอยู่ ดังนั้นชายคนนี้จึงอยู่ในความดูแลของอาณาจักรมืดโบราณ
”อืม! ข้าเกรงว่าจะไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้ เท่าที่ข้ารู้หลินเว่ยเป็นทั้งปรมาจารย์จิตวิญญาณและผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ แต่ข้าไม่รู้ว่าเขาจะสามารถทะลวงไปถึงขั้นเหล็กดำได้หรือไม่?
หากเป็นเช่นนั้น เราควรที่จะให้ความสนใจในตัวเด็กนั่นเป็นพิเศษ” ผู้ที่กำลังพูดอยู่คือ ชายลึกลับที่ห่อหุ้มร่างกายด้วยเสื้อคลุมมิดชิด และไม่มีผู้ใดสามารถมองเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขาได้ เนื่องจากเขาสวมหน้ากากปกปิดใบหน้า
”โอ้ทำไมเป็นเช่นนั้นล่ะ?” จงหลี่มองไปที่ชายคนนั้นด้วยความสงสัย
”เท่าที่ข้ารู้วิหารเร้นลับ สาขาย่อยในเมืองหลวง ครั้งหนึ่งเคยส่งนักรบระดับเหล็กดำจำนวนสามคน และนักรบระดับขั้นจักรพรรดิ เพื่อไปจับตัวเด็กคนนั้น แต่พวกเขาทั้งหมดกลับถูกสังหาร” ชายในชุดคลุมมิดชิด กล่าวด้วยความจริงจัง
”โอ้..มันน่าจะเป็น อาจารย์ของสถานศึกษาเทียนหยู ที่ช่วยปกป้องเด็กคนนี้ !” จงหลี่ พยักหน้าและพูดอย่างแผ่วเบา ราวกับว่าเขาไม่ได้นึกถึงว่า หลินเว่ยจะเป็นคนสังหารพวกเขา
“ ท่านคิดผิด นักฆ่าที่ขึ้นชื่อว่า เป็นผู้สังหารไร้เงา ชื่อว่า หลิงฮุนได้อ่านชิ้นส่วนความทรงจำของผู้คุมเงา ขั้นเหล็กดำทั้งสามคน และพบว่าไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งที่สถานศึกษาเทียนหยูส่งมาเพื่อปกป้องเด็กคนนั้น แต่เป็นสัตว์อัญเชิญภายใต้เจ้าเด็กนั่น ” ชายชุดคลุมมิดชิดกล่าวพลางส่ายหัว
”อัญเชิญสัตว์ร้ายออกมา เจ้าหมายความว่า เด็กคนนี้สามารถอัญเชิญสัตว์อสูรออกมา เพื่อสังหารนักรบเหล็กดำเมื่อนานมาแล้วงั้นหรือ ? จงหลี่ดูประหลาดใจมาก พลางขมวดคิ้วมองชายที่สวมเสื้อคลุม และน้ำเสียงของเขาก็หนักอึ้งเล็กน้อย
”ใช่! ว่ากันว่าพวกเขาทั้งหมดเป็น สัตว์อสูรขั้นเก้า ไม่เพียงแต่ทรงพลัง ทั้งยังมีจำนวนมากอีกด้วย” คนในชุดคลุมกล่าวพร้อมพยักหน้า
”สัตว์อัญเชิญมีจำนวนเท่าใด ?ผู้อัญเชิญทั่วไปในอาณาจักรของเรา มีสัตว์อัญเชิญเพียงเก้าเท่านั้น เว้นแต่ว่าจะเป็น ราชาที่ควบคุมทั้งฝูงสัตว์อสูร” จงหลี่ขมวดคิ้วและถามขึ้น
”ข้าไม่แน่ใจ… แต่ไม่ร้อยกว่า 100 ตัว หากเหล่าสัตว์อสูร 100 ตัว หรือมากกว่านั้น รุมเข้าสังหารนักรบระดับขั้นเหล็กดำ … ” ชายในชุดคลุมพูดไม่กล้าพูดต่อ เขาหยุดชะงัก
”ถ้าเช่นนั้น! ด้วยการฝึกฝนและการพัฒนาของเด็กนั่น ความแข็งแกร่งของสัตว์อัญเชิญของเขา จะยิ่งทวีความแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยความสามารถของเด็กคนนี้ มีแนวโน้มที่จะทะลวงไปถึงระดับทองแดงได้ในอนาคต ในตอนนั้นเขาอาจมีสัตว์อัญเชิญหลายร้อยหรือยิ่งไปกว่านั้น สามารถเรียกสัตว์อัญเชิญในระดับขั้นทองแดงออกมาเพื่อต่อสู้ได้ หรืออาจจะเป็นระดับเงิน หากเป็นเช่นนั้น เราอาจจะถูกคุกคามจากตัวอันตรายนี้ได้” ชายในชุดคลุมยังพูดไม่จบคำ จงหลี่รีบพูดโพล่งออกมาทันที แต่เมื่อเขาพูดออกมาก็ยิ่งตื่นตกใจ
”มันไม่ใช่การคุกคาม แต่เป็นการขัดขวางงานใหญ่ของเราอย่างแท้จริง” ชายในชุดคลุมพูดด้วยน้ำเสียงต่ำๆ
“ เจ้าต้องการสังหารเด็กนั่นหรือ?” จงหลี่ขมวดคิ้ว และกล่าวถามขึ้น ในดวงตาของเขา ราวกับกำลังขัดแย้งในใจ
”ใช่! และยังต้องรีบเร่ง เราไม่สามารถเปิดโอกาสให้เขาเติบใหญ่ขึ้นไปมากกว่านี้
”อืม! ข้าเข้าใจแล้ว…ข้าจะรายงานเรื่องนี้ต่อผู้แทนพระองค์ บางทีข้าต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าด้วย…จงหลี่พยักหน้าและกล่าวขึ้น
”แน่นอน..ไม่มีปัญหากับเรื่องนี้ เนื่องจากพวกเราต่างมีจุดประสงค์เดียวกัน ย่อมต้องช่วยเหลือกัน” ชายในชุดคลุมพยักหน้าและกล่าวด้วยรอยยิ้ม
”หืม?” จู่ ๆ หลินเว่ยก็รู้สึกขนลุกโดยไม่รู้ตัว เขามองไปยังผู้ชม ที่มาจากอาณาจักรมืดโบราณ อย่างไรก็ตามเขาพบว่า มีชายในชุดคลุมสีดำ และสวมหน้ากากสีดำ กำลังเพ่งมองมาที่ตัวเอง
เมื่อเห็นว่าเขากำลังมองอยู่เช่นนั้น ก็แสร้งทำเป็นหลบสายตา และแยกย้ายตัวอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าจงใจหลีกเลี่ยงหลินเว่ย
”เกิดอะไรขึ้น?” ซางกวนฮ่าวหยางสังเกตเห็นท่าทางของหลินเว่ยที่แปลกประหลาด และเอ่ยถามขึ้นทันที