ราชาซากศพ - บทที่ 338 เสื้อขนจิ้งจอก
บทที่ 338
เสื้อขนจิ้งจอก
“เอ๋…ข้าเข้าใจแล้ว!” เมื่อราชาอินทรีพยัคฆ์เห็นจิ้งจอกหางคู่อยู่ไม่ไกล ดวงตาของเขาก็พลันสว่างขึ้น และเขาก็เข้าใจความหมายของหลินเว่ยทันที จากนั้นเขาก็ยิ้มชั่วร้ายและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “จิ้งจอกตัวน้อย ขอหนังเจ้าหน่อยเถอะ!”
“ข้า…ข้า … ” เมื่อได้ยินคำพูดของราชาอินทรีพยัคฆ์แล้ว จิ้งจอกหางคู่รู้สึกได้ถึงลมปราณแรงกล้า มันประหลาดใจ ทันใดนั้นร่างของมัน ก็ก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว มองหน้าด้วยความระแวดระวัง
แขนขาของมันสั่นเทา และหางทั้งสองจุกที่ก้น ยืนเกร็งด้วยความหวาดผวา
“ นี่คือสัตว์อสูรขั้นศักดิ์สิทธิ์ มันคือ อินทรีพยัคฆ์ระดับเจ็ด ที่หลินเว่ยนำออกมาจากดินแดนลับหรือ?” เหลยเป่าตกใจ มองไปที่ร่างเบื้องหน้า กล่าวโดยไม่อยากจะเชื่อ
“ขั้นศักดิ์สิทธิ์ ระดับเจ็ด สัตว์อสูรที่มีความแข็งแกร่งไม่เลว หลินเว่ย เจ้าเสี่ยงได้ดี” หลงซีเฉินยิ้มแย้ม และพยักหน้า พลางกล่าวอย่างมีความสุข
“ฮ่าฮ่า! เด็กชายที่เฉลียวฉลาด จะทำเรื่องที่ขาดทุนได้อย่างไร สัตว์เลี้ยงสงครามระดับเจ็ด ขั้นศักดิ์สิทธิ์ และตัวเขาเองก็ทะลวงไปถึงขั้นอรหันต์แล้ว ในตอนนี้อาจจะพูดได้ว่า เขายืนอยู่ที่จุดสูงสุดของโลก และไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย”
แม้ว่าสีหน้าของหลินคังซ่ง จะมีความสุข แต่คำพูดของเขาก็เผยให้เห็นถึงความกังวลของเขา ที่มีต่อหลินเว่ย
“ ฮึบ!” หลังจากได้ยินคำพูดของผู้คนทั้งหมด ซางกวนฮ่าวหยางก็ส่งเสียงอย่างเย็นชา แม้ว่าเขาจะมีความสุขมาก แต่ใบหน้าของเขาก็ยังคงมืดมน เขาขมวดคิ้วและพูดว่า “มันเป็นเพียงสัตว์เลี้ยงสงครามระดับเจ็ด มันไม่คุ้มค่ากับการเสี่ยงชีวิตของเขาด้วยซ้ำ แต่เจ้ายังคงพูดถึงเรื่องกำไรขาดทุน เฮอะ! ข้ามันแก่แล้วไม่ค่อยเข้าใจเท่าใดนัก รู้แต่เพียงว่าเขาเป็นศิษย์ของข้า ”
“เจ้ายังอารมณ์เสียอีกหรือ! ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าเองมีหน้าที่ดูแลเขาไปตลอดชีวิต ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเจ้า บางทีอีกไม่นานศิษย์ของเจ้าอาจจะก้าวหน้ากว่าเจ้าโดยไม่รู้ตัว!” เหลยเป่าคว่ำริมฝีปาก และดวงตาของเขาแสดงความรังเกียจ แต่น้ำเสียงของเขาบ่งบอกถึงความริษยา
“ฮ่าฮ่า! ช่วยไม่ได้ใครใช้ให้เขาเป็นศิษย์ของข้า……..เอาล่ะ หากใครไม่พอใจ ข้าจะให้เขาตามไปสั่งสอนให้หมด . “เมื่อได้ยินน้ำเสียงริษยาของเหลยเป่า ซางกวนฮ่าวหยางยิ้มเยาะสองครั้ง และกล่าวพร้อมกับคิ้วขมวด เขามองไปที่เหลยเป่าด้วยท่าทางยั่วยุ ราวกับจะบอกอีกฝ่ายว่า หากเจ้ากล้าทำให้ข้าขุ่นเคือง ข้าจะให้หลินเว่ยทุบตีเจ้า
“ เจ้า … ” เมื่อได้ยินคำพูดของซางกวนฮ่าวหยาง เหลยเป่าเข้าใจความหมายของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน เขาโมโหจนแน่นท้องทันที เขาเอื้อมมือชี้ไปที่ซางกวนฮ่าวหยาง แต่ปากของเขาไม่สามารถโต้แย้งใดๆได้ มุมปากของเขากระตุกด้วยความโกรธ
“ทุกคน ราชาอินทรีพยัคฆ์ได้โจมตีจิ้งจอกหางคู่แล้ว พวกเจ้าไม่ได้ตั้งใจจะขัดขวางหน่อยหรือ?” ในเวลาเดียวกัน หลินเสวี่ยเฟิง กล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ หยุดเพื่ออันใด” ซางกวนฮ่าวหยางหันศีรษะและมองไปที่หลินเสวี่ยเฟิง จากนั้นแสร้งทำใบหน้างุนงง
“ ……” หลินเสวี่ยเฟิงมองไปที่ซางกวนฮ่าวหยาง โดยพูดไม่ออก จากนั้นกลั้นใจและพูดขึ้นว่า: “พี่ซางกวน, จิ้งจอกหางคู่ตนนั้น ไม่ใช่สัตว์ที่เอาไว้ประดับบารมี แต่มันคือสัตว์ของราชวงศ์หลิน เราปล่อยให้มันตายไม่ได้”
“ แล้วอย่างไร เจ้ากำลังบอกว่า จิ้งจอกหางคู่ ไม่ได้เป็นของหลินกวนเทียนงั้นหรือ แต่ตอนนี้มันฟังคำสั่งของหลินกวนเทียน และช่วยเขากลั่นแกล้งหลินเว่ย แม้ว่ามันจะถูกฆ่าก็สมควรแล้ว” ซางกวนฮ่าวหยางตีหน้าหนาพูดด้วยเสียงเย็นชา
“ใช่! อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้เกิดขึ้นต่อหน้าสาธารณชน เราทุกคนสามารถมองเห็นสาเหตุและผลของเรื่องนี้ได้ มันเป็นการยั่วยุที่ไร้เดียงสาของหลินกวนเทียน ถึงเวลาแล้วที่จะเรียนรู้บทเรียนที่จะช่วยให้ความคิดของเขาเติบโตขึ้น “เหลยเป่าทำท่างลำบากใจและพูดขึ้น
“นี่มัน…!” หลังจากได้ยินคำตอบของทั้งสองคน พวกเขาเห็นว่าจิ้งจอกหางคู่ สามารถหลีกเลี่ยงการโจมตีของราชาอินทรีพยัคฆ์ได้ในระยะหนึ่ง แต่เห็นได้ชัดว่ามันไม่สามารถทนได้นานนัก
ดังนั้นหลินเสวี่ยเฟิง จึงรีบหันหน้าไปมอง หลินคังซ่ง และผู้อาวุโสสูงสุดหลายคนที่อยู่ข้างหลัง หวังว่าพวกเขาจะกดดันซางกวนฮ่าวหยางด้วยกัน
ชายสามคนที่อยู่ด้านหลัง หลินเสวี่ยเฟิงและ หลินคังซ่งมองหน้ากัน แต่ไม่มีใครพูด ภารกิจของพวกเขาคือ การดูแลความปลอดภัยของผู้เข้าร่วมการแข่งขัน พวกเขาไม่อยากเข้าไปยุ่งในเรื่องอื่น พวกเขารู้บางอย่างเกี่ยวกับสถานการณ์ของหลินเว่ย โดยธรรมชาติแล้ว หลินเว่ยก็มีสายเลือดของตระกูลหลินเช่นกัน ด้วยวิธีนี้ หลินกวนเทียนและ หลินเว่ย มีสายเลือดเดียวกัน ในระหว่างนี้พวกเขาย่อมเลือกหลินเว่ย ซึ่งเป็นปีศาจที่มีพรสวรรค์ที่แข็งแกร่งกว่า
“แค่ก!” หลินคังซ่งไอสองครั้ง แล้วพูดกับ ซางกวนฮ่าวหยาง”พี่ซางกวน คราวนี้เป็นหลินกวนเทียนจริง ๆที่ทำผิดไป ข้าจะให้เขาแก้ไขสิ่งนี้ แต่ตอนนี้ ท่านอยากให้คนอื่นเห็นเรื่องตลกของอาณาจักรเฟิงหยูหรือ?”
“หลินเว่ยและ หลินกวนเทียน เกิดความขัดแย้งกันที่นี่ มันทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะ และเข้าใจผิดคิดว่าสถานศึกษาเทียนหยูของเรา ขัดแย้งกับราชวงศ์ของอาณาจักรเฟิงหยู หลินคังซ่งเริ่มพูดคุยด้วยเหตุผล เอาล่ะจำเป็นต้องหยุดเรื่องนี้ หลังจากนั้น หากเกิดผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่าย มันจะไม่ดีสำหรับหลินเว่ยในอนาคต ” เมื่อซางกวนฮ่าวหยางพร้อมที่จะอ้าปาก เขารู้สึกว่ามีคนดึงแขนเสื้อของเขา และจากนั้นเขาก็ได้ยินเสียง หลงซีเฉินพูดอยู่ข้างหูของเขา
“เอาล่ะ! พอแล้ว! ในอนาคต หากเจ้าไม่มีสายตากว้างไกล ก็รับผิดชอบด้วยตนเอง ไม่ต้องให้ข้าช่วยเหลือล่ะ” เมื่อได้ยินคำพูดของหลงซีเฉิน, ซางกวนฮ่าวหยาง แม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกไม่พอใจกับคำพูดของหลินคังซ่ง ใบหน้าของเขาไม่ยินยอม
จากนั้นริมฝีปากของซางกวนฮ่าวหยางก็ขยับ แต่เสียงของเขา ถ่ายทอดเข้าไปในหูของหลินเว่ย: “เว่ยเอ๋อ...หยุดได้แล้ว! ราชวงศ์สัญญาว่าจะให้หลินกวนเทียนขอโทษเจ้า หลังจากนั้น ในครั้งนี้ปล่อยจิ้งจอกหางคู่ไปเถอะ เห็นแก่อาจารย์!”
ทันใดนั้นเมื่อได้ยินคำพูดของซางกวนฮ่าวหยาง สีหน้าของหลินเว่ยก็ตกตะลึง จากนั้นเขาก็พูดกับราชาอินทรีพยัคฆ์ว่า “กลับมา!”
“ พรึ่บ!”เมื่อได้ยินคำสั่งของหลินเว่ย ใบหน้าของราชาอินทรีพยัคฆ์ตัวน้อยดูงงงวย แต่เขาก็ไม่ได้ถามอะไรมาก หลังจากหยุดการโจมตีจิ้งจอกหางคู่แล้ว เขาก็กลับไปที่ด้านข้างของ หลินเว่ย และยืนอยู่ด้านหลังหลินเว่ย สายตาของเขาจับจ้องไปที่จิ้งจอกหางคู่ที่อยู่ตรงหน้า
“ ต้องการสู้ต่ออีกหรือไม่?” หลินเว่ยมองไปที่ หลินกวนเทียน และเห็นว่า เขาหลบสายตา ก็ไม่กล้าเงยหน้ามอง มุมปากของเขายกขึ้น และแสดงรอยยิ้มตลก ๆ
“ ฮึบ!” หลินกวนเทียน ดูเหมือนจะได้รับการตักเตือนจากคนอื่น แม้ว่าจะได้ยินคำพูดของหลินเว่ย เขาก็กำหมัดแน่น หอบหายใจรุนแรง และหัวใจของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะท้าทายหลินเว่ยอีกต่อไป เขาทำได้เพียงแค่นเสียงเย็นชา หันศีรษะไปด้านหนึ่งแล้วก้มหน้าลงไป
สำหรับคนอื่น ๆ เมื่อเห็นหลินกวนเทียนจำใจกลืนความอับอายลงไปในท้อง คนอื่น ๆก็ไม่กล้าที่จะยั่วยุหลินเว่ยอีกต่อไป เฉินเฉินขมวดคิ้วและก้มหน้าต่ำ จนเขาไม่กล้ามองไปที่หลินเว่ย เพราะเกรงว่า หลินเว่ยอาจจะพาลมาหาเรื่องเขา ท้ายที่สุด ตอนที่เขาอยู่ในดินแดนลับ เขาก็ไม่ได้ปฏิบัติตัวดีต่อหลินเว่ยนัก
“จำนวนกี่คน! เรามาเริ่มกันได้แล้ว” หนึ่งในสามผู้ตัดสินกล่าวอย่างยินดี
“ไปกันเถอะ!” หลินกวนเทียนกล่าวด้วยใบหน้าที่อดกลั้น และพยักหน้า จากนั้นเขาก็มองไปที่ หลินเว่ย เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ขยับตัว และไม่ได้ตั้งใจที่จะก้าวไปข้างหน้า ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจว่า อีกฝ่ายต้องการให้พวกเขาออกไปก่อน
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ หน้าผากของหลินกวนเทียนเต็มไปรอยดำทะมึน แต่หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ร่างกายของเขาก็คล้ายกับบอลที่ยุบตัวลง ค่อยๆก้าวไปหาผู้ตัดสินทั้งสามคน และเริ่มนำแก่นคริสตัลออกมา คนอื่น ๆ อีกหลายคน รวมทั้งกวนเจิ้น และหมิงจิ้ง ก็รีบวิ่งขึ้นไปเช่นกัน
“ กรอบแกรบ … !” แก่นคริสตัลทั้งเจ็ดกองตกลงสู่พื้น กลายเป็นเนินเขาขนาดต่าง ๆกันเจ็ดลูก คนที่มีจำนวนมากที่สุดคือคนที่อยู่ตรงหน้า นั่นคือ เฉินเฉิน แต่คนที่มีคริสตัลระดับสูง คือคนที่อยู่ข้างหน้าเขา นั่นคือ หลินกวนเทียน
แก่นคริสตัลที่เก็บรวบรวมโดย หลินกวนเทียนนั้น เป็นระดับ 8 และระดับ 9 และเขายังแก่นคริสตัลศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามชิ้นออกมา
“ทีม อาณาจักรเฟิงหยูได้คะแนน 435,001 คะแนน” ผู้ตัดสินรายงานผลการตรวจนับของพวกเขาต่อหน้าหลินกวนเทียน
“ฮึ่ม! ไปกันเถอะ หลินกวนเทียนไม่ต้องการที่จะอยู่ต่อไป เขาโบกมือเก็บแก่นคริสตัลที่อยู่บนพื้นดิน และพูดเสียงเย็นชา จากนั้นเขาก็หันกลับมา และจากไป เมื่อเขาผ่านหลินเว่ย เขาก็หยุดก้าวเท้า และ มองไปที่ หลินเว่ยอย่างเย็นชา หลังจากหายใจเข้าลึก ๆ เขาไม่ได้พูดอะไรอีกต่อไป และเดินผ่าน หลินเว่ยไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นหลินกวนเทียนมองมาที่ตาของเขา หลินเว่ยก็ยักไหล่และพูดด้วยรอยยิ้มเย็น ๆ ว่า “ถึงตาเราแล้ว”
เมื่อเทียบกับกลุ่มอื่นๆ ในสี่อาณาจักร กลุ่มของหลินเว่ยมีจำนวนคนมากที่สุด โดยมีทั้งหมดเก้าคน คนที่มีแก่นคริสตัลน้อยที่สุดคือ เย่จื่อเวิน อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้รวมกลุ่มกับ หลินเว่ยเมื่อตอนอยู่ในดินแดนลับ ดังนั้นเขาจึงไม่เสียใจที่ตนเองได้คริสตัลค่อนข้างน้อย และมาจากความสามารถของตัวเขาเอง
“ กรอบแกรบ … !” แก่นคริสตัลทั้งเจ็ดกอง เรียงรายเป็นแถวเป็นแนวยาว ปรากฏต่อหน้าทุกคน มีเพียงสองคนที่อยู่ข้างหน้าพวกเขา จำนวนแก่นคริสตัลมีเพียงน้อยนิด
และมีสองคนที่มีแก่นคริสตัลมากมายราวกับเนินเขา
ทุกคนที่เฝ้าดูการนับคะแนน ต่างตื่นตะลึง โดยเฉพาะผู้ตัดสินทั้งสามคน เมื่อพวกเขามองไปที่ดวงตาของหลินเว่ย พวกเขาก็รู้สึกหวาดกลัว และการแสดงออกของพวกเขาสั่นงึกๆทั้งสามคน
“เป็นไปได้อย่างไร เจ้าต้องโกงแน่นอน จะมีแก่นคริสตัลขั้นศักดิ์สิทธิ์มากมายขนาดนี้ได้อย่างไร หลินกวนเทียนร้องโวยวาย ตะโกนด้วยใบหน้าดุร้าย
“ โง่เง่า!” เมื่อได้ยินว่าหลินกวนเทียนเริ่มตั้งคำถามกับหลินเว่ย เขาก็หันหน้าไปมองอีกฝ่าย พลางเม้มริมฝีปากและพูดประชดประชัน