ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 425 คนเป็น
- Home
- All Mangas
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 425 คนเป็น
ตอนที่ 425 คนเป็น
ไอน์ฮอร์น? แม้ลูเมี่ยนจะไม่ได้เรียนหนังสือ แต่ก็ผ่านการอบรมอย่างเข้มงวดจากโอลัวร์ จึงทราบดีว่าชื่อสกุลนี้ คือตัวแทนของราชวงศ์จักรวรรดิฟุซัคทางตอนเหนือ
ก่อนหน้านี้ เขาเห็นเอโลอีสทำตัวเกร็งๆ แถมยังว่านอนสอนง่ายต่อหน้าปุยฟ์·เซารอน จึงเข้าใจว่าครอบครัวฝ่ายบิดาของเธอคงไม่โดดเด่นเท่าไร หรืออาจจะเสื่อมโทรมแล้ว ต้องมาพึ่งพาใบบุญผู้พี่ แต่ใครจะรู้ว่าเธอมีนามสกุลอันโดดเด่นถึงเพียงนี้
ต้องไม่ลืมว่า นับตั้งแต่จักรวรรดิฟุซัคถูกสถาปนาขึ้นในช่วงตอนปลายยุคที่สี่ จวบจนปัจจุบันก็ผ่านมากว่าพันปีแล้ว ตำแหน่งจักรพรรดิยังคงเป็นของตระกูลไอน์ฮอร์นมาโดยตลอด ขณะที่ตระกูลเซารอนสูญเสียบัลลังก์อินทิสไปเกือบสองร้อยปีแล้ว ดังนั้น ระหว่างสองตระกูลนี้ ใครสูงใครต่ำกว่ากันจึงเห็นได้ชัด
อัลบัส·เมดีซีมองเอโลอีสด้วยความประหลาดใจเบาๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงท้าทาย
“คุณก็เป็นไอน์ฮอร์นด้วยหรือ ดูไม่ออกเลย”
เอโลอีสมองตรงไปข้างหน้า กลับไปสู่อากัปกิริยาสงบเสงี่ยม
เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์
“ตระกูลเซารอนกับไอน์ฮอร์นมักสมรสระหว่างกันปกติ ถึงแม้ตระกูลเซารอนจะออกจากบัลลังก์อินทิสนานแล้ว แต่ก็ยังคงรักษาธรรมเนียมนี้มาตลอด แม่ของฉันก็แค่แต่งกับคนของราชวงศ์ไอน์ฮอร์นเท่านั้น”
กวีอีแลตถามด้วยความสนใจ
“ที่แท้คุณก็นามสกุลไอน์ฮอร์น แล้วทำไมถึงมาอยู่ทรีอาร์ล่ะ? ตอนที่ฉันเริ่มรู้จักเคานต์ปุยฟ์ คุณก็อาศัยอยู่ในปราสาทหงส์แดงแล้ว”
“หกปีก่อน พ่อของฉันเสียชีวิตในสงครามระหว่างจักรวรรดิฟุซัคกับราชอาณาจักรโลเอ็น แม่จึงพากลับมาอยู่ที่ทรีอาร์ อาศัยในบ้านของปู่ทวด ซึ่งก็คือปู่ของปุยฟ์” เอโลอีสถอนหายใจแผ่วเบา “เมื่อสักสองปีก่อน ปู่ทวดท่านก็สิ้นลม เมื่อปีก่อน แม่ก็ป่วยตายไป”
ตายถี่ไปหน่อยไหมเนี่ย? อา…โอลัวร์เคยบอกว่า ถึงแม้สี่อาณาจักรมหาอำนาจของทวีปเหนือ จะเดี๋ยวร่วมมือ เดี๋ยวตีกันเอง แต่ธรรมเนียมการสมรสระหว่างราชวงศ์กับขุนนางก็ไม่เคยขาดหาย จนในภายหลังเริ่มมีกรณีที่ญาติสนิทสมรสกันเอง…ตามที่ฟรังก้าเล่า เมื่อก่อนเส้นทางนักล่าอยู่ในความควบคุมของตระกูลเซารอนกับไอน์ฮอร์น หรือว่าการสมรสระหว่างนักล่ากับนักล่า จะช่วยรับประกันว่า ลูกหลานจะเหมาะกับเส้นทาง ‘นักล่า’ มากขึ้น? ลูเมี่ยนถือโคมไฟคาร์ไบด์ มุ่งตรงไปตามทางเดินสู่ทางออกของห้องหุ่นขี้ผึ้ง
แสงจากโคมไฟคาร์ไบด์สีเหลืองอมส้ม ส่องลงบนใบหน้าหุ่นขี้ผึ้งตลอดสองข้างทาง ทำให้ดูซีดเหลืองราวกับมีชีวิต
ระหว่างที่ลูเมี่ยนเดินไป ก็จำใจต้องเฉียดเฉี่ยวนั่นนี่อย่างมิอาจเลี่ยง จนสัมผัสถึงความเย็นเฉียบกับความแข็งทื่อของพวกมัน สามารถยืนยันได้ว่าทั้งหมดคือหุ่นขี้ผึ้งจริงๆ
สุดท้ายทั้งสี่ก็มาถึงอีกฟากหนึ่งของห้อง แล้วเปิดประตูไม้สีดำเหล็ก
ก่อนจะออกไป ลูเมี่ยนหันกลับไปมองตามความเคยชิน
ภายในห้องที่มืดลงแล้ว ใบหน้าเปี่ยมความทุกข์ของบรรดาหุ่นขี้ผึ้ง ปรากฏเลือนรางท่ามกลางแสงสะท้อนสลัวๆ จากโคมไฟ
ดวงตาของพวกมันคล้ายกับหันมาทางนี้ แอบเหล่ทางออกอย่างเงียบงัน
เป็นอีกครั้งที่ลูเมี่ยนนึกถึงประสบการณ์ถูกหุ่นขี้ผึ้งในแม่น้ำโจมตี มือที่ห้อยลงตามธรรมชาติจึงแอบยกขึ้นเล็กน้อย ชูนิ้วกลางใส่หุ่นขี้ผึ้งทั้งห้องอย่างเงียบงัน
“อยากจุดไฟเผาที่นี่ทิ้งจังแฮะ” อยู่ดีๆ อัลบัส·เมดีซีก็พูดด้วยน้ำเสียงเสียดาย
ลูเมี่ยนชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเห็นด้วยในใจ
ไอเดียดีนี่!
เด็กหนุ่มสงสัยว่า หากตนสามารถจุดไฟเผาหุ่นขี้ผึ้งจนวอดวาย โอสถก็คงจะย่อยเสร็จสมบูรณ์
เอโลอีส·ไอน์ฮอร์นพูดจากด้านข้างด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
“ปราสาทหงส์แดงเกิดไฟไหม้โดยเฉลี่ยเดือนละสามครั้ง”
นี่เธอจะบอกพวกเราว่า เผาได้เลย ไม่ต้องกลัวอะไร? ลูเมี่ยนรำพันเงียบ ก่อนจะเดินไปตามเส้นทางด้านหลังห้องหุ่นขี้ผึ้ง
ทางเดินนี้ลาดลง นำไปสู่คูหาใต้ดินที่ลึกยิ่งขึ้น
ลูเมี่ยนอยากจะหนีบริมฝีปากแล้วผิวปากแสดงความรู้สึก แต่สุดท้ายก็อดกลั้นความคิดเอาไว้
ทั้งสี่เดินลงไปไม่พัก จนกระทั่งทางเดินเลิกชัน กลับมาเรียบตรงอีกครั้ง
โคมไฟผนังบริเวณนี้ถูกดับทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นประเภทแก๊สหรือเทียนไข ทุกอันหลับใหลอยู่ในความมืดมิด
ภายใต้แสงสีเหลืองอมส้มจากโคมไฟคาร์ไบด์สี่ดวง ลูเมี่ยนมองเห็นห้องที่มีประตูไม้เปิดแง้มอยู่ทางเฉียงซ้ายด้านหน้า กลิ่นคาวเลือดจางๆ ลอยโชยมาจากด้านใน ความเหม็นสุดจะบรรยาย
เด็กหนุ่มเดินเข้าไปใกล้ ยื่นมือไปผลักประตูไม้บานนั้น
แสงสว่างทะลักเข้าไป ทิวทัศน์ภายในห้องฉายเข้าสู่การมองเห็นของลูเมี่ยน อัลบัส และที่เหลือ
นี่เป็นห้องนอนไม่ใหญ่นัก เตียงนอนพังยุบตัว ไม้ผุพัง โต๊ะล้ม ของเล็กๆ น้อยๆ กระจัดกระจายอยู่กลางห้อง
รอบๆ ผนังมีรอยบางอย่างลึกลงไปเป็นทางยาว ราวกับมีใครบางคนฝืนใช้เล็บขูดกับผนัง จนกระทั่งนิ้วมือเหวอะหวะ ซึมเลือดออกมา
คราบเลือดเกรอะกรังตกค้างอยู่ในร่อง พวกมันกลายเป็นสีดำเพราะทำปฏิกิริยาเคมีกับอากาศ รูปลักษณ์อาจเปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่ยังคงรักษากลิ่นคาวจางๆ เอาไว้ได้อย่างน่าประหลาด
ทันใดนั้น เสียงนกหวีดดังขึ้นข้างหูลูเมี่ยน
นี่เป็นวิธีแสดงอารมณ์ของอัลบัส·เมดีซี
เขาเบียดผ่านลูเมี่ยนเข้าไปในห้อง ยื่นมือไปลูบรอยขูดลึกบนผนัง
“ฉันสามารถจินตนาการได้ว่า เสียงในตอนนั้นน่าขนลุกเพียงใด” ดูเหมือนเอโลอีสแก้มยุ้ยจะให้ความสนใจผิดจุด
ลูเมี่ยนเชื่อว่า คงมีคนเคยเสียสติในปราสาทหงส์แดง จึงถูกนำมาขังไว้ในห้องนี้ ร่องรอยบนกำแพงคือสิ่งที่อีกฝ่ายทิ้งไว้ก่อนตาย
หลังจากค้นหาสักพักแล้วคว้าน้ำเหลว พวกเขาก็กลับออกมาเดินต่อ
พอมาถึงทางสามแพร่งก็เลือกทางขวา จนได้พบกับอีกห้องหนึ่ง ซึ่งมีประตูไม้เปิดแง้ม
ภายในห้องพังเละเทะ เลือดสีดำกระจายอยู่ทั่ว บนผนังคล้ายกับมีบางสิ่งที่เหมือนเนื้อเน่าติดอยู่
อัลบัส·เมดีซี มองสำรวจครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้า
“มีคนระเบิดตัวเองที่นี่ จากภายในสู่ภายนอก เลือดเนื้อสาดกระจายไปทั่วเลย”
ลูเมี่ยนพยักหน้าเบาๆ จนแทบสังเกตไม่เห็น คำพูดของอีกฝ่ายใกล้เคียงกับข้อสรุปของตน
หรือจะเป็นการตายของ ‘นักวางเพลิง’ ที่คลุ้มคลั่ง?
กวีอีแลตที่ถือโคมไฟคาร์ไบด์ไว้มือหนึ่ง สูบกล้องยาไม้ท้ออย่างทุลักทุเล พลางแสดงความเห็นของตน
“ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง แต่จากเท่าที่ฟัง กลิ่นอายเหมือนบทกวีมากเลย”
การระเบิดก็ถือเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง? ลูเมี่ยนรำพันเงียบ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องแล้วเริ่มค้นหา
ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ เด็กหนุ่มยิ่งกระวนกระวายกว่าทุกที เต็มไปด้วยแรงกระตุ้นที่จะก่ออาชญากรรม
คราบเลือดและชิ้นเนื้อเน่าเหม็นเหล่านั้น ดูเหมือนจะแผ่ออร่าที่สร้างอิทธิพลกับสภาวะจิตใจของผู้อื่น
เดินต่อไปอีกสิบกว่าเมตร พวกเขาก็พบอีกหนึ่งห้องริมทางเดินที่มีประตูไม้เปิดแง้ม
ห้องนี้ไม่มีกลิ่นคาวเลือดโชยออกมา แต่กลับทำให้ลูเมี่ยนที่เดินเข้าใกล้รู้สึกเหมือนผิวหนังถูกของมีคมจ่อ ขนทุกเส้นลุกชูชันตามสัญชาตญาณ
คม!
คำดังกล่าวผุดในหัวเด็กหนุ่มโดยปริยาย
เมื่อแสงจากโคมไฟคาร์ไบด์ส่องเข้าไป ลูเมี่ยนกับเอโลอีสพบว่าเครื่องเรือนในห้อง ล้วนถูกตัดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ไม่ว่าจะเตียงนอนหรือโต๊ะอ่านหนังสือ ก็กองซ้อนกันเป็นลูกเต๋าขนาดเท่านิ้วมือในสภาพกึ่งพังทลาย
“ฝีมือดาบน่าทึ่งมาก” อัลบัส·เมดีซีหัวเราะ
สิ่งที่ลูเมี่ยนสนใจมิใช่ประเด็นดังกล่าว แต่เป็นเรื่องที่ห้องนี้แตกต่างจากสองห้องก่อนหน้า ซึ่งมีคราบเลือดเก่าหรือเศษเนื้อเน่าหลงเหลืออยู่
คนที่เคยอาศัยอยู่ในห้องไปไหนแล้ว? ลูเมี่ยนเพ่งพินิจตรวจสอบทั่วทั้งห้อง จากนั้นก็หันหลังเดินออกไป
ไม่นานทุกคนก็ได้เห็นบันไดหินลาดลง ส่วนล่างของบันไดจมอยู่ในความมืด ราวกับว่าลึกจนไร้ก้น
ทั้งสองฝั่งของบันไดต่างมีห้องประตูไม้เปิดแง้มอยู่ ด้านในมืดสนิทราวกับสามารถกลืนกินแสงสว่างกับความเคลื่อนไหวทั้งหมด
ลูเมี่ยนเลือกบานซ้ายโดยสัญชาตญาณ ผลักประตูเปิดออก แล้วยื่นโคมไฟคาร์ไบด์เข้าไปข้างใน
ท่ามกลางแสงสีเหลืองอมส้ม เด็กหนุ่มเห็นเตียงนอนสภาพดี รวมถึงโต๊ะกับเก้าอี้ที่ปราศจากร่องรอยความเสียหาย
บนผนังตรงหน้ามีดาบตรงสองเล่มที่สะท้อนแสงเย็นๆ แขวนอยู่ บนโต๊ะวางกองบล็อกที่มีสีสันและรูปร่างต่างกัน กับทหารกระป๋องที่มีความสูงเพียงแค่เทียนเรียงอยู่แถวหนึ่ง
ทหารกระป๋องเหล่านี้ล้วนสวมเสื้อโค้ตสีน้ำเงินปักด้ายทอง ถือหอกยาวคล้ายกิ่งไม้หรือปืนไรเฟิลสีดำ เป็นของเล่นที่เคยได้รับความนิยมอย่างมากในอินทิสมานานกว่าหนึ่งถึงสองร้อยปี เป็นที่ชื่นชอบของเด็กๆ ยิ่งนัก
ลูเมี่ยนเดินเข้าไปใกล้ วางโคมไฟคาร์ไบด์ให้มั่นคง แล้วหยิบทหารกระป๋องตัวหนึ่งขึ้นมา เพื่อหมุนลานด้านหลังของมันอย่างชำนาญ
ท่ามกลางเสียงแกร๊กแกร๊ก ทหารกระป๋องก็ขยับตัวเคลื่อนไหว เดินโซเซไปข้างหน้า แล้วยกหอกในมือขึ้น
ลูเมี่ยนจำได้ว่าตอนเด็กๆ ก่อนที่แม่จะล้มป่วยเสียชีวิต และก่อนที่ปู่จะล้มละลาย เขาเองก็เคยมีทหารกระป๋องชุดใหญ่แบบนี้
“ที่นี่ไม่มีร่องรอยการทำลาย มีแต่สิ่งของจากวัยเด็กจนถึงวัยผู้ใหญ่” เอโลอีสพูดหลังจากเดินดูรอบห้อง
ส่วนอัลบัส·เมดีซีพูดยิ้มๆ
“ไม่รู้ว่าตอนนี้เจ้าของห้องไปอยู่ที่ไหน เขาไม่ได้เสียสติจนขูดผนัง และไม่ได้ระเบิดตัวเองจากภายในสู่ภายนอก”
ระหว่างที่พวกเขากำลังพูดคุย ลูเมี่ยนยื่นมือขวาออกไป พยายามดึงลิ้นชักของโต๊ะสีไม้ธรรมชาติ เพื่อดูว่าข้างในมีอะไร
ทันใดนั้น เด็กหนุ่มได้ยินเสียงแผ่วเบาลอยมา
“ปู่ของผมเสียสติ เข้าไปในส่วนลึกของคูหาใต้ดิน แล้วก็ไม่กลับออกมาอีก…”
ลูเมี่ยนตื่นตัว หมุนกายครึ่งหนึ่ง กวาดสายตาเพื่อหาต้นตอของเสียง
พวกอัลบัสกับเอโลอีส ต่างทำท่าทางคล้ายกัน เห็นได้ชัดว่าทั้งสองได้ยินเสียงนั้นด้วย
“พ่อของผมเสียสติ เข้าไปในส่วนลึกของคูหาใต้ดิน แล้วก็ไม่กลับออกมาอีก…”
“พี่ชายของผมเสียสติ เข้าไปในส่วนลึกของคูหาใต้ดิน แล้วก็ไม่กลับออกมาอีก…”
“ผม…ได้ยินเสียงเรียกจากส่วนลึกของคูหาใต้ดิน…”
ลูเมี่ยน อัลบัส เอโลอีส และอีแลต ต่างพากันมองไปยังประตูไม้อีกฝั่งหนึ่งของทางเดินโดยพร้อมเพรียง
เสียงอันเลือนรางนั่น ดังออกมาจากตรงนั้นพอดี
อีแลตที่ยังยืนอยู่บนทางเดิน ผลักประตูไม้ด้านหลังตนเปิดทันทีโดยไม่เกรงกลัว เพราะเป็นพวกไม่รู้ความ
แสงสีเหลืองอมส้มฉายเข้าไปทันใด เผยให้เห็นเงาของสองคน รวมถึงสิ่งของกองพะเนิน
หนึ่งในนั้นคือหุ่นสีขาวเนื้อ ติดอยู่กับขาตั้งโลหะ ยังไม่มีผม เค้าโครงใบหน้ายังดูค่อนข้างหยาบ
รอบๆ มันมีแม่พิมพ์ เส้นผม ดินเหนียว และสีที่บรรจุอยู่ในภาชนะ
ชายคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมยาวสีเทาดำ ผมแดงสดยาวทิ้งตัวตามธรรมชาติ กำลังถือพู่กัน คอยเพ่งสมาธิทาสีหุ่นอย่างตั้งใจ
สัมผัสถึงแสงจากโคมไฟที่ส่องเข้ามา ชายคนนี้บรรจงเงยศีรษะ เผยให้เห็นใบหน้าหยาบกร้านที่มีเคราและผมดกหนา ดวงตาดำราวกับเหล็ก
เขามองลูเมี่ยนกับอีแลต พูดด้วยน้ำเสียงล่องลอยจังหวะเชื่องช้า
“พวกคุณ อยากทำหุ่นขี้ผึ้งหรือ”
……………………………………………………..