ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 424 คูหาใต้ดิน
- Home
- All Mangas
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 424 คูหาใต้ดิน
ตอนที่ 424 คูหาใต้ดิน
……….
อัลบัส·เมดีซี…ลูเมี่ยนทวนชื่อนี้ในใจ พลางมองไปยังสมาชิก ‘ชุมนุมกางเขนเลือดเหล็ก’ คนดังกล่าว รู้สึกแปลกใจที่อีกฝ่ายเอ่ยชื่อเต็มออกมา
ในการชุมนุมที่การ์ดเนอร์·มาร์ตินจัดขึ้น อัลบัสไม่เคยบอกนามสกุลของตน และการ์ดเนอร์·มาร์ตินก็ไม่เคยแนะนำ แต่ตอนนี้ ต่อหน้าเคานต์ปุยฟ์·เซารอน เขากลับพูดชื่อเต็มออกมา
เพื่อให้การปลอมตัวยิ่งดูสมจริงหรือไง? สายตาของลูเมี่ยนกวาดผ่านใบหน้าอัลบัส พบว่าเมื่อเคานต์ปุยฟ์เอ่ยคำว่า ‘เมดีซี’ ออกมา อัลบัสมิได้สงวนท่าทีเย้ยหยันของตนเลย ราวกับกำลังจิกกัดคนของตระกูลเซารอนรายนี้อยู่
“ชาร์ล·ดูบัวส์” ลูเมี่ยนยื่นมือขวาออกไป พร้อมแนะนำชื่อของตนอย่างสุภาพ
อัลบัสจับมืออย่างไม่เป็นพิธีนัก สายตาฉายแววหยอกเย้าชัดเจน
แล้วก็กล่าวว่า
“ผมเคยได้ยินชื่อของคุณ…ผู้อุปถัมภ์ศิลปะใจกว้าง”
สมาชิก ‘ชุมนุมกางเขนเลือดเหล็ก’ รายนี้เน้นย้ำคำว่า ‘ใจกว้าง’ เป็นพิเศษ
“หลักๆ ก็ต้องขอบคุณผู้สนับสนุนของผม” ลูเมี่ยนพูดเล่นคำ
สำหรับแขกคนอื่น เด็กหนุ่มกำลังพูดถึง ‘ผู้สนับสนุน’ ในรูปของบิดา ครอบครัวที่ร่ำรวย แต่ในฐานะคนของชุมนุมกางเขนเลือดเหล็ก อัลบัสย่อมเข้าใจความหมายแท้จริง
หลังจากปราศรัยสองสามประโยคกับลูเมี่ยน ปุยฟ์·เซารอนก็พาเด็กหนุ่มมายังโซนโซฟา
ครั้งนี้มีผู้ร่วมงานไม่มากนัก ส่วนใหญ่เป็นคนคุ้นหน้า อย่างเช่นเอโลอีส ญาติผู้น้องของปุยฟ์, นักเขียนนวนิยายอาร์โนลี, จิตรกรมาเลน, นักวิจารณ์เอินส์ และกวีอีแลต
หลังจากทุกคนคุยเล่นกันสักพัก ดื่มชาดำกับของว่างเสร็จ เคานต์ปุยฟ์ก็มองไปรอบๆ แล้วเสนอด้วยรอยยิ้ม
“วันนี้เราไปผจญภัยกันไหม”
“ผจญภัย?” อัลบัสเงยหน้ามองเพดาน ถามกลับด้วยน้ำเสียงเจือความเยาะเย้ย “ผจญภัยในห้องนอนหรือ”
เขาหมายความว่า แม้ปราสาทหงส์แดงจะไม่เล็ก ในยุครุ่งเรืองสามารถเป็นที่อยู่ของสมาชิกหลักในตระกูล รวมถึงที่ประจำการของทหารนับร้อย แต่ก็ไม่มีพื้นที่เหมาะสำหรับการผจญภัย จะให้ทุกคนเข้าห้องนอน ขึ้นเตียง แล้วผจญภัยแบบชาวทรีอาร์ก็คงไม่ได้
มุกตลกนี้ทำเอาบรรยากาศเริ่มครื้นเครง ปุยฟ์·เซารอนกระแอมเบาๆ ก่อนจะกล่าว
“พวกคุณอาจไม่ทราบ ปราสาทหงส์แดงก็มีพื้นที่ใต้ดินอันกว้างใหญ่เช่นกัน”
“ในยุคที่สร้างปราสาทหลังนี้ สิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึงคือประโยชน์ในการทำศึกสงคราม หากไม่มีห้องเก็บของใต้ดินขนาดใหญ่ รวมถึงทางลับสำหรับอพยพในยามวิกฤต ก็ชัดเจนว่าไม่ผ่านมาตรฐาน”
“ตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา บรรพบุรุษทุกรุ่นต่างซ่อมแซมหรือต่อเติมในส่วนใต้ดิน ทำให้ข้างล่างยิ่งคล้ายเขาวงกต ยิ่งคล้ายฉากในเรื่องสยองขวัญ แม้แต่คนที่เติบโตในปราสาทหงส์แดงอย่างผม ความรู้เกี่ยวกับใต้ดินก็จำกัดอยู่แค่บริเวณที่ใช้บ่อยๆ”
“เป้าหมายของเราในครั้งนี้คือ เข้าไปให้ถึงส่วนลึกของ ‘คูหาใต้ดิน’ เพื่อค้นหา ‘มงกุฎเคานต์’ ที่บรรพบุรุษท่านหนึ่งของผม ลืมทิ้งไว้ในห้องใดห้องหนึ่ง มันฝังทับทิมจำนวนมาก พวกคุณจะรู้ทันทีที่ได้เห็น”
“คนที่พบมงกุฎดังกล่าว จะเป็นราชาของวันนี้”
เข้าไปในส่วนลึกของ ‘คูหาใต้ดิน’…ฉากต่างๆ ทยอยผุดในหัวลูเมี่ยน
ผู้คนในปราสาทหงส์แดง ทำร้ายตัวเองไม่หยุด…
เสียงร้องโหยหวนจากแหล่งที่มาปริศนา…
โลงทองสัมฤทธิ์ที่ถูกล้อมด้วยเทียนขาวนับไม่ถ้วน…
ฝ่ามือที่เส้นเลือดแดงเข้มจนเกือบดำนูนเด่น…
หัวใจแห้งดำคล้ำ มีเลือดไหลซึมเล็กน้อย…
สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนจะซ่อนอยู่ในห้องโถงใต้ดินแห่งใดแห่งหนึ่ง!
ชั่วพริบตา ลูเมี่ยนก็พลันกระจ่าง
การทดสอบจากเคานต์ปุยฟ์·เซารอนมาถึงแล้วจริงๆ!
เด็กหนุ่มข่มความอยากมองไปรอบๆ พยายามไม่มองหาการ์ดเนอร์·มาร์ตินที่อาจแอบซ่อนอยู่ แต่มองไปที่อัลบัส·เมดีซีแทน
คนของชุมนุมกางเขนเลือดเหล็กผู้นี้หัวเราะ ‘หึๆ’ ในคอ
“น่าสนใจดี…นี่คือเกมของคนกล้า!”
ดูเหมือนเขาจะกลัวว่า คนอื่นอาจอิดออดไม่อยากร่วมผจญภัย จึงชิงพูดท้าทายตัดหน้า
ใครก็ตามที่ไม่เข้าร่วม คือพวกขี้ขลาด!
เคานต์ปุยฟ์เสริมต่อทันที
“ไม่ต้องกังวล ถ้าพวกคุณหลงทาง หาทางกลับไม่เจอ ก็แค่ดึงสายกระดิ่งในห้อง จะมีคนรับใช้ไปตามหาพวกคุณ พาออกจากคูหาใต้ดิน”
“ไม่มีปัญหา” อาร์โนลี นักเขียนนวนิยายร่างเตี้ยอ้วนพูดติดตลก “ที่จริงผมก็แอบหวังนะ ว่าให้มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง จะได้มีวัตถุดิบชั้นดีไปเขียนงาน”
“อย่างเช่น ‘วันสุดท้ายของอาร์โนลี’ น่ะหรือ” ลูเมี่ยนแซวติดตลก
เขาเคยร่วมงานชุมนุมของกลุ่มศิลปิน ‘แมวดำ’ หลายครั้ง รู้ว่านักเขียนนวนิยายอาร์โนลี กับกวีอีแลต เป็นคนที่แซวได้เสียดสีได้ ทั้งสองจะไม่ขุ่นข้องหมองใจเพราะสิ่งเหล่านี้เลย — ข้อห้ามของรายแรกคือ ห้ามชมนักเขียนคนอื่น ส่วนรายหลังจะอ่อนไหวกับสภาพสังคม รวมถึงปัญหาในโลกความจริงของอินทิสเป็นพิเศษ
อาร์โนลีจิบชาแดง แล้วพึมพำ
“พวกแก่ๆ ในวิทยาลัยวรรณกรรมอินทิสจะชอบแนวนี้มาก”
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครคัดค้าน เคานต์ปุยฟ์ก็ลุกขึ้นยืน กล่าวกับแขกทุกคน
“พวกเราจะแบ่งเป็นสองกลุ่มผจญภัย ระหว่างทางสามารถแยกไปทำกิจกรรมคนเดียวได้”
“กลุ่มหนึ่งให้ผมเป็นผู้นำ อีกกลุ่มตามชาร์ลไป เขาเคยเป็นพระราชาในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา”
“ใครอยากไปกับชาร์ล ยกมือขึ้น”
“ผม!” คนแรกที่ยกมือกลับเป็นอัลบัส·เมดีซี ลูเมี่ยนเคยนึกว่าเขาจะเลือกติดตามเคานต์ปุยฟ์·เซารอน เพื่อทำภารกิจของชุมนุมกางเขนเลือดเหล็ก
เคานต์ปุยฟ์ไม่แปลกใจแม้แต่น้อย ราวกับคาดหวังไว้แล้ว
คนที่สองที่ยกมือคือเอโลอีส ญาติผู้น้องของเจ้าบ้าน
เอโลอีส ผู้มีผมยาวสีน้ำตาลแดง คิ้วสีเดียวกันเรียบเสมอ ดวงตาสีน้ำตาลอมเหลืองสว่างกระจ่าง แก้มยังอวบอิ่มเหมือนเด็กทารกอยู่บ้าง เธอพูดกับลูเมี่ยนพร้อมรอยยิ้มว่า
“ทุกครั้งก่อนหน้านี้ ดิฉันมักจะเป็นคู่ของมิสเตอร์ชาร์ล ครั้งนี้ก็ไม่อยากเป็นข้อยกเว้น”
ลูเมี่ยนมองเธอแวบหนึ่ง ยิ้มแล้วพยักหน้ารับ
ตามความคิดของเด็กหนุ่ม หญิงสาวผู้ยังไม่ถึงยี่สิบปีคนนี้ มิได้เรียบร้อยอ่อนโยน ไร้เดียงสาบริสุทธิ์ดุจดังภาพลักษณ์ภายนอก
ครั้งหนึ่ง เขาเคยฝันว่าผู้เล่นเกมเค้กพระราชาส่วนใหญ่ต่างเสียสติ ทำร้ายตัวเอง หรือรังแกคนอื่น มีข้อยกเว้นเพียงสามคนเท่านั้น นั่นคือตัวลูเมี่ยนเอง ปุยฟ์·เซารอน และเอโลอีส!
สุภาพสตรีผู้ซ่อนความลับเช่นนี้ กลับเลือกจะผจญภัยใน ‘คูหาใต้ดิน’ พร้อมกับตน ทำให้ลูเมี่ยนอดสงสัยเจตนาที่แท้จริงของเธอไม่ได้
คนที่สามที่ยกมือคือกวีอีแลต
เขาถือกล้องยาสูบไม้ท้ออันเขื่อง เหตุผลไม่ซับซ้อน
“ชาร์ลคือผู้สนับสนุนของผม!”
อาร์โนลีนักเขียนนวนิยาย มาเลนจิตรกร และเอินส์นักวิจารณ์ที่เหลือ ต้องอยู่ในกลุ่มเดียวกับเคานต์ปุยฟ์·เซารอน
ทุกคนออกจากห้องรับแขกใหญ่ทันที ตรงไปยังรูปปั้นชุดเกราะเต็มยศ เดินลงบันไดใกล้เคียงที่กว้างพอให้ต่อแถวหน้ากระดานเรียงสอง บรรจงก้าวลงไปทีละขั้น
ผนังบันไดเต็มไปด้วยคราบหม่นหมอง สีเทาจางซีด วนลงต่อเนื่องราวกับไร้สิ้นสุด บรรยากาศยิ่งเงียบสงัดไปทุกที
เดินลงไปราวๆ สามชั้น ลูเมี่ยนกับคณะมาถึงทางเข้า ‘คูหาใต้ดิน’
บริเวณนี้เต็มไปด้วยโคมติดผนัง บางส่วนเชื่อมต่อกับท่อก๊าซ บางส่วนมีรูปทรงโบราณ จุดเทียนไข ทำให้ทั้งห้าทางเดินสว่างพอสมควร
ลูเมี่ยนเงยหน้ามองเพดาน พบว่ากระเบื้องหินสีดำสนิทกำลังหลับใหลในความสลัว รอยต่อชัดเจน พื้นผิวด้านบนมีการหลุดล่อนเล็กน้อย
“พวกเราเลือกทางนี้” เคานต์ปุยฟ์หยิบโคมไฟคาร์ไบด์จากผนัง นำทีมของตัวเองไปทางซ้ายสุด
หลังจากลูเมี่ยนจัดการโคมไฟคาร์ไบด์เสร็จ ก็เดินตรงไปข้างหน้าโดยไม่มัวคิดมาก ล้วนแล้วแต่ปล่อยให้สัญชาตญาณนำทาง
เด็กหนุ่มรู้สึกว่าในสถานการณ์เช่นนี้ การตั้งใจเก็บรายละเอียดกลับจะทำให้พลาดเป้าหมายได้ง่าย มีแต่ต้องเดินไปเรื่อยๆ โดยอาศัยกฎการรวมตัวของตะกอนพลัง อาศัยกลิ่นอายของ ‘จักรพรรดิโลหิต’ ที่ซ่อนเร้น จึงจะมีโอกาสพบเจอปลาตัวใหญ่กว่า
“ทำไมถึงเลือกทางนี้ล่ะ” อัลบัส·เมดีซีทำสีหน้าที่ใครเห็นเป็นต้องรู้สึกหมั่นไส้
ลูเมี่ยนตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก
“ผมเชื่อในการจัดวางของโชคชะตา”
“ฉันชอบเหตุผลนี้” เอโลอีสยิ้มเห็นด้วยเบาๆ
กวีอีแลต สูบกล้องยาไม้ท้ออันใหญ่ พลางพูดว่า
“ผมก็เชื่อเหมือนกัน แต่มีเงื่อนไขว่า โชคชะตาต้องโปรดปรานผม”
ทั้งสี่เดินลึกเข้าไปในทางเดิน รอบตัวเต็มไปด้วยห้องที่น่าจะเป็นห้องเก็บของ
ไม่นานก็มาถึงห้องโถงใหญ่ที่มีไฟสลัว จากตรงนี้มีประตูใหญ่ให้เลือกสามบาน
แต่ละบานเขียนภาษาฟุซัคโบราณไว้บานละคำ
‘ความหวัง’ ‘ความตาย’ ‘บ้าคลั่ง’
ลูเมี่ยนเลิกคิดไปนานแล้ว เพียงเดินไปทาง ‘ประตูบ้าคลั่ง’ โดยไม่แม้แต่จะกะพริบตา แล้วผลักมันเปิดออก
ด้านหลังประตูมืดสนิท พอแสงจากโคมไฟคาร์ไบด์ส่องเข้าไป ก็ปรากฏหุ่นขี้ผึ้งสมจริงยืนเรียงราย
หุ่นขี้ผึ้งเหล่านี้มีทั้งชายหญิง แต่งกายธรรมดาบ้าง หรูหราประณีตบ้าง ทุกตัวมีสีหน้าทุกข์ทรมานผิดปกติ
“ฝีมือไม่เลวเลย” อัลบัสยกมือขวา ตบหน้าหุ่นขี้ผึ้งตรงประตูเบาๆ ด้วยท่าทีดูแคลนเหยียดหยาม
เอโลอีสหันไปมองเขาแวบหนึ่ง
“แม่ของคุณไม่เคยสอนเรื่องมารยาทหรือ”
อัลบัสหัวเราะ
“ผมไม่มีแม่”
เอโลอีสเงียบไปชั่วขณะ ถึงกับไปต่อไม่เป็น
กวีอีแลตที่ด้านหลังกลุ่ม พึมพำด้วยสีหน้าชื่นชม
“ก่อนหน้านี้ คนลือกันว่าผมเป็นชู้กับหญิงหม้ายคนหนึ่ง ผมเลยแอบปล่อยข่าวลือว่า ผมเคยล่อลวงลูกสาวสส. คนหนึ่งมากักขัง, เคยฆ่าพ่อค้าไปคนหนึ่ง, เคยพัวพันข่าวลือเรื่องพายเนื้อมนุษย์, เพื่อนบ้านของผมมักหายตัวไปอย่างลึกลับ”
“ตราบใดที่ผมไม่ใส่ใจชื่อเสียง คอยบ่อนทำลายชื่อเสียงตัวเองไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็จะไม่มีใครสามารถยืนบนบัลลังก์แห่งคุณธรรมแล้วชี้นิ้วใส่ผมได้”
สมแล้วที่เป็นกวี…ลูเมี่ยนชมในใจเงียบๆ พลางถือโคมไฟคาร์ไบด์นำหน้าเข้าไปในห้องที่เต็มไปด้วยหุ่นขี้ผึ้ง โดยมีจุดหมายคือทางออกอีกฟากหนึ่งของห้อง
ภายใต้แสงสว่างสีเหลืองอมส้มจากโคมแก๊สติดผนัง หุ่นขี้ผึ้งทุกตัวดูราวกับมีชีวิต มองลูเมี่ยนกับคณะด้วยท่าทีเงียบงันของผู้สังเกตการณ์ สร้างบรรยากาศอึมครึมพิลึกพิลั่น
ลูเมี่ยนนึกถึงประสบการณ์เมื่อครั้งถูกหุ่นขี้ผึ้งลอบโจมตี รู้สึกว่าหุ่นขี้ผึ้งเหล่านี้อาจมีชีวิตได้ทุกเมื่อ แล้วจู่โจมตนกับคนข้างเคียง
ท่ามกลางความเงียบงันอันยากจะบรรยาย อัลบัส·เมดีซีเป็นผู้ทำลายบรรยากาศ
เขาพูดกับเอโลอีสด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย
“เธอเป็นญาติผู้น้องสายแม่ของปุยฟ์ คงไม่ได้ใช้นามสกุลเซารอนสินะ”
“ใช่” เอโลอีสยอมรับตามตรง
อัลบัสถามขึ้นลอยๆ
“แล้วมาจากตระกูลไหนล่ะ”
เอโลอีสเอียงหน้ามองอัลบัส·เมดีซีครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันไปมองลูเมี่ยนด้านหน้ากลุ่ม ตอบพร้อมรอยยิ้มว่า
“ชื่อเต็มของฉันคือ”
“เอโลอีส·ไอน์ฮอร์น”
……………………………………………………..