ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 423 พานพบอย่างไม่คาดฝัน
- Home
- All Mangas
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 423 พานพบอย่างไม่คาดฝัน
ตอนที่ 423 พานพบอย่างไม่คาดฝัน
……….
ได้ยินคำบ่นของจินนา ฟรังก้าอมยิ้มพลางกล่าว
“นี่ถือว่าปกติ ตราบใดที่เธอเข้าใจ ‘การสวมบทบาท’ การเลื่อนลำดับจะเร็วมากก่อนถึงลำดับกลาง จึงมักเก็บเงินไม่ทันค่าใช้จ่ายสำหรับซื้อสูตรโอสถหรือวัตถุดิบ”
“เธอไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน ลำดับ 7 ของเส้นทางนักลอบสังหารคือจุดเปลี่ยนเชิงคุณภาพ ซึ่งจะเพิ่มอำนาจการต่อสู้ รวมถึงพลังในการเอาตัวรอดได้อย่างมหาศาล…ก็อย่างที่เธอทราบ ในอนาคตจะเต็มไปด้วยหายนะ มีแต่ต้องกลายเป็น ‘แม่มด’ ควบคู่ไปกับการใช้ ‘ลูกศรผู้กระหายเลือด’ เท่านั้น เธอถึงจะมีโอกาสรอดชีวิต ถึงจะมีโอกาสปกป้องคนสำคัญ”
จินนานิ่งเงียบไปสองสามวินาที ก่อนจะค่อยๆ พยักหน้าพร้อมกับสบถ ‘บัดซบ’ ออกมา
“เธอกระตุ้นฉันได้โดยไม่ต้องใช้พลังด้วยซ้ำ!”
“ฮ่าๆ ก็มันเป็นสัจธรรม ตอนนี้ฉันจะให้สูตรโอสถ ‘แม่มด’ กับเธอ จะได้เริ่มรวบรวมวัตถุดิบเลย” ฟรังก้ากล่าวพลางเดินกลับไปทางโต๊ะกาแฟ คลี่กระดาษออก แล้วเริ่มเขียนขยุกขยิกไวว่อง
จินนาลุกขึ้น เดินตามไปยืนข้างๆ แล้วก้มมองศัพท์ภาษาอินทิสที่ทยอยปรากฏทีละคำ
ระหว่างนั้น เธอคำนวณหนี้สินในใจ
“ถ้ารวมเงินรางวัลที่ได้จาก ‘ผู้ชำระ’ กับรายได้จากการเป็นนักร้องใต้ดิน เราเก็บได้เกือบ 10,000 เฟลคินแล้ว”
“ตามที่ฟรังก้ากับชาร์ลบอก สูตรโอสถลำดับ 7 มีมูลค่าตั้งแต่ 30,000 ถึง 40,000 เฟลคิน ขึ้นอยู่กับความหายาก ถ้าคิดราคาต่ำสุด เราก็ต้องติดหนี้ฟรังก้าอีก 30,000 เฟลคิน รวมเป็น 60,000…”
“ต่อให้เราขาย ‘ลูกศรผู้กระหายเลือด’ ก็ยังไม่พอล้างหนี้ หลังจากนี้ยังต้องซื้อวัตถุดิบต่างๆ สำหรับโอสถ ‘แม่มด’ อีก นั่นก็ไม่ต่ำกว่า 30,000 เฟลคิน…บัดซบ! ถึงว่าในชุมนุมศาสตร์เร้นลับ ผู้วิเศษหลายคนชอบทำตัวยาจกแล้วต่อราคา!”
ยิ่งจินนาคิดคำนวณ เธอก็ยิ่งปวดหัว
หากโอสถมิได้นำการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ เธอคงเริ่มตงิดใจว่าตนอาจถูกหลอก ทำไมยิ่งพยายามก็ยิ่งเป็นหนี้หัวโต?
ในอดีต ครอบครัวของเธอเคยรู้สึกสิ้นหวังบ่อยๆ เมื่อต้องเผชิญกับหนี้เพียงไม่กี่พันเฟลคิน แต่ตอนนี้ เธอเป็นหนี้ฟรังก้าถึง 60,000 แล้ว แถมยังมีแนวโน้มว่าตัวเลขจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคตอันใกล้
จินนากัดฟัน ตัดสินใจพับเก็บความกังวลเหล่านี้ไปก่อน ไว้ค่อยมาคิดอีกทีเมื่อเลื่อนเป็นลำดับ 7 ‘แม่มด’ แล้ว
ไม่นาน ฟรังก้าก็เขียนสูตรโอสถ ‘แม่มด’ เสร็จ
“ลำดับ 7: แม่มด”
“ส่วนผสมหลัก: เลือดทั้งหมดของปลามารห้วงมืด, ไข่นกยูงโมรา”
“วัตถุดิบเสริม: น้ำบริสุทธิ์ 80 มิลลิลิตร, น้ำดอกลำโพงทอง 5 หยด, เกล็ดกิ้งก่าเงา 3 ชิ้น, น้ำดอกดารารัตน์ 10 หยด”
หลังจากส่งกระดาษสูตรให้จินนา ฟรังก้าครุ่นคิดแล้วพูด
“ในชุมนุมศาสตร์เร้นลับที่เราไปร่วมกัน เธออย่าไปถามหาส่วนผสมเหล่านี้เด็ดขาด ให้ไปหาเอาจากชุมนุมที่เธอเข้าร่วมคนเดียว หรือจาก ‘ผู้ชำระ’ แล้วก็ขอให้ชาร์ลช่วยอีกแรง”
เธอยังอยู่ในช่วงทดลองงานของนิกายนางมาร จึงเกรงว่าในชุมนุมศาสตร์เร้นลับที่ตนเข้าร่วม อาจมีสายลับขององค์กรแฝงมาด้วย หากมีใครสักคนในชุมนุมถามหาสูตรโอสถแม่มด ก็ย่อมต้องตกเป็นเป้าสายตา
เมื่อเทียบกันแล้ว โอกาสได้วัตถุดิบจาก ‘ผู้ชำระ’ มีสูงกว่ามาก เพราะผู้วิเศษทางการกำจัด ‘แม่มด’ ไปไม่น้อย ย่อมมีตะกอนพลังหลงเหลืออยู่
แน่นอน ฟรังก้าจะช่วยสอบถามและรวบรวมจาก ‘สมาคมวิจัยลิงบาบูนขนหยิก’ อีกแรง แต่ยังบอกจินนาไม่ได้
“ตกลง” จินนารู้ถึงการมีอยู่ของนิกายนางมาร รวมถึงความไม่พอใจที่อีกฝ่ายมีต่อ ‘นักลอบสังหารไร้สังกัด’ แบบเธอ
ระหว่างที่จินนาจดจำสูตรโอสถ ‘แม่มด’ ฟรังก้าถามด้วยความเป็นห่วง
“พี่ชายของเธอออกจากทรีอาร์หรือยัง”
หลังจากพบว่าองค์กรเทพมารเงียบผิดปกติ อีกทั้งยังได้รับการยืนยันจากไพ่อาร์คาน่าใหญ่ ลูเมี่ยนกับฟรังก้าแนะนำให้จินนากับพี่ชายยูเลียน อพยพออกจากทรีอาร์ทันที ไปพักชั่วคราวในเมืองอื่นของอินทิสเป็นเวลาสักครึ่งปี เพื่อรอดูสถานการณ์
จินนาแสดงท่าทีรุนแรง แสดงเจตจำนงว่าต้องการอยู่กับพวกพ้องทั้งสอง พร้อมกับสัญญาว่าจะเร่งเพิ่มลำดับของตน
นี่คือเหตุผลสำคัญที่เธอไม่ลังเลนาน และยอมรับของขวัญจากฟรังก้า
ส่วนพี่ชายยูเลียน จินนาไม่อยากให้เข้าไปพัวพันกับหายนะทางศาสตร์เร้นลับอีก ต้องการให้เขามีชีวิตที่ดี จึงพยายามโน้มน้าวให้ออกจากทรีอาร์มาสักพักแล้ว
“ไปท่าเรือเลอซายล์ตั้งแต่สุดสัปดาห์ก่อนแล้ว” จินนาอมยิ้มไม่รู้ตัว
ท่าเรือเลอซายล์ตั้งอยู่ที่ปากแม่น้ำเซอเรนโซ่ ซึ่งไหลลงทะเล เป็นหนึ่งในท่าเรือหลักสำหรับส่งออกสินค้าทางทะเลของทรีอาร์
ฟรังก้าทั้งประหลาดใจและยินดีแทนเพื่อน
“คุณกระตุ้นคนหัวแข็งอย่างเขาสำเร็จแล้วหรือ”
โดยที่ไม่ได้เปิดเผยสถานการณ์จริง
“ไม่ใช่” จินนาส่ายหัวอย่างเถรตรง สีหน้าแฝงความภูมิใจเล็กน้อย “ฉันเปลี่ยนเป้าหมายการกระตุ้น โดยพบว่าโรงงานต่อเรือที่ยูเลียนทำงานอยู่ มีสาขาอยู่ที่ท่าเรือเลอซายล์ด้วย ดังนั้น ฉันจึงใช้พลัง ‘กระตุ้น’ กับหัวหน้าของเขา เสนอแผน ‘แลกเปลี่ยนความรู้ทางเทคนิคระหว่างโรงงาน’ เป็นเวลาครึ่งปี จากนั้นก็จ่ายเงินเพิ่มโควตาอีกหนึ่งที่ แล้วใส่ชื่อยูเลียนลงในรายชื่อ”
“พอฉันใช้พลังกระตุ้นครั้งนี้ไป โอสถก็ย่อยสมบูรณ์ทันที…บัดซบ! ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าฉันจะพูดยังไง ยูเลียนก็ไม่เคยรับฟัง แต่ผ่านไปแค่วันเดียวหลังจากใช้ ‘กระตุ้น’ เขาก็เปลี่ยนใจทันที ขอแค่หัวหน้าสั่ง ก็เริ่มเก็บกระเป๋าทันทีโดยไม่ปริปาก!”
หลังจากด่าพี่ชายไปสองสามคำ จินนาเม้มปากแล้วมองฟรังก้า เสริมอย่างตั้งใจ
“คนงานฝีมือจากทรีอาร์ไปท่าเรือเลอซายล์ เริ่มเดินทางแล้วเมื่อสุดสัปดาห์ก่อน ส่วนจากท่าเลอซายล์มายังทรีอาร์ จะเป็นในอีกครึ่งปีข้างหน้า เพื่อหลีกเลี่ยงหายนะที่อาจเกิดขึ้น”
“ฟรังก้า ทำไมเราไม่หาวิธีอพยพคนออกจากทรีอาร์ให้มากกว่านี้ล่ะ แค่ชั่วคราวก็ยังดี”
“ถึงพูดไปพวกเขาก็ไม่เชื่อหรอก” ฟรังก้าถอนหายใจ “นอกจากนั้น ถ้ามีคนอพยพออกไปเป็นจำนวนมาก องค์กรเทพมารอาจสังเกตเห็น แล้วเริ่มลงมือเร็วกว่าปกติ ถึงตอนนั้น หากผู้วิเศษทางการยังไม่พร้อม จำนวนคนเจ็บคนตายจะยิ่งทวีคูณ”
สิ่งที่ฟรังก้าไม่ได้พูดออกมาคือ จากคำบอกใบ้ของมาดามจัดจ์เมนต์กับข่าวกรองของชาร์ล ทรีอาร์บนดินมีไว้เพื่อผนึกทรีอาร์ใต้ดิน พลเมืองทุกคนต่างเป็นหนึ่งใน ‘ส่วนร่วม’ หากมีคนอพยพออกไปมาก ผนึกอาจอ่อนแอลง จนส่งผลร้ายแก่พลเมืองที่ยังเหลืออยู่
จินนาเงียบไปครู่หนึ่ง ไม่ได้ยืดเยื้อเรื่องนี้อีก
สภาพแวดล้อมในวัยเด็ก รวมถึงประสบการณ์ครึ่งปีที่ผ่านมา หล่อหลอมให้เธอยอมรับความโหดร้ายของสัจธรรม ทางเลือกเดียวของเธอคือ ช่วยเหลือคนบางกลุ่มให้ดีที่สุด ภายในขอบเขตที่เหมาะสม
หลังจากผ่านไปสิบกว่าวินาที จินนาพูดอย่างครุ่นคิด
“ตอนที่ฉัน ‘กระตุ้น’ ให้หัวหน้าคนนั้นเสนอแผนแลกเปลี่ยนความรู้ทางเทคนิค โรงงานใกล้เคียงหลายแห่งก็ดำเนินการคล้ายกัน ฉันจึงมีตัวอย่างให้กล่าวอ้าง จนประสบความสำเร็จได้ไม่ยากนัก”
“ตอนนี้คิดย้อนกลับไป นั่นอาจเป็นการดำเนินการลับๆ ของผู้วิเศษทางการ เพื่อลดจำนวนประชากรในเขตตลาดให้มากที่สุดก็ได้…”
“อาจจะ” ฟรังก้าคิดสักครู่ แล้วปิดปากไปด้วยความลังเล
สิ่งที่เธออยากพูดคือ “อาจเป็นฝีมือของ ‘ชุมนุมทาโรต์’ หรือ ‘ศาสนจักรเดอะฟูล’ ก็ได้” เนื่องจากไพ่อาร์คาน่าใหญ่ ‘มาดามจัสติส’ แห่งขอบเขต ‘ผู้ชม’ เหมาะจะทำเรื่องแบบนี้ยิ่งกว่าใคร
เหตุผลที่ฟรังก้าไม่ได้พูดออกมาคือ เธอยังไม่ได้บอกจินนาว่าตนกับชาร์ลนับถือ ‘มิสเตอร์ฟูล’
เธอเคยวางแผนจะพาจินนาไป ‘เยี่ยมชม’ วิหารของศาสนจักรเดอะฟูลที่ท่าเรือลาวีน แต่หลังจากถูกนิกายนางมารจับตามอง เธอก็ต้องพับเก็บแผนการไปก่อน
เฮ่อ…คงต้องให้ชาร์ลพาจินนาไปท่าเรือลาวีนแทน ถ้าเธอเปลี่ยนมานับถือ ‘มิสเตอร์ฟูล’ ก็จะปลอดภัยขึ้นไม่น้อยในภายหลัง…ความคิดของฟรังก้าเปลี่ยนไปยังลูเมี่ยน
…………
ในรถม้าสี่ล้อสี่เบาะที่แล่นผ่านป่ากับทุ่งนา ลูเมี่ยนสวมชุดลำลองสุภาพ มองออกไปนอกหน้าต่างที่เต็มไปด้วยสีทองอร่ามของฤดูเก็บเกี่ยว ในใจกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย
ตลอดเดือนกว่าๆ ที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาที่เด็กหนุ่มว่างที่สุดในช่วงครึ่งปีหลังสุด แต่เขามิได้หย่อนยานแม้แต่น้อย ยังคงคว้าทุกโอกาสเพื่อย่อยโอสถ ‘นักวางเพลิง’
ทั้งการช่วย ‘เผา’ ศพที่ห้องเก็บศพใหญ่ในเขตเกาะ ทั้งการ ‘ฌาปนกิจ’ ขยะกองใหญ่ที่ถูกทิ้ง การใช้เปลวไฟขู่กลุ่มลักลอบค้าที่ผ่านมาใต้ดิน การสร้างอัคคีภัย เพื่อให้พ่อค้ารายย่อยที่กำลังเผชิญวิกฤติได้รับเงินประกัน การตามล่าอาชญากรที่หนีคดี แล้วเผาจนเป็นศพไหม้เกรียม รวมถึงการจุดประกายกระแสความคิด ให้ผู้คนออกจากทรีอาร์ไปแสวงหาโอกาสในเมืองข้างเคียง…
ชุดการกระทำเหล่านี้ ช่วยทำให้ลูเมี่ยนย่อยโอสถ ‘นักวางเพลิง’ ใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว เหลืออีกเพียงก้าวเดียว บางทีอาจจะอีกครึ่งเดือน หนึ่งสัปดาห์ หรือแม้กระทั่งเร็วกว่านั้น
วันนี้ ลูเมี่ยนมาเยือนปราสาทหงส์แดงของเคานต์ปุยฟ์ตามคำเชิญ
ในช่วงเดือนกว่าที่ผ่านมา คนของตระกูลเซารอนผู้นี้จัดงานชุมนุมถึงห้าครั้ง หนึ่งครั้งที่ปราสาท หนึ่งครั้งไปล่าสัตว์ สองครั้งคุยเล่นในร้านกาแฟ และอีกครั้งเป็นงานเต้นรำหน้ากากในตึกร้าง
ลูเมี่ยนเข้าร่วมทุกครั้ง แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น สิ่งผิดปกติเพียงอย่างเดียวคือปุยฟ์·เซารอน ไม่ได้เล่นเกมเค้กพระราชาอีกเลย
การทดสอบที่การ์ดเนอร์·มาร์ตินพูดถึงจะมาเมื่อไร คราวนี้เลยไหม? พวกสมาคมถ้ำก็ไม่โผล่หน้ามาอีกเลย พวกเขาเชื่อคำพูดเรา? ลูเมี่ยนละสายตาจากทุ่งนาที่ใกล้เก็บเกี่ยว ครุ่นคิดถึงคำเชิญในวันนี้
สิ่งที่เด็กหนุ่มสงสัยยิ่งกว่าคือ การ์ดเนอร์·มาร์ตินเคยบอกว่า ในการนัดพบครั้งถัดๆ ไปของเคานต์ปุยฟ์ เขาจะช่วยจับตามองอีกแรง แล้วตอนนี้กำลังซ่อนตัวอยู่ที่ไหน?
ภายใต้แสงอาทิตย์ยามบ่าย รถม้าแล่นมาถึงจุดหมาย
ลูเมี่ยนเงยหน้ามองปราสาทสีเบจที่คล้ายกับเปื้อนเลือดโบราณ เดินผ่านประตูใหญ่หนักๆ กับลานกว้าง จนมาถึงห้องรับแขกใหญ่บนชั้นหนึ่ง ซึ่งปูพรมหนาสีแดงเข้ม ภายในตกแต่งอย่างโอ่อ่าสง่างาม
ปุยฟ์·เซารอน ในชุดเสื้อนอกกำมะหยี่สีแดง กำลังยืนสนทนากับแขกอยู่ตรงทางเข้าห้อง พอเห็นลูเมี่ยนก็พาแขกคนหนึ่งเดินตรงมาหาทันที
สายตาของลูเมี่ยนกวาดมอง แล้วชะงักค้างอยู่ครู่หนึ่ง
แขกที่เดินมากับเคานต์ปุยฟ์ คือคนที่เด็กหนุ่มไม่คาดคิดมาก่อน
ชายคนนั้นแต่งชุดล่าสัตว์ ผมเหมือนย้อมสีแดง คิ้วและตาสีน้ำตาลอมแดงมีประกายคม ไม่ใช่ใครนอกจากอัลบัส หนึ่งในสมาชิกหลักของ ‘ชุมนุมกางเขนเลือดเหล็ก’
ลูเมี่ยนรู้ข้อมูลของสมาชิกชุมนุมกางเขนเลือดเหล็กส่วนใหญ่ที่ทำงานให้กับ ‘ผู้การ’ การ์ดเนอร์·มาร์ติน ไม่ว่าจะเป็นตัวตนที่แท้จริงหรือภารกิจในมือ มีเพียงอัลบัสคนนี้ที่ลึกลับ ไม่ค่อยปรากฏตัวในเขตตลาด ชุมนุมแต่ละทีก็เหมือนแค่มากินให้อิ่ม
“แล้วท่านนี้คือ?” ลูเมี่ยนไม่ปิดบังความสงสัย
อัลบัสมาช่วยเราทำภารกิจ?
ปุยฟ์·เซารอนแนะนำด้วยรอยยิ้ม
“สหายคนใหม่ ต่อไปเขาจะมาร่วมงานสังสรรค์ของเราบ่อยๆ”
พูดถึงตรงนี้ ปุยฟ์เหล่มองอัลบัสที่กำลังเผยสีหน้าชวนให้หมั่นไส้ พลางอธิบายโดยยังคงรักษารอยยิ้มไว้
“ชื่อเต็มของเขาคือ”
“อัลบัส·เมดีซี”
……………………………………………………..