ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 409 เผาทั้งเป็น
- Home
- All Mangas
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 409 เผาทั้งเป็น
ตอนที่ 409 เผาทั้งเป็น
Ink Stone_Fantasy
‘ฉันมีเพื่อนอยู่คนนึง’ เล่าเสียงราบเรียบ
“‘นังบ้า’ น่าจะเป็น ‘นักท่องเที่ยว’ ฉันไม่รู้ว่าเธออยู่ที่ไหนกันแน่…”
“อุลตร้าแมนก่อนหน้านี้เป็นลำดับ 6 ‘ผู้รับรอง’ ของเส้นทางสุริยัน ตอนนี้ฉันไม่แน่ใจ เขาไม่ได้มาที่ทรีอาร์สักพักแล้ว ฉันเองก็ไม่ได้ออกจากโรงพยาบาลจิตเวชเลย แค่คุยกันนิดหน่อยตอนชุมนุม…”
“โลกิเป็นลำดับ 5 ‘นักเชิดหุ่น’ ของเส้นทาง ‘นักทำนาย’ แต่ฉันสงสัยว่า เขาเป็นที่โปรดปรานของราชันสวรรค์มากกว่าพวกเรา สามารถใช้ทรัพยากรหลายอย่างที่พวกเราไม่รู้ มีแม้กระทั่งปราสาทโบราณลึกลับชื่อ ‘เดอลาน’ ซึ่งไม่มีใครทราบว่าอยู่ที่ใด…”
“‘กวีเร่ร่อน’ เป็นลำดับ 6 ‘นักชิงไฟ’ ของเส้นทาง ‘นักโจรกรรม’ และเช่นเดียวกัน ฉันไม่รู้สถานการณ์ปัจจุบันของเขา พวกเราไม่ได้เจอตัวจริงของกันและกันมานานแล้ว…หนังสือ ‘บันทึกลับของโรซายล์มหาราช’ คือผลงานของเขา แต่ใช้นามปากกาตีพิมพ์…”
“ฉันไม่ค่อยสนิทกับ ‘ฮิโซกะ’ เขาไม่เคยเข้าร่วม ‘ชุมนุมตัวจริง’ บนทวีปเหนือเลยสักครั้ง ในสายตาฉัน เขาอันตรายมาก รองจาก ‘โลกิ’ ใกล้เคียงกับ ‘นังบ้า’…”
“ถ้าฉันไม่เคยเสียสติไปช่วงหนึ่ง ตอนนี้น่าจะเป็นลำดับ 5 แล้ว…”
ปราสาทเดอลาน…ลูเมี่ยนนึกถึงคำบรรยายของมาดามเฮล่าเกี่ยวกับความฝันของโลกิ จึงสงสัยว่าปราสาทโบราณลึกลับที่ยังไม่มีใครทราบตำแหน่งนั่น คือสถานที่คืนชีพของโลกิ
ที่ ‘กวีเร่ร่อน’ เป็นผู้วิเศษในเส้นทาง ‘นักโจรกรรม’ คือสิ่งที่เด็กหนุ่มผิดคาดพอสมควร ทีแรกนึกว่าโค้ดเนมมาจาก ‘ผู้ขับขานสมุทร’ ของเส้นทาง ‘กะลาสี’ หรือ ‘กวีเที่ยงคืน’ ของเส้นทาง ‘รัตติกาล’ แต่พอนึกทบทวนดูก็พอเข้าใจได้ ในเรื่องเล่าชนบท กวีเร่ร่อนมักจะรับงานพ่วงเป็นหัวขโมยด้วย
นี่ยังยืนยันด้วยว่า ราชันสวรรค์ฟ้าดินประทานโชคส่งอิทธิพลไม่น้อยต่อเส้นทาง ‘นักทำนาย’ ‘ผู้ฝึกหัด’ และ ‘นักโจรกรรม’ ในบรรดาสมาชิกหลักหกคน มีถึงครึ่งหนึ่งอยู่ในสามเส้นทางนี้
เมื่อ ‘ฉันมีเพื่อนอยู่คนนึง’ พูดจบ ฟรังก้าถามต่ออย่างเป็นกังวล
“ในสมาคมฯ ยังมีใครเป็นคนของพวกแกอีกบ้าง”
‘ฉันมีเพื่อนอยู่คนนึง’ ไม่คิดปิดบังเลย เพียงตอบ ‘อย่างใจเย็น’
“ที่ฉันรู้ก็มี ‘เพ็ตติกรูว์’…”
“เพ็ตติกรูว์?” ฟรังก้าอุทานอย่างตกใจ “ฉันคิดว่าเขาใช้ฉายานี้เพื่อจิกกัดส่วนสูงตัวเอง ที่แท้ก็กำลังจิกกัด ‘สถานะ’ ของตัวเอง”
‘ฉันมีเพื่อนอยู่คนนึง’ พยักหน้าเบาๆ
“ก่อนจะพบองค์กร ก่อนจะเข้าร่วมสมาคมวิจัยฯ เขารู้จักกับโลกิอยู่แล้ว พวกคุณก็รู้ โลกิสามารถใช้พลังของราชันสวรรค์เพื่อตรวจจับผู้ข้ามโลกได้ในรัศมีหนึ่ง และ ‘เพ็ตติกรูว์’ ก็อยู่ในเขตทรีอาร์”
“เขาเป็นลูกน้องของโลกิก่อน จากนั้นจึงเข้าสมาคม แล้วถูกส่งไปอยู่กับกลุ่มย่อยอื่น เขาถึงกับตั้งฉายาให้ตัวเองว่า ‘เพ็ตติกรูว์’ เหตุผลคือสร้างภาพจำของคนติดเล่น เป็นการเปิดเผย ‘ความจริง’ ในมุมตลกกลบเกลื่อน ตบตาและเย้ยหยันสมาชิกที่เหลือซึ่งขาดความหลักแหลม…แต่ในความเป็นจริง ฉันรู้ดี เขากำลังสองจิตสองใจ เขารู้สึกผิด เต็มไปด้วยความขัดแย้ง หวังใช้วิธีนี้เตือนเพื่อนสมาชิกคนอื่น ว่าตัวเขามีปัญหา”
“ทีแรกฉันวางแผนไว้ว่า ถ้ามีโอกาส จะบอกเขาว่ามักเกิ้ลผู้ไม่เคยเหยียดหยามความสูงของเขา ใจดีและเป็นมิตรกับเขามาก กลับถูกพวกเราล่อลวงจนเกิดปัญหา โดยมีเขาเป็นหนึ่งในสาเหตุ เมื่อถึงเวลานั้น สีหน้าอันย่ำแย่เจือความทุกข์ของเขา จะต้องดูดีมากแน่นอน”
“บัดซบ!” ฟรังก้าสบถเสียงดัง
ถึงแม้ว่า ‘ฉันมีเพื่อนอยู่คนนึง’ จะถูกตัดกลีบสมองส่วนหน้าออก จนทุกองค์ประกอบดูสงบนิ่งไปหมด ปราศจากน้ำเสียงเยาะเย้ยถากถาง แต่ความคิดที่บรรยายออกมา กลับยังคงอัดแน่นไปด้วยความต่ำช้า ทำให้ฟรังก้าแทบจะข่มใจไว้ไม่ไหว
“แล้วมีใครอีก” ลูเมี่ยนช่วยถามแทนเธอ
‘ฉันมีเพื่อนอยู่คนนึง’ รายงานอีกห้าโค้ดเนมติดต่อกัน สุดท้ายกล่าวว่า
“ฉันรู้จักอยู่แค่นี้ อาจมีคนอื่นๆ ที่พวกโลกิแอบบ่มเพาะโดยไม่บอกฉันด้วยเหมือนกัน”
“ก็ไม่น้อยเลยนะ…” ฟรังก้ารู้สึกเกลียดชังและหดหู่ใจ
ลูเมี่ยนหันไปมองเธอครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า
“แจ้งข้อมูลเหล่านี้ให้มาดามเฮล่าทราบก็พอ จะจัดการอย่างไรก็เป็นเรื่องของพวกเขาไม่กี่คน พวกประธาน รองประธาน คุณไม่จำเป็นต้องลำบากใจหรือลังเล เพียงแค่เพลิดเพลินกับผลลัพธ์ โอลัวร์…เอ่อ…บ้านเกิดของคุณมีสุภาษิตใช่ไหม ถ้าไม่ได้เห็นลูกแกะถูกฆ่า ไม่ได้ทำอาหารเอง คนเราสามารถเพลิดเพลินกับรสชาติของเนื้อแกะได้โดยไม่มีอุปสรรคทางใจ ไม่เช่นนั้นจะเกิดความเมตตา อ่อนโยน รู้สึกขัดแย้งทุกข์ใจ”
ฟรังก้าถอนหายใจพลางพึมพำ
“พี่สาวของคุณ ดัดแปลงคำพูดดังๆ เลยเถิดไปหน่อยนะ…”
เธอรวบรวมจิตใจกลับมา มองหน้า ‘ฉันมีเพื่อนอยู่คนนึง’
“เป็นเพราะพวกแกศรัทธาในราชันสวรรค์ก่อน จึงได้แพร่กระจายข่าววันสิ้นโลก ให้ทุกคนรีบไล่ตามความสุข ทำเรื่องเลวร้ายต่างๆ นานาได้โดยไม่มีอุปสรรคทางใจ หรือเป็นเพราะยืนยันได้ว่า วันสิ้นโลกใกล้เข้ามาจริง มนุษย์ไม่อาจต่อต้าน จึงหมดหวังแล้วยอมเชื่อในราชันสวรรค์”
‘ฉันมีเพื่อนอยู่คนนึง’ ให้คำตอบ
“มีทั้งสอง บางคนพยายามทำซ้ำพฤติกรรมก่อนข้ามมิติ จึงได้รับการเหลียวแลจากราชันสวรรค์ บางคนประสบภัยพิบัติ จนมองเห็นเค้าลางของวันสิ้นโลก หลังจากสภาพจิตใจย่ำแย่ จึงได้เชื่อในราชันสวรรค์”
เล่าถึงตรงนี้ เบ้าตาอันว่างเปล่าของ ‘ฉันมีเพื่อนอยู่คนนึง’ หันไปทางฟรังก้าเจ้าของคำถาม
“ในภายหลัง ราชันสวรรค์ยังมอบวิวรณ์ให้เราด้วย ทำให้เราสามารถคาดเดาความจริงได้บางส่วน ซึ่งรวมถึง…”
ด้วยเหตุผลบางประการ ลูเมี่ยนกลับมีลางสังหรณ์อันตรายอย่างแรงกล้า จึงรีบขัดจังหวะคำพูดของ ‘ฉันมีเพื่อนอยู่คนนึง’
“หยุดพูด!”
‘ฉันมีเพื่อนอยู่คนนึง’ ปิดปากไปทันที
“ทำไมพูดไม่ได้ล่ะ” ฟรังก้าใจจดใจจ่อรอคำตอบอยู่พอดี แต่ไม่มีเนื้อหาต่อไป
ลูเมี่ยนนึกถึงแนวคิดเรื่อง ‘บาเรีย’ รวมถึงเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับวันสิ้นโลก จึงพูดเสียงขรึม
“ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่คุณจะได้ฟังความจริงของวันสิ้นโลก ความรู้เหล่านั้นอาจทำให้คุณคลุ้มคลั่ง หรือถูกปนเปื้อนจนถึงตาย ไว้รอให้คุณเป็นครึ่งเทพก่อน ค่อยลองศึกษาดูอีกที”
“ก็ได้” ฟรังก้ามองลูเมี่ยนครู่หนึ่ง พลางบ่นอุบอิบ “แล้วทำไมคุณถึงทำเหมือนว่ารู้ความจริงแล้ว…”
ทำไมเขาได้ แต่ฉันไม่ได้?
“ผมก็รู้แค่นิดหน่อย” ลูเมี่ยนตอบตามตรง “ซึ่งมันก็ทำให้ผมพบเจออันตรายอย่างแท้จริง โชคดีที่ผนึกของมิสเตอร์ฟูลช่วยไว้”
จนกระทั่งฤทธิ์ของ ‘ยาสารภาพ’ เริ่มซาลง ‘ฉันมีเพื่อนอยู่คนนึง’ ก็กลับไปสงบนิ่งตามเดิม แม้แต่ความปรารถนาที่จะตอบคำถามก็ไม่หลงเหลือ
ฟรังก้าจ้องมองนักจิตบำบัดที่ถูกตัดกลีบสมองส่วนหน้าออกไป ถอนหายใจแล้วพูดว่า
“บางครั้งพวกเราก็ไร้เดียงสาเกินไป เผลอคิดไปว่าตัวเองเป็นตัวเอก”
ลูเมี่ยนทราบดี คำว่า ‘พวกเรา’ ในที่นี้หมายถึง คนของสมาคมวิจัยลิงบาบูนขนหยิก
ฟรังก้าถอนสายตากลับ แล้วพูดกับลูเมี่ยน
“ระหว่างผ่าตัดแกะเมื่อคืน ฉันไปค้นห้องพักของ ‘ฉันมีเพื่อนอยู่คนนึง’ กับตัวแทนของมัน พบกระดาษจำนวนหนึ่งในห้องของตัวแทน แต่ยังไม่ได้อ่านเนื้อหาอย่างละเอียด เพราะรู้สึกว่ามันคลุมเครือเข้าใจยาก”
พูดจบเธอก็ลุกขึ้น กลับไปที่ห้อง หยิบกระดาษบางๆ ปึกหนึ่งออกมา
ลูเมี่ยนรับมาพลิกดู รีบขมวดคิ้ว
“พิธีบูชาพระมิตระ…”
“มันคือ?” ฟรังก้าไม่ได้ฟังช่วงแรกของการสอบปากคำ
ลูเมี่ยนอธิบายคร่าวๆ แล้วตบท้ายว่า
“คงเป็นคาถาสำหรับใช้ข้าม ‘ประตูไร้ลักษณ์’ เพื่อให้ได้ใกล้ชิดกับเทพมารบางองค์ นำมาซึ่งความรู้และประสบการณ์…แม้แต่คนธรรมดา หากถูกชี้นำอย่างถูกต้อง ก็น่าจะเรียนรู้ได้เช่นกัน”
“ถึงว่าตอนอ่านรู้สึกชั่วร้ายพิกล ชั้นฟ้าเอย ประตูไร้ลักษณ์เอย ทิวทัศน์อันยิ่งใหญ่เอย ขอบเขตแห่งความเป็นอมตะเอย ฟังยังไงก็อันตราย!” ฟรังก้าถึงกับอุทานจากก้นบึ้งหัวใจ
ลูเมี่ยนเก็บศาสตร์ลับ ‘พิธีบูชาพระมิตระ’ ไว้กับตัวก่อน ถึงแม้เขาจะไม่ได้ใช้ และไม่จำเป็นต้องใช้ แต่ก็ยังสามารถศึกษาหาความรู้ได้ เพื่อช่วยรับมือกับพวกสาวกเทพมารที่พึ่งพา ‘พิธีบูชาพระมิตระ’ ในการเข้าถึงความรู้และความแข็งแกร่ง
ถัดมา เด็กหนุ่มพูดกับฟรังก้า
“คุณนำข้อมูลเมื่อสักครู่ไปแจ้งกับมาดามเฮล่าก็แล้วกัน ผมจะไปจัดการ ‘ฉันมีเพื่อนอยู่คนนึง’ เอง”
“อาฮะ” ฟรังก้าพยักหน้ารับ มองลูเมี่ยนใส่ต่างหู ‘คำลวง’ เดินไปหยุดอยู่หน้าเก้าอี้มีพนัก จับไหล่ของผู้ชายนิ่งสงบ แล้วหายลับไปในพริบตา
…………
เขตเรือนจำ ลานประหารรวมรูฮัว
ตอนนี้ยังไม่ถึงเจ็ดโมงเช้า ไม่มีเงาใครสักคน บรรยากาศเปียกชุ่มโชก ราวกับถูกตัดขาดจากโลกภายนอก
ลูเมี่ยนพา ‘ฉันมีเพื่อนอยู่คนนึง’ เดินออกจากความว่างเปล่า แล้วมัดสมาชิกกลุ่มวันเอพริลฟูลรายนี้ไว้กับแท่งย่างสด
จากนั้น เด็กหนุ่มถอยออกมาไกลมาก ย่อตัวลงครึ่งหนึ่ง นำสองมือสัมผัสกับพื้น
เปลวไฟสีแดงฉานสองสาย แล่นไปตามพื้นดินที่เต็มไปด้วยวัชพืชรกทึบ พุ่งเข้าหาร่างของ ‘ฉันมีเพื่อนอยู่คนนึง’ รวดเร็วว่องไว
เปลวไฟขยายใหญ่อย่างต่อเนื่อง ในที่สุดก็กลายเป็นงูยักษ์ กลืนกิน ‘ฉันมีเพื่อนอยู่คนนึง’ ทั้งตัว
ลูเมี่ยนลุกขึ้นยืน ใช้สองเท้าคอยส่งเปลวไฟหล่อเลี้ยงแทน พลางเงียบมอง ‘เกล็ดมังกร’ สีเทาขาวของนักจิตบำบัดมาดนิ่ง ทยอยปรากฏขึ้นท่ามกลางแรงกระตุ้น
ร่างของเขาดิ้นรนตามสัญชาตญาณ แต่ก็ไม่รุนแรงนัก พลังวิเศษต่างๆ ส่องสว่างพลางกระจายไปรอบด้าน แต่ก็ไม่ส่งผลใดกับลูเมี่ยนที่ยืนอยู่นอกเขต
ลูเมี่ยนบีบอัดเปลวไฟให้เป็นหอกยาวอันตราย แล้วซัดออกไป แผดเผาพร้อมทะลวงช่องว่างบนหน้าอกกับท้องของ ‘ฉันมีเพื่อนอยู่คนนึง’
เปลวไฟสีแดงที่ยังมิได้เผาไหม้เกล็ดมังกรในส่วนอื่น รีบไหลเข้าไปในรูดังกล่าว ทะลักเข้าสู่ร่างของ ‘ฉันมีเพื่อนอยู่คนนึง’
มองดูสมาชิกหลักของวันเอพริลฟูลเริ่มถูกเผาอย่างแท้จริง ร่างกายส่งเสียงทุกข์ทรมานตามธรรมชาติ ความคิดพลันอลหม่านอยู่ในหัวลูเมี่ยน เร่งทบทวนการต่อสู้เมื่อคืน กับการสอบปากคำวันนี้
เด็กหนุ่มตกผลึกประสบการณ์ได้มากมาย แต่ก็ยังมิอาจเข้ารูปให้เป็นกฎการสวมบทบาท
“เปลวไฟมิได้เพียงมีไว้ทำร้าย แต่ยังรวมถึงการข่มขู่ การคุกคาม และส่งสัญญาณ…”
“นักวางเพลิงจำเป็นต้องรวมเปลวไฟของตนเข้ากับกับดัก…”
“…”
ระหว่างที่เปลวไฟลุกโชนเผาผลาญ ‘ฉันมีเพื่อนอยู่คนนึง’ อย่างไร้ความปรานี ราวกับมีเปลวไฟลุกโชนในใจลูเมี่ยนด้วยเช่นกัน
มันคือความโกรธ ความปลาบปลื้ม และการระบายความอัดอั้น
วินาทีนี้ โอสถนักวางเพลิงของลูเมี่ยนก็ย่อยไปอีกเล็กน้อย เฉกเช่นหลังการต่อสู้เมื่อคืน
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ ในลานประหารที่ไร้ผู้คน บนแท่นย่างสดอันสูงชัน ‘ฉันมีเพื่อนอยู่คนนึง’ หยุดดิ้นรนขัดขืน หยุดหายใจโดยสมบูรณ์ ร่างกายถูกเผาจนไหม้ดำแล้วปริแตก
……………………………………………………..