ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 404 คนไข้
- Home
- All Mangas
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 404 คนไข้
ตอนที่ 404 คนไข้
……….
ลูเมี่ยนใช้ความสามารถของเข็มกลัด ‘มีหน้ามีตา’ บิดเบือนการกระทำปิดประตู ขยายให้เป็นการปิดผนึกทั้งห้อง
จัดการเสร็จ เด็กหนุ่มผู้แปลงโฉมด้วย ‘คำลวง’ มิได้ลงมือโจมตีคนไข้บนเตียงทันที แต่เดินไปด้านข้าง แล้วก้มมองอีกฝ่ายจากมุมสูง
คนไข้ยังคงหลับตาสนิท อยู่ในสภาพหลับใหล ทั้งโครงหน้า ทรงผม สีผม ล้วนตรงกับ ‘ฉันมีเพื่อนอยู่คนนึง’ ทุกประการ
เห็นว่าอีกฝ่ายไม่ตระหนักถึงการบุกรุก ยังคงนอนหลับสนิท ลูเมี่ยนเริ่มเชื่อว่าเขาเป็นตัวแทน
ตามที่ระบุในจดหมายของมาดามเมจิกเชี่ยน ‘ฉันมีเพื่อนอยู่คนนึง’ อย่างน้อยก็ต้องเป็น ‘นักสะกดจิต’ ลำดับที่ 6 หรืออาจเป็น ‘นักท่องฝัน’ ลำดับที่ 5 ในอัตราต่ำ และสำหรับเส้นทางนี้ ไม่ว่าจะลำดับใด ล้วนเก่งกาจด้านการสังเกต เป็นไปไม่ได้เลยที่จะปล่อยให้คนเดินมาถึงข้างกายแล้วยังไม่รู้ตัว เอาแต่นอนหลับปุ๋ย
ปัญหาตอนนี้คือ ตัวแทนแบบนี้ ทำให้ลูเมี่ยนมองไม่เห็นเลยว่า กับดักอยู่ตรงไหน
ภายใต้แสงจันทร์สลัว ซึ่งลอดผ่านม่านเข้ามา คนไข้บนเตียงลืมตาขึ้นกะทันหัน
ดวงตาสีเชือกป่านคู่นั้น สะท้อนร่างลูเมี่ยนไว้บนกระจกตาทันที
แทบจะในเวลาเดียวกัน ลูเมี่ยนเห็นความว่างเปล่าอันมืดมิดอีกครั้ง เห็นมวลหมู่ดวงดารา ดูคล้ายกับดวงตานับไม่ถ้วนกำลังกะพริบ เห็นประตูไร้ลักษณ์ ซึ่งประกอบจากสัญลักษณ์ลึกลับที่มีชีวิต
เสียงที่เหมือนดังมาจากส่วนลึกของความว่างเปล่า ดังมาจากต้นกำเนิดจิตใจ กำลังก้องกังวานอยู่ในก้นบึ้งหัวใจเด็กหนุ่ม รวมไปถึงข้างใบหู
“ข้ามผ่านไปเถิด ข้ามผ่านประตูไร้ลักษณ์นี้ เจ้าจะได้รับการเปลี่ยนแปลงของชีวิต ได้รับความรู้อันไม่มีที่สิ้นสุด…”
“ทุกคนล้วนมีเทวบารมี ล้วนสามารถได้ยินเสียงจากต้นกำเนิดโลก แต่หากเจ้าอยากได้ยินอย่างชัดเจน ก็ต้องเปิดประตูไร้ลักษณ์บานนี้ แล้วย่างกรายเข้าไป…”
ศีรษะของลูเมี่ยน เริ่มปวดตุบๆ เมื่อได้ ‘เห็น’ ประตูไร้ลักษณ์บานดังกล่าวบรรจงเปิดอ้า รู้สึกว่าทุกคำของเสียงนั่น กำลังแปรเปลี่ยนเป็นสิ่งมีชีวิตประหลาด ซึ่งดำรงอยู่ภายในใจตน
เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง ด้วยความงุนงงบ้าง สงสัยบ้าง พูดกับตัวเองว่า
“จุดสิ้นสุดของโลกอยู่ที่ใด จุดเริ่มต้นของจักรวาลเป็นอย่างไร…”
“นอกจักรวาลเป็นอย่างไร โลกแต่ละใบแตกต่างกันอย่างไร…”
“ความแตกต่างระหว่างมนุษยภาพ กับเทวภาพอยู่ตรงไหน การรู้จักตัวเองอย่างถ่องแท้ เป็นมนุษยภาพ หรือเทวภาพ…”
“เส้นแบ่งระหว่างความบ้าคลั่ง กับเหตุผล อยู่ที่ใด จุดหมายปลายทางสุดท้ายของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด คือความบ้าคลั่งใช่หรือไม่…”
คำพูดข้างต้น เป็นทั้งการไตร่ตรองความรู้ทางศาสตร์เร้นลับ เป็นทั้งการแสวงหาคำตอบของคำถามทางปรัชญา ทำให้ลูเมี่ยนที่ได้ยิน มีอาการปวดหัวรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับลิ้มรสความเจ็บปวดที่ห่างหายไปนาน ราวกับมีเหล็กแหลมแทงเข้าไปในหัว แล้วคนกวนสมองอันเปราะบางของตน
ยิ่งไปกว่านั้น คำถามข้างต้นยังนำมาซึ่ง ความเปลี่ยนแปลงอันแปลกประหลาดทางพลังวิญญาณในตัว รวมถึงสิ่งแวดล้อมรอบตัว
ความบ้าคลั่งเริ่มพลุ่งพล่าน ราวกับกำลังทดสอบขอบเขตของเหตุผล; ความมืดสลัวรอบข้าง คล้ายกับใครบางคนมอบความเป็นมนุษย์ให้มัน เริ่มเคลื่อนไหวบิดเบี้ยวชัดเจน; เตียงนอนด้านหน้า รวมถึงพื้นใต้เท้า เริ่มปรากฏลวดลายแปลกประหลาด แม้ลูเมี่ยนจะไม่ได้จ้องมองมันโดยตรง แต่ร่างกายกลับยังคันคะเยอ อยากจะฉีกผิวหนังชั้นนอกออกให้หมด…
“มีสิ่งใดอยู่นอกเหนือข้อจำกัดทั้งปวง มีสิ่งใดอยู่นอกเหนือความคิดเชิงมโนทัศน์หรือไม่…” เสียงนั้นยังคงไถ่ถามกับความว่างเปล่า
ในส่วนลึกของความมืดที่กำลังบิดเบี้ยว บางสิ่งที่ยากจะบรรยาย กำลังก่อตัวขึ้นในทุกขณะ
ลูเมี่ยนมิอาจต้านทานหรือหยุดยั้งได้เลย ได้แต่รอคอยการมาถึงของความน่าพรั่นพรึงอันยิ่งใหญ่ ท่ามกลางอาการปวดเศียรเวียนเกล้ารุนแรง
ในขณะนั้นเอง สายฟ้าสว่างเจิดจ้า ก็แลบขึ้นตรงหน้าเด็กหนุ่ม
เปรียบดังพฤกษาต้นมโหฬาร ได้หยั่งรากลงมาจากอาณาจักรแห่งทวยเทพ แต่ละ ‘กิ่งก้าน’ สีเงินขาวส่งเสียงจิ๊กๆ
ครืน!
พร้อมกันกับที่สายฟ้าสีเงินขาวฟาดใส่คนไข้บนเตียง ลูเมี่ยนได้ยินเสียงฟ้าร้องดังสนั่นหวั่นไหว สะเทือนไปจนถึงแก้วหูและดวงวิญญาณของเขา
เสียงเหล่านี้ทำให้สิ่งมีชีวิตประหลาด ซึ่งเกิดจากคำถามเมื่อสักครู่ สั่นสะเทือนหนักจนทยอยหลุดออกจากร่างกายเด็กหนุ่ม ช่วยให้อาการปวดหัวบรรเทาลงหลายส่วน เหลือเพียงอาการมึนงงจากเสียงกึกก้อง
สายฟ้าอันน่าพรั่นพรึง โหมกระหน่ำลงบนร่างของคนไข้บนเตียง แม้ลูเมี่ยนจะยืนห่างออกไปหลายก้าว ผิวหนังก็ยังรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับพันเล่มทิ่มแทง ทั้งปวดระบมไปทั่ว ทั้งยังชาเป็นบริเวณกว้าง
อย่างเลือนราง เด็กหนุ่มได้ยินเสียงสวดคาถาก้องกังวาน ดูเหมือนกำลังพูดว่า ‘ข้ามา ข้าเห็น ข้าบันทึก’ ขณะเดียวกัน บรรยากาศในห้องผู้ป่วยก็มืดลงทุกขณะ ราวกับถูกอำนาจบางอย่าง ผลักเข้าสู่มิติลึกลับที่ตัดขาดจากโลกภายนอก
ลูเมี่ยนถอนหายใจ พลางมองไปทางเตียงนอน เห็นร่างคนไข้ดำเกรียมเป็นตอตะโก ดุจดังถ่านไม้ มีกลิ่นไหม้โชยออกมาไม่หยุด
กายเนื้อที่แนบติดอยู่กับชุดคนไข้ ผ้าปูที่นอน และผ้าห่มที่ขาดวิ่น เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความว่างเปล่า ราวกับกลายเป็นเงาดำสนิท
บนผิวของเงาดังกล่าว เกิดรอยแยกขึ้นทีละรอย แต่ละรอยเต็มไปด้วยสัญลักษณ์ลวดลายลึกลับ ดูคล้ายดวงตานับไม่ถ้วน คล้ายปากนับร้อยนับพันที่เปิดปิดไม่หยุด
ลูเมี่ยนยังไม่ทันเห็นการเปลี่ยนแปลงชัดเจน ดวงตาก็พลันท่วมท้นไปด้วยแสงแดดอันบริสุทธิ์ สดใส และสีทองอร่าม
เสียงอันศักดิ์สิทธิ์และเลื่อนลอยนั่น ดังกังวานอยู่ข้างหูเขาอีกครั้ง
เมื่อสายตาของเด็กหนุ่มกลับเป็นปกติ บนพื้นผิวของเตียงที่ไหม้เกรียม ยามนี้เหลือเพียงรอยดำบางๆ ซึ่งกำลังบิดเบี้ยวอย่างน่าขนลุก ดุจดังสัตว์ตระกูลงูที่ถูกส้อมจิ้มใส่จุดสำคัญ
เป็นกับดักจริงๆ … ลูเมี่ยนไม่ประหลาดใจกับเรื่องนี้เลย
จากองค์ประกอบต่างๆ ของ ‘ภาพลวงตา’ อย่างเช่น ความว่างเปล่าที่เต็มไปด้วยดวงดาว หรือประตูไร้ลักษณ์ ซึ่งประกอบจากสัญลักษณ์ลึกลับและไม่อยู่นิ่ง เขาได้ข้อสรุปว่าคนไข้เมื่อครู่ กับหุ่นเชิดตัวหนึ่งของโลกิ ต่างก็รับพรจากเทพมารองค์เดียวกัน โดยตัวแทนของ ‘ฉันมีเพื่อนอยู่คนนึง’ มีลำดับสูงกว่าชัดเจน
“โลกิกับ ‘ฉันมีเพื่อนอยู่คนนึง’ เคยเข้าร่วมปฏิบัติการต่อต้านองค์กรลับที่บูชาเทพมารสักองค์?”
“เป็นเจตจำนงของราชันสวรรค์ฟ้าดินประทานโชค? พระองค์ต้องการบรรลุเป้าหมายใด?”
“เป้าหมายดังกล่าว ทำให้ ‘ฉันมีเพื่อนอยู่คนนึง’ เลือกที่จะพักอยู่ในทรีอาร์ต่อ?”
“ตัวแทนคนนี้ ก็ถือเป็นการเยาะเย้ยผู้ไล่ล่าอย่างโจ่งแจ้งด้วยสินะ?”
“ฉันรู้ว่าพวกแกกำลังตามหาฉัน และรู้ด้วยว่า พวกแกจะพบเบาะแสใดบ้าง ฉันยังจงใจให้ความหวังเล็กๆ กับพวกแกด้วย?”
ในสมองของลูเมี่ยน ความคิดแล่นผ่านดุจสายฟ้า พยายามวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันจากมุมมองของ ‘ฉันมีเพื่อนอยู่คนนึง’ เพื่อหาเบาะแสว่าเขาซ่อนตัวอยู่ที่ใด
เขาได้ข้อสรุปว่า ด้วยระดับอันตรายของคนไข้เมื่อครู่ ‘ฉันมีเพื่อนอยู่คนนึง’ กับโลกิ คงจับอีกฝ่ายเป็นๆ เพื่อนำตัวมาโน้มน้าวให้เป็นพวกพ้องไม่ไหว
คำนึงจากการที่โลกิเคยมีหุ่นเชิดเส้นทางเดียวกัน เราสามารถอนุมานได้ว่า คนไข้ที่เพิ่งถูกย่างสด คงไม่ยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดี หรืออาจไม่ยอมทำตอนมีสติ
เมื่อรวมน้ำเสียงอันสับสนงุนงง รวมถึงคำถามที่ดูเหมือนจะไร้สิ้นสุดของตัวแทนนั่น ลูเมี่ยนเชื่อว่า เขาอาจจะเสียสติไปเพราะ ‘ความรู้’ หรือ ‘ความจริง’ บางอย่างที่ได้รับมาจาก ‘พร’ หรือไม่ก็ระหว่างใช้พลัง จนกลายเป็นคนไข้จิตเวชอย่างแท้จริงไป
ส่วน ‘ฉันมีเพื่อนอยู่คนนึง’ อาศัยที่ตัวเองเป็น ‘นักจิตบำบัด’ มืออาชีพ คอยชักนำคนไข้คนนี้ให้เชื่อใจตนเป็นระยะ สร้างความเป็นมิตรมากขึ้น จนในที่สุด ‘ฉันมีเพื่อนอยู่คนนึง’ ก็บรรลุระดับที่สามารถ ‘โน้มน้าว’ อีกฝ่ายได้ สามารถบอกให้เขาจัดพิธีกรรม วิงวอนการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ภายนอก
คิดมาถึงตรงนี้ ลูเมี่ยนมองไปทางหน้าต่างติดลูกกรงเหล็ก เห็นว่าความมืดลึกลับเมื่อครู่จางหายไปแล้ว แสงจันทร์สีแดงเรื่อส่องทะลุผ่านกระจกที่ไม่หนาไม่บาง ฉายเข้ามาในห้องพยาบาล
ในทางกลับกัน บริเวณรอบๆ โรงพยาบาลจิตเวชเดลตา ซึ่งแต่เดิมยังดูปกติดี บัดนี้ความมืดเริ่มหนาแน่นขึ้น ความว่างเปล่าโค้งงอจนมองเห็นด้วยตาเปล่า ราวกับมิติถูกปิดล้อมเป็นทรงกลม
หลังจากจัดการกับคนไข้อันตรายนั่นแล้ว มาดามเมจิกเชี่ยนมิได้ใช้ความสามารถอื่นอีก เพียงแค่ทำให้ทั้งโรงพยาบาลจิตเวช รวมถึงสนามหญ้าโดยรอบ เข้าสู่สภาวะถูกปกปิด
ราวกับกำลังบอกลูเมี่ยนว่า ปัญหาใดแก้ไขเองได้ ก็จัดการเอาเองเถอะ สิ่งที่ฉันช่วยเธอได้ คือไม่ปล่อยให้เสียงนี้ เล็ดลอดไปเรียกผู้วิเศษทางการของทรีอาร์มา
ลูเมี่ยนถอนหายใจ รีบคัดกรองเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวันเอพริลฟูล นับตั้งแต่ที่ตนเริ่มตามหาโลกิ
ไม่นานก็ผุดข้อสันนิษฐาน จนถึงขั้นสร้าง ‘เรื่องราว’ ที่สมบูรณ์ขึ้นมา
‘ฉันมีเพื่อนอยู่คนนึง’ เคยเป็นหมอ พยาบาล หรือคนไข้ของโรงพยาบาลจิตเวชเดลตาจริงๆ อยู่มาวันหนึ่ง เขาค้นพบคนไข้แปลกประหลาด ชอบตั้งคำถามทางปรัชญาต่างๆ อยู่เสมอ
ภายใต้การชี้นำของราชันสวรรค์ฟ้าดินประทานโชค ‘ฉันมีเพื่อนอยู่คนนึง’ เริ่มตีสนิทคนไข้รายนั้น ในระหว่างกระบวนการ ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะสังเกตเห็นว่า รอบตัวคนไข้มีสาวกเทพมารแอบซ่อนอยู่ ดังนั้น อาศัยความช่วยเหลือจากโลกิ ทั้งคู่จึงขับไล่พวกที่มีปัญหาไปได้ ทาง ‘ฉันมีเพื่อนอยู่คนนึง’ ได้คนไข้มาไว้ในกำมือหนึ่งคน ส่วนโลกิได้หุ่นเชิดมาหนึ่งตัว
หลังจากที่โลกิคืนชีพ ‘ฉันมีเพื่อนอยู่คนนึง’ ที่ได้รับการเตือน จึงใช้ประโยชน์จากความไว้วางใจที่คนไข้ประหลาดรายนี้มอบให้ ชักนำให้อีกฝ่ายจัดพิธีกรรม สวดวิงวอนต่อราชันสวรรค์ฟ้าดินประทานโชค จนกระทั่งกลายมาเป็นตัวแทน กลายเป็นกับดักเดินได้
ส่วน ‘ฉันมีเพื่อนอยู่คนนึง’ ก็คงเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปแล้ว ไม่รู้ว่าหนีไปที่ไหน
ขณะกำลังนึกเสียดาย ลูเมี่ยนฉุกคิดเรื่องหนึ่งกะทันหัน
จินนาเจอตัวแทนของ ‘ฉันมีเพื่อนอยู่คนนึง’ ด้วย ‘ความโชคดี’
แต่ถ้าแค่เจอตัวแทน ซ้ำยังเป็นตัวแทนที่เป็นกับดักอีก จะนับว่าโชคดีได้อย่างไร?
นี่มันโชคร้ายชัดๆ!
เว้นเสียแต่ว่า การตามรอยตัวแทนนี้ จะช่วยให้สาวไปถึง ‘ฉันมีเพื่อนอยู่คนนึง’ ได้ด้วย หรือไม่ก็ สิ่งที่จินนาพบเจอในตอนนั้น ไม่ได้มีเพียงตัวแทน แต่ยังมี ‘ฉันมีเพื่อนอยู่คนนึง’ ตัวจริงรวมอยู่ด้วย เพียงแต่เธอจำอีกฝ่ายไม่ได้ หรือไม่ก็ไม่ได้เห็นตรงๆ!
ซึ่งทั้งสองความเป็นไปได้ข้างต้น ต่างก็บ่งชี้ว่า ‘ฉันมีเพื่อนอยู่คนนึง’ น่าจะยังอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวชแห่งนี้!
ไม่ว่าสุดท้ายแล้ว กับดักจะได้ผลหรือไม่ แต่ผู้ไล่ล่าก็มักมองข้ามปัญหาของตัวโรงพยาบาลจิตเวชได้ง่าย ทึกทักเอาเองว่า ‘ฉันมีเพื่อนอยู่คนนึง’ คงย้ายแหล่งกบดานหนีไปนานแล้ว
ไม่มีที่ใดมืดกว่าใต้ตะเกียง แถมยังถูกมองข้ามได้ง่าย!
คิดได้แบบนั้น ลูเมี่ยนก็หมุนตัวทันที ผลักประตูห้องอันหนักอึ้ง พุ่งออกไปยังทางเดินของโรงพยาบาลจิตเวช
ท่ามกลางเสียง ‘เพล้ง’ เด็กหนุ่มพุ่งทะลุหน้าต่างตรงมุมบันได ร่อนลงบนสนามหญ้า ซึ่งถูกล้อมรอบด้วยตึกหลัก และตึกปีกทั้งสองข้าง
ขณะเดียวกันก็ใช้ ‘ใบหน้าของไนเซอร์’ เปลี่ยนตัวเองเป็นคนไข้เมื่อครู่
ถัดมา ลูเมี่ยนตะโกนเสียงดังจากใจกลางสนามหญ้า ไถ่ถามกับท้องฟ้ายามราตรีว่า
“จุดสิ้นสุดของโลกอยู่ที่ใด จุดเริ่มต้นของจักรวาลเป็นอย่างไร…”
“ใครคือเทพผู้สร้างสรรพสิ่ง และใครสร้างพระองค์…”
เสียงดังกล่าว ก้องกังวานอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวช ดังไปถึงทุกห้อง
เพียงไม่กี่วินาที เสียงของฟรังก้าก็ดังขึ้นข้างใบหูลูเมี่ยน
“มีการเคลื่อนไหว ทั้งในห้องเวรแพทย์และสถานีพยาบาลชั้นหนึ่ง รวมถึงห้องผู้ป่วยห้องแรก ชั้นสาม ฝั่งตึกเสริมทางตะวันตก”
ได้ยินข้อมูลจากพวกพ้อง ลูเมี่ยนก็พลันยิ้มออก
เด็กหนุ่มกดมือสองข้างลงในความว่างเปล่าตรงหน้า สร้างเปลวไฟอันร้อนแรงสีแดงฉานในพริบตา
เปลวไฟขยายตัวอย่างรวดเร็ว ‘เปิดเผย’ ใยแมงมุมล่องหนที่ครอบคลุมทั่วทั้งตึก
ใยแมงมุมทับซ้อนกันหลายชั้น แผ่ขยายเข้าไปในทุกห้อง เฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของมนุษย์ทั้งหมด
เพื่อเตรียมการและคงสภาพมันไว้ ฟรังก้าต้องสิ้นเปลืองเวลาไปมาก แถมยังผลาญพลังวิญญาณไปกว่าครึ่ง
เปลวไฟสีแดงฉาน แปรเปลี่ยนเป็นงูเพลิงยักษ์สามตัว เลื้อยไต่ไปตามใยแมงมุม หนึ่งตัวสู่ห้องเวรแพทย์ หนึ่งตัวสู่สถานีพยาบาลชั้นหนึ่ง และหนึ่งตัวสู่ห้องพักผู้ป่วยชั้นสาม
……………………………………………………..