ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 401 นักท่องฝัน
- Home
- All Mangas
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 401 นักท่องฝัน
ตอนที่ 401 นักท่องฝัน
……….
นับตั้งแต่โลกิคลุ้มคลั่งจนร่างสลาย แต่ยังไม่ตายโดยสมบูรณ์ ลูเมี่ยนก็ระวังการ ‘แจ้งความ’ จากสมาชิกหลักกลุ่มวันเอพริลฟูลมาตลอด รวมถึงการลอบโจมตีทีเผลอจากผู้วิเศษทางการ เนื่องจากโลกิทราบว่า ตนคือลูเมี่ยน·ลี ทราบว่าตนคือหัวหน้าหน่วยของพรรคซาฟาห์ คนคุมคาบาเร่ต์ลมเอื่อย และยังทราบว่า ตนมีออร่าของจักรพรรดิโลหิต อลิสต้า·ทูดอร์อยู่ในตัว
ปรากฏว่า ผู้วิเศษทางการกลับทำเพียง ส่งคนจากกองบัญชาการตำรวจเขตตลาด มาสอบถามเกี่ยวกับความผิดปกติในคืนดังกล่าว รวมถึงดูว่าชาร์ล·ดูบัวส์ หัวหน้าหน่วยของแก๊งอันธพาล ผู้มีฝีมือไม่เลวคนนี้ พอจะรู้อะไรบ้างหรือไม่
สิ่งนี้ทำให้ลูเมี่ยนมั่นใจ กลุ่มวันเอพริลฟูลวางแผนจะทำบางสิ่งกับตน จึงไม่อยากส่งเหยื่อให้ทางการ หรือบีบให้ออกจากเขตตลาด จนหลุดพ้นจากสายตาพวกเขา
สำหรับโลกิ หุ่นเชิดที่ผนึกเทวทูตไว้ คงถือเป็นไพ่เด็ดสำหรับเพิ่มคุณภาพของเขาได้มาก หากพลาดลูเมี่ยนไป ก็คงแทบไม่มีวันได้เจอลูเมี่ยนคนที่สองอีก
นอกจากนี้ ราชันสวรรค์ฟ้าดินประทานโชคอาจต้องการใช้เทอร์มีโพลอสเพื่อทำบางอย่าง
ท่าทีของสมาชิกหลักกลุ่มวันเอพริลฟูลในเรื่องนี้ ถือว่าชัดเจนมาก ไม่มีเจตนาปิดบังเลย แฝงไปด้วยการเย้ยหยันและเจตนาร้ายอันแรงกล้า โดยพวกเขาเชื่อว่า ลูเมี่ยนจะดูออก จนโกรธจัด เลือกที่จะรออยู่ในเขตตลาด
ส่วนจะลงมือเมื่อไรนั้น อำนาจอยู่ในมือพวกเขา แน่นอนว่าจะไม่สุ่มสี่สุ่มห้าโจมตีใส่ ในขณะที่ลูเมี่ยนมีผู้ช่วย
จินนาสัมผัสถึงความโกรธ รวมถึงความดุร้าย ที่ซ่อนอยู่ใต้สีหน้ากับน้ำเสียงอันเยือกเย็นของลูเมี่ยน จึงเลิกพูดถึง เพียงแต่บ่นว่า
“หวังว่าไอ้พวกเลวนั่น จะมีจุดจบคู่ควรกับบาปกรรมที่ก่อไว้”
เมื่อลูเมี่ยนอารมณ์พลุ่งพล่าน ปัญหาซ่อนเร้นเล็กๆ ที่ยังหลงเหลือจากภาวะเกือบคลุ้มคลั่งก่อนหน้านี้ ได้กลับมาปรากฏใหม่
เด็กหนุ่มสูดลมหายใจลึก ยกมือขวาขึ้น ถ่างนิ้วบีบขมับทั้งสองข้าง เพื่อบรรเทาอาการปวดเศียรเวียนเกล้า
“คุณไหวไหม” จินนาถามด้วยความเป็นห่วง
ลูเมี่ยนตอบเรียบง่าย
“ความบอบช้ำทางจิตใจจากการต่อสู้กับโลกิ ต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองสัปดาห์ กว่าจะฟื้นตัวเต็มที่”
จินนากลอกตาเล็กน้อย ถามกึ่งหยั่งเชิง
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกน่า ก็เราเพื่อนกันนี่นา!”
เธอพูดประโยคหลังโดยยกหางเสียงสูง พยายามใช้น้ำเสียงทีเล่นทีจริง เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของลูเมี่ยน และเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ของเด็กหนุ่ม
ลูเมี่ยนเสียดสี
“ทำไมคุณถึงเอาแต่พูดว่า ฟรังก้าเคยพูด ฟรังก้าเคยสอน”
“คุณเองก็…” จินนาหุบปากฉับพลัน
เธอตั้งใจจะพูดว่า ‘คุณเองก็พูดบ่อยๆ ว่าพี่สาวผมเคยพูด พี่สาวผมเคยสอน’
ลูเมี่ยนเงียบไปครู่หนึ่ง
จินนาก็เช่นกัน
ผ่านไปสองสามวินาที เห็นว่าลูเมี่ยนไม่ปฏิเสธ จินนาก็ลุกจากที่วางแขนบนเก้าอี้ เดินไปข้างหลังเด็กหนุ่ม ยกมือนวดขมับ รวมถึงด้านข้างศีรษะ
ลูเมี่ยนตัวแข็งเกร็งกะทันหัน
“นี่คุณไม่เคยใกล้ชิดกับผู้หญิงเลยหรือไง?” จินนาหยอกเย้าตามความเคยชิน
ลูเมี่ยน ‘หึ’ ในคอ
“ในฐานะนักล่า ใครก็ตามที่กล้าเอามือเข้าใกล้หัวผม ถ้าไม่ถูกจับทุ่ม ก็ต้องถูกประเคนลูกไฟยักษ์ให้สักหน่อย…นี่ผมอดทนมากเลยนะ คุณถึงไม่ถูกเผาจนเกรียมน่ะ”
จินนาเพิ่มแรงนวด ด้วยอารมณ์ทั้งโกรธและขำ
“โอสถนักยั่วยุเปลี่ยนระบบภาษา รวมถึงวิธีการพูดของคุณไปอย่างสิ้นเชิงเลยสินะ?”
“โฮ่…ต้องใช้ศัพท์หรูหราขนาดนี้เชียว?” ลูเมี่ยนเสียดสีกลับ
ระหว่างที่ทั้งคู่จิกกัดกันไปมา เนื้อตัวลูเมี่ยนก็เริ่มผ่อนคลาย จนกระทั่งผ่านไปสองสามนาที เด็กหนุ่มก็เอนหลังพิงพนักโซฟา หลับตาลงครึ่งหนึ่ง
เขาเพลิดเพลินไปกับการนวดของจินนา รวมถึงอาการปวดหัวที่บรรเทาลง จึงเล่าถึง ‘การแกล้ง’ ของสมาชิกหลักกลุ่มวันเอพริลฟูลอย่างโลกิกับ ‘ฉันมีเพื่อนอยู่คนนึง’ ให้ฟังอย่างเป็นกันเอง พอจินนาได้ยิน ก็โกรธจนควันแทบออกหู เผลอเพิ่มแรงมือโดยไม่รู้ตัว
“เบาหน่อย…เบา” ใบหน้าของลูเมี่ยนบิดเบี้ยวเล็กน้อย
เรี่ยวแรงของ ‘นักลอบสังหาร’ ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
จินนาผ่อนมือลง พลางบ่นอย่างหัวเสีย
“แม้จะเคยอ่านบทละครมามากมาย แต่ฉันไม่เคยเห็นใครระยำต่ำช้าเท่าพวกมันมาก่อน ทุกคนสมควรได้รับความทรมานทุกรูปแบบ!”
“บัดซบ! ทำไมฉันถึงยังไม่เป็น ‘แม่มด’ อีก?”
ลูเมี่ยนหลับตา ถามขึ้นมาว่า
“โอสถ ‘นักกระตุ้น’ ของคุณย่อยไปถึงไหนแล้ว สรุปกฎการสวมบทบาทได้หรือยัง”
จินนาถูกเบี่ยงเบนความสนใจ นวดไปด้วย ทบทวนความจำไปด้วย
“ตอนนี้มีสองข้อ หนึ่งคือ ‘การกระตุ้นเป็นวิธีการ มิใช่เป้าหมาย’ สองคือ ‘แก่นแท้ของการกระตุ้นคือ การทำความเข้าใจธรรมชาติของสรรพสิ่ง เข้าใจสภาวะจิตใจที่สอดคล้องกับตัวบุคคล มิใช่การใช้พลัง’ นอกจากนี้ ฉันยังค้นพบอีกหนึ่งสิ่ง…การกระตุ้นย่อมนำมาซึ่งหายนะเสมอ ขึ้นอยู่กับว่า ฉันอยากให้ใครรับหายนะนี้ไป”
“คืบหน้าไม่เบา” ลูเมี่ยนพูดชมอย่างหาได้ยาก
จินนา ยืนอยู่ด้านหลังเด็กหนุ่ม เชิดคางขึ้นโดยไม่รู้ตัว แล้วพูดอย่างถ่อมตน
“ฉันหาโอกาสสวมบทบาทอยู่ทุกวัน สถานที่อย่างกรงพิราบเก่า ซึ่งมีนักแสดงกับเด็กฝึกอยู่เพียบ ย่อมไม่ขาดความขัดแย้ง ฉันจึงต้องคิดให้รอบคอบทุกครั้งก่อนกระตุ้น ว่าอยากให้ใครได้ประโยชน์ ใครได้รับบทเรียนหรือความเสียหาย ถึงค่อยเข้าใจว่า การกระตุ้นเป็นเพียงวิธีการ”
ตอนนี้ลูเมี่ยนสงบลงมากแล้ว จึงปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปตามอำเภอใจ ถามด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง
“แล้วคุณคิดว่า ผมจะหาโอกาสสวมบทบาทเป็น ‘นักวางเพลิง’ ได้จากที่ไหนบ้าง”
จินนายังคงนวดไม่หยุด ครุ่นคิดแล้วตอบคำถาม
“กรุงทรีอาร์น่ะ อย่างน้อยก็มีกฎระเบียบพื้นฐาน คุณสวมบทบาทได้แค่เรื่องเล็กๆ เท่านั้น ไม่มีทางก่อเรื่องใหญ่โต…”
“อาจจะมีโอกาสได้สวมบทบาทระหว่างการไล่ล่าพวกชั่วนั่น ตอนที่ฟังคุณเล่าเมื่อครู่ ฉันแทบอยากจะเผาพวกมันให้วอดวาย!”
ลูเมี่ยนผุดแนวคิดบางอย่างกะทันหัน แต่ยังไม่ชัดเจนพอ
ทันใดนั้น มีเสียงฝีเท้าดังมาจากทางบันได ชัดเจนขึ้นทีละน้อย
จินนาปล่อยมือที่กำลังนวดหัวลูเมี่ยน ขณะเดินไปรับที่หน้าประตู เธอพูดพร้อมกับรอยยิ้ม
“ฟรังก้ากลับมาแล้ว”
……………
หลายเขตในกรุงทรีอาร์ มีค่ำคืนที่ไม่ค่อยสงบนัก แต่ก็มิได้ขัดขวางการเข้าสู่ห้วงนิทราของชาวเมืองในย่านดังกล่าว
ใครบางคนฝันว่า ลูกของเขากินขนมปังเลือดมนุษย์ แล้วอาการดีขึ้นตามลำดับ สุขภาพแข็งแรงดีวันดีคืน
ทันใดนั้น ในความฝันของเขาปรากฏสุนัขสีทองตัวใหญ่ พันธุ์โกลเดนรีทรีฟเวอร์ ซึ่งสะพายกระเป๋าเป้ใบเล็ก
สุนัขสีทองตัวนั้น นั่งยองๆ อยู่ตรงขอบความฝัน คอยนำทางภาพเหตุการณ์อันคลุมเครือสับสน ให้แสดงบางฉากออกมาในส่วนลึกของจิตใต้สำนึก
นั่นคือความตื่นเต้นขณะแทรกผ่านฝูงชน ถือขนมปังวิ่งไปหาศพนักโทษประหาร นั่นคือความลังเล หลังจากเชื่อว่าขนมปังเลือดมนุษย์สามารถรักษาโรคได้ นั่นคือความปีติยินดี ระคนความสงสัย ในครั้งแรกที่ได้ยินเรื่องดังกล่าว…
ถือโอกาสนี้ สุนัขสีทองมองเห็นร่างของผู้แจ้งข่าวลือ ‘ขนมปังเลือดมนุษย์’ ให้เจ้าของความฝัน ซึ่งไม่ใช่ใครนอกจากเพื่อนบ้านห้องติดกัน
ด้วยวิธีดังกล่าว สุนัขขนทองจึงเดินทาง ข้ามจากความฝันหนึ่งไปอีกความฝันหนึ่ง กระตุ้นจิตใต้สำนึกที่สอดคล้องกัน เพื่อตามหาต้นตอของข่าวลือเรื่องขนมปังเลือดมนุษย์
ผ่านไปหลายร้อยความฝัน สุนัขขนทองค้นพบความขัดแย้งที่ค่อนข้างชัดเจนในสองความฝัน
หนึ่งในนั้นเป็นฝันของพ่อ ซึ่งเชื่อว่าตนได้ฟังความลับของขนมปังเลือดมนุษย์จากจอมเวทคนหนึ่ง ผู้บังเอิญผ่านทางมา จนช่วยให้ลูกสาวเอาชนะโรคร้ายได้ อีกความฝันหนึ่งเป็นของลูก ในความฝัน เธอป่วยอย่างกะทันหัน แล้วก็หายเป็นปกติกะทันหัน ผลของขนมปังเลือดมนุษย์ช่างเลิศเลอราวกับยาวิเศษของจริง
สุนัขขนทองนำทางพ่อคนนั้น ให้ช่วยแสดงรูปโฉมของจอมเวท ผู้บังเอิญผ่านมาในความฝัน
ใบหน้าดูธรรมดามาก ไม่มีสิ่งใดโดดเด่น
ภาพในความฝันกะพริบถี่รัว ความทรงจำเกี่ยวกับรูปโฉมของจอมเวท ถูกย้อนกลับไปเรื่อยๆ
เมื่อย้อนกลับไปถึงช่วงเวลาที่คนพ่อพบกับจอมเวท สุนัขขนทองพบว่า ใบหน้าของจอมเวท แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับ ‘เมื่อสักครู่’!
จากนั้น ใบหน้าดังกล่าวก็แปรเปลี่ยนในพริบตา หยุดนิ่งอยู่ในรูปลักษณ์ที่เจ้าของความฝันจดจำได้ตามปกติ
สุนัขขนทองตีความเอาเองได้ดังนี้
‘การสะกดจิต’ ของจอมเวทนั่น จะต้องเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาแน่นอน ส่งผลให้ในแวบแรกที่เจ้าของความฝันเห็นจอมเวท ใบหน้าจะยังไม่ถูกปลอมแปลง ทิ้งไว้เพียงรูปโฉมแท้จริงที่สุด หลังจากนั้นจึงถูกสะกดจิต ให้ใบหน้าในภาพจำเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
โดยไม่ต้องทำซ้ำกระบวนการ ‘ปลุกจิตใต้สำนึกด้วยความฝัน’ โฉมหน้าแท้จริงของจอมเวท ก็ผุดขึ้นในใจของสุนัขขนทองเองโดยปริยาย
ผมสีน้ำตาลสั้น ทรงสามต่อเจ็ด นัยน์ตาสีเชือกป่านฉาบไว้ด้วยรอยยิ้ม ใบหน้าค่อนข้างผอม ตกกระพอควร สวมแว่นตากรอบทองบนสันจมูก…
สุนัขขนทองออกจากความฝัน มองไปทางมาดามเมจิกเชี่ยน ผู้โผล่ออกจากความว่างเปล่าข้างๆ เธอ แล้วส่งเสียงเฉกเช่นมนุษย์
“คืบหน้าแล้ว”
มาดามเมจิกเชี่ยนในเสื้อเชิ้ตสตรี กระโปรงยาวสีน้ำตาล ถอนหายใจแล้วพูดด้วยท่าทีกึ่งๆ อยากรู้อยากเห็น
“ส่งข้อมูลมา ฉันจะตรวจสอบดู”
สุนัขขนทองไม่พูดไม่จา ดวงตาเปลี่ยนเป็นลุ่มลึกฉับพลัน
สองสามวินาทีต่อมา มาดามเมจิกเชี่ยนก้าวไปข้างหน้าเล็กน้อย รอบตัวมีดวงดาวสว่างวาบทีละจุดๆ
ยังกับเงาสะท้อนของท้องนภาอันกว้างไกลบนพื้นดิน
ดวงดาวอันงดงาม เล็กจิ๋ว หมุนวนไปอย่างรวดเร็ว มอบคำใบ้บางอย่าง
มาดามเมจิกเชี่ยนตีความเสร็จ ก็เปิดประตูลวงตาที่ซ่อนอยู่ในความมืด แล้วหายวับไปทันที
เพียงสิบกว่าวินาทีถัดมา เธอก็โผล่ออกมาใหม่ พูดกับสุนัขขนทองว่า
“บนถนนที่ผลจากการทำนายด้วยโหราศาสตร์ชี้ไป ไม่มีเป้าหมายอยู่”
“ถูกบิดเบือน?” สุนัขขนทองถามกลับด้วยเสียงสตรี
มาดามเมจิกเชี่ยนพยักหน้า เหยียดมุมปากแล้วกล่าว
“แต่ก็เป็นการพิสูจน์ว่า สิ่งที่เธอเห็น คือร่างจริงของเป้าหมาย”
เมื่อเธอกล่าวจบ ร่างของมาดามจัสติส ในชุดกระโปรงยาวสีเขียวขอบขาว ก็ถูกร่างขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ไปไหนมา?” เมจิกเชี่ยนถามด้วยความสงสัย
มาดามจัสติสตอบกลับด้วยเสียงนุ่มนวล
“ไปปลูกฝังการชี้นำเล็กน้อย ในความฝันของผู้ที่อยากไล่ตามขนมปังเลือดมนุษย์ บอกกับพวกเขาว่า สุดสัปดาห์นี้ในเขตหอรำลึก บริษัทยาเดอะฟูลจะจัดตรวจรักษาการกุศล พร้อมทั้งให้การรักษาและยาฟรี”
“ตรวจรักษาการกุศล…จะเริ่มเมื่อไร?” เมจิกเชี่ยนถามตามความเคยชิน
มาดามจัสติสอมยิ้ม
“พรุ่งนี้”
“ฉันจะเป็นผู้สนับสนุน”
…………
หกโมงเช้า โรงแรมระกาทอง ห้อง 207
ลูเมี่ยนตื่นตามธรรมชาติ แล้วเริ่มล้างหน้าแปรงฟัน
เด็กหนุ่มยังไม่ทันตัดสินใจว่า มื้อเช้าจะกินอะไรดี ก็เห็น ‘ตุ๊กตา’ ผู้ส่งสารโผล่ออกมา ทิ้งจดหมายไว้ฉบับหนึ่ง
ลูเมี่ยนเปิดกระดาษจดหมายด้วยความฉงนเบาๆ แล้วก็เห็นภาพวาดหนึ่งภาพ
ข้างภาพวาดมีลายมือของมาดามเมจิกเชี่ยน เขียนกำกับว่า
“นี่น่าจะเป็นหน้าจริงของ ‘ฉันมีเพื่อนอยู่คนนึง’ ทางเราจะส่งผู้ถือไพ่ทุกคนในกรุงทรีอาร์ออกตามล่าตัว รวมถึงเธอด้วย”
……………………………………………………..