ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 400 ผ่องถ่ายความกังวล
- Home
- All Mangas
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 400 ผ่องถ่ายความกังวล
ตอนที่ 400 ผ่องถ่ายความกังวล
……….
โคมไฟถนนด้านนอกหน้าต่าง ส่องสว่างมาพักใหญ่แล้ว ฟรังก้ามองหน้าบราวส์·เซารอน ซึ่งนั่งอยู่ตรงข้าม แล้วพูดว่า
“ชื่อฉันบอกไปแล้ว อาศัยอยู่เขตตลาด เป็นหนึ่งในหัวหน้าหน่วยคนสำคัญของพรรคซาฟาห์ ฉันเล่าได้เท่านี้ พวกคุณอยากสอบสวนอย่างไรก็เชิญ อย่างไรเสีย เป้าหมายของฉันมีแค่สองเรื่อง หนึ่ง สืบหาสมาคมเสียวซ่าน ขจัดภัยแฝงให้หมด และสอง ถือโอกาสนี้เข้าร่วมงานเลี้ยงรื่นเริงของสตรี”
พอพูดถึงประโยคสุดท้าย ฟรังก้าก็ยิ้มโดยไม่ปิดบัง
กลยุทธ์ที่เธอใช้วันนี้คือ ‘ความจริงใจเคลื่อนใจคน’ ซึ่งเธอวางแผนกับลูเมี่ยนมา เพียงแค่นางมารจากร้านกาแฟเรือนแดงเข้ามาคุย เธอก็จะ ‘สารภาพ’ เป้าหมายของตนทันที หยั่งเชิงว่า อีกฝ่ายมีส่วนเกี่ยวข้องกับสมาคมเสียวซ่านหรือไม่
ในบางรายละเอียด ฟรังก้าปรึกษากับ ‘นักจิตบำบัด’ อ็องโตนี·รีด เพื่อมิให้ตัวเองแสดงออกเกินพอดี ถ้าจะทำเกิน สู้ไม่ทำเลยยังดีกว่า
ตามความเห็นของอ็องโตนี·รีด การ ‘สารภาพ’ ของเธอต้องไม่ใช่การเล่าทั้งหมด หากพูดไปรวดเดียวว่า ‘ฉันเคยเป็นผู้ชาย ตอนนี้เป็นนางมารสุขสม กำลังแฝงตัวอยู่ในพรรคซาฟาห์ เพื่อเข้าร่วมชุมนุมกางเขนเลือดเหล็ก และกลับสู่ร่างเดิมในอนาคต’ ไม่เพียงไม่สามารถสร้างความเชื่อถือ แต่กลับทำให้อีกฝ่ายระแวงว่า เธอเปิดเผยมากเกินไป ต้องมีเป้าหมายอื่นเคลือบแฝงแน่
ดังนั้น เธอจึงเล่าเพียงตัวตนที่เห็นได้ชัด กับเป้าหมายหลัก ส่วนรายละเอียดที่เหลือก็ซ่อนไว้ ให้อีกฝ่ายทำความเข้าใจเอาเอง ค้นหาเอาเอง
ข้อมูลที่ได้มาด้วยความพยายาม ย่อมน่าเชื่อถือกว่าการเล่าด้วยปาก!
บราวส์·เซารอน จ้องเข้าไปในดวงตาของฟรังก้า ก่อนจะกล่าว
“ด้วยพลังที่คุณแสดงให้เห็น ทำไมถึงลดตัวไปเป็นหัวหน้าหน่วยของแก๊งล่ะ”
“เพื่อเรื่องสำคัญยิ่ง ฉันเชื่อว่าถ้าเป็นคุณ ก็คงทำแบบเดียวกัน” ฟรังก้าตอบกลับแบบแทงกั๊ก พลางสื่อเป็นนัยว่า เธอก็จำได้ว่าอีกฝ่ายมีเส้นทาง ลำดับ และเพศสภาพเดิมเป็นเช่นไร
พูดถึงตรงนี้ เธอก็ยกมือขึ้น ลูบต่างหู ‘คำลวง’ สีเงินขาวตรงใบหูขวา ยิ้มแล้วเสริมว่า
“ลืมบอกไป นี่ไม่ใช่หน้าจริง ฉันปลอมตัวมาดีพอควร ไม่อย่างนั้น วันก่อนคุณคงไม่ถูกฉันสลัดหลุด”
บราวส์มองต่างหูสีเงินครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้ารับรู้
เธอมิได้สอบถามถึงตัวตน หรือประวัติของฟรังก้าต่อ แต่เปลี่ยนไปถามเรื่องสมาคมเสียวซ่านแทน
ฟรังก้าพบว่า นางมารคนนี้ ให้ความสำคัญกับงานเลี้ยงรื่นเริงของสตรีที่ร้านกาแฟเรือนแดงมาก ดูจะไม่อยากให้องค์กร หรือบุคคลใดที่มีเจตนาไม่ดี เข้ามายุ่มย่ามส่งเดช
อย่าบอกนะ เธอเกิดรักชอบแขกบางคนในงานเลี้ยงขึ้นมา จนคิดจริงจังว่าอีกฝ่ายคือคนรัก? ถ้าเป็นแบบนั้น ในภายหลังต้องมีปัญหาแน่ ไม่ช้าก็เร็วหรอก…การมีความรู้สึกเป็นเรื่องดี แต่การรักชอบใครในงานเลี้ยงรื่นเริงพรรค์นี้ แปลว่าสมองไม่ค่อยดีแล้วหรือเปล่า…หรือว่าวิญญาณกับเนื้อหนัง มิอาจแยกออกจากกันได้อย่างสมบูรณ์จริงๆ? ยิ่งสื่อสารกับวิญญาณมากเข้า กายเนื้อก็ยิ่งอยากผสาน ยิ่งกายเนื้อผสานมากเข้า ระยะห่างกับจิตใจย่อมต้องลดอย่างไม่อาจเลี่ยง…ในฐานะผู้สังเกตการณ์ ฟรังก้าวิพากษ์วิจารณ์สภาพของบราวส์·เซารอนพอหอมปากหอมคอ โดยอาศัยประสบการณ์ รวมถึงความรู้จากชีวิตสองช่วงของเธอ จนนำไปสู่การครุ่นคิดเชิงปรัชญาบางอย่าง
นี่ช่วยให้เธอสรุปกฎประจำตัวข้อแรก ในการสวมบทบาทเป็น ‘นางมารสุขสม’ ได้อย่างคลุมเครือ
ฟรังก้าไม่คิดปิดบัง โดยสงสัยว่านิกายนางมาร กำลังวางแผนครอบครองตระกูลเซารอน จึงบ่มเพาะนางมารที่ดูค่อนข้าง ‘ไร้เดียงสา’ และอารมณ์อ่อนไหวขึ้นมา ขณะเดียวกันก็เล่าสถานการณ์ภาพรวม กับจุดเด่นของสมาคมเสียวซ่านให้ฟัง
พอได้ยินชื่อ ‘ผู้เสพติดสังวาส’ รวมถึงอาการที่สอดคล้องกัน ใบหน้าของบราวส์·เซารอนก็พลันเคร่งเครียด เริ่มเจือความหวาดระแวง
ฟรังก้า เล็งเห็นจังหวะเหมาะสมก็หยุด ดื่มไวน์หวานที่เหลือจากมื้ออาหารจนเกลี้ยง บรรจงลุกขึ้นยืน สวมหมวกทรงกลมสีน้ำเงิน แล้วเดินออกจากร้านกาแฟเรือนแดง
นั่งรถม้าเช่ากลับเขตตลาด ระหว่างทาง เธอก็คิดวิเคราะห์ช่องโหว่ที่อาจมีในอนาคต
“ต้องให้จินนาย้ายออก…ไม่สิ ถ้าเธอยังอยู่ในอพาร์ตเมนต์ ก็จะยิ่งพิสูจน์เพศจริงของเราได้ แต่ต้องคอยกำชับว่า ช่วงนี้อย่าเพิ่งแสดงพลังของ ‘นักลอบสังหาร’ กับ ‘นักกระตุ้น’ ออกมา…”
“ปัญหาของชาร์ลคือ ถ้าบราวส์·เซารอนกับปุยฟ์·เซารอนได้เจอหน้ากันบ่อยครั้ง ทั้งสองอาจค้นพบว่า ลูกชายเศรษฐีผู้ใจกว้าง แท้จริงแล้วเป็นหัวหน้าหน่วยแก๊งอันธพาลคุมเขตตลาด ซึ่งจะทำให้เป้าหมายของชุมนุมกางเขนเลือดเหล็กถูกเปิดเผย อา…บราวส์เป็นคนของนิกายนางมาร มีจุดยืนต่างจากตระกูลเซารอน เธอคงจะปิดเรื่องนี้เป็นความลับ แล้วหาทางใช้ประโยชน์จากมันแทน…”
“ตอนนี้บราวส์กำลังอารมณ์อ่อนไหว… หรือว่ากำลังเตรียมพร้อมสำหรับเลื่อนเป็น ‘ทุกข์ระทม’ ในลำดับ 5?
“…”
…………
เขตตลาด ถนนไนติงเกล
ลูเมี่ยนเทเลพอร์ตกลับบ้านลับของตัวเองทันที
ระหว่างรอให้ฟรังก้าคืน ‘คำลวง’ เพื่อเปลี่ยนตัวเองกลับสู่รูปลักษณ์เดิม เด็กหนุ่มครุ่นคิดเกี่ยวกับข่าวลือเรื่องขนมปังเลือดมนุษย์
“ถ้าเราหาพบตั้งแต่เนิ่นๆ ก็ดีไป แต่นี่มีคนเชื่อข่าวลือไปหลายร้อยหลายพันแล้ว ยากมากที่จะหาต้นตอพบ หรือต่อให้เจอต้นตอ ในหัวของอีกฝ่ายก็คงเต็มไปด้วยข้อมูลเท็จ จนบอกไม่ได้ว่าใครเป็นคนถ่ายทอดข่าวลือให้…การจะไล่จับ ‘นักจิตบำบัด’ ที่มีพลังสะกดจิตคน ช่างยากเย็นแสนเข็ญเสียจริง”
“ข่าวลือเรื่องต้นแมนเดรกที่ราโน·บรูห์ได้ยินมา ก็ดูจะมีปัญหาเหมือนกัน…”
ลูเมี่ยนครุ่นคิดไปมา แล้วก็ตัดสินใจปล่อยวาง เพียงรายงานไปถึงมาดามเมจิกเชี่ยนโดยตรง เผื่อว่าเธอจะขอให้มาดามซูซี่ หรือแม้กระทั่งมาดามจัสติส ผู้เป็นนักจิตบำบัดระดับสูง มาช่วยตามหาต้นตอของข่าวลือ
พวกเธอคือผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์นี้ มีความสามารถแบบเดียวกับ ‘ฉันมีเพื่อนอยู่คนนึง’ ทั้งหมด แถมยังแข็งแกร่งยิ่งกว่า!
ต้องไม่ลืมว่า ปัญหาเกี่ยวกับ ‘ราชันสวรรค์ฟ้าดินประทานโชค’ คือภารกิจสาธารณะของชุมนุมทาโรต์
ในทำนองเดียวกัน สำหรับอีกเบาะแสหนึ่ง ลูเมี่ยนก็วางแผนจะให้บรรดาไพ่อาร์คาน่าใหญ่ช่วยกังวลแทน เพราะลำพังความสามารถของตน ไม่มีทางสืบสาวราวเรื่องได้อยู่แล้ว
เด็กหนุ่มมองว่า ในเมื่อโลกิแฝงตัวอยู่ในหน่วยแปด ก็อาจเคย ‘ปนเปื้อน’ เพื่อนร่วมงานบางคนทางอ้อม หรือเคยถูกเพื่อนร่วมงานค้นพบปัญหาบางอย่าง ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเบาะแส
แต่จากประสบการณ์ที่เคยเผชิญหน้ากับ ‘นักเชิดหุ่น’ โดยตรง เมื่อลูเมี่ยนย้อนนึกถึงสถานการณ์ในบาร์หัวเดียวกระเทียมลีบ นึกถึงการแสดงในโรงละครหุ่นใต้ดิน ก็พบว่าตนไม่สับสนเหมือนเมื่อก่อน เต็มไปด้วยความรู้สึกน่าขนลุก มืดหม่น ระคนความสยดสยอง อีกทั้งยังรับรู้ถึงอันตรายที่แฝงอยู่ในรายละเอียดต่างๆ ได้ชัดเจนกว่าเดิม
เขาค่อนข้างมั่นใจว่า ผู้ชมส่วนใหญ่ในโรงละครหุ่น คงเป็น ‘หุ่นเชิด’ เกือบทั้งหมด ซึ่งก็สอดคล้องกับชื่อของบาร์
หัวเดียวกระเทียมลีบ!
มีมนุษย์แค่คนเดียว ที่เหลือเป็นหุ่นเชิด!
แน่นอน นี่เป็นการอนุมานเกินจริง ในบาร์หัวเดียวกระเทียมลีบยังมีสมาชิกหน่วยแปดอีกสองสามคน คอยทำหน้าที่เป็นบาร์เทนเดอร์หรือเด็กเสิร์ฟ อย่างเช่นโลกิและลีอา
แต่ไม่ว่ายังไง ผู้วิเศษที่สามารถควบคุมโรงละครหุ่นเชิดได้ จะต้องแข็งแกร่งกว่าโลกิหลายเท่า มิใช่เพียงลำดับ 5 แต่อาจเป็นครึ่งเทพแห่งเส้นทางเป็นนักทำนาย
ไม่ว่าลูเมี่ยนจะมั่นใจในตัวเองสักเพียงใด ก็ไม่เคยคิดว่าตนจะหาเบาะแสจากบาร์ที่มีครึ่งเทพคุ้มกะลาหัวได้ กระทั่งจะลองยังไม่กล้า
การสืบสวนเชิงลึกจากเบาะแสนี้ มีเพียงไพ่อาร์คาน่าใหญ่แห่งชุมนุมทาโรต์เท่านั้นที่มีปัญญาทำสำเร็จ!
ลูเมี่ยนไม่ลังเลอีก รีบคลี่กระดาษจดหมาย เริ่มเขียนรายงานแจ้งไปถึงมาดามเมจิกเชี่ยน
เมื่อถูกเรียกออกมา ผู้ส่งสาร ‘ตุ๊กตา’ มองหน้าลูเมี่ยนแล้วพูด
“เจ้าชอบแต่งตัวมากเลยหรือ?”
พูดแบบนี้เพราะเรากำลังสวมใบหน้าใหม่เอี่ยม? ลูเมี่ยนหัวเราะเบาๆ ขณะตอบ
“มันจำเป็นกับชีวิตน่ะ เวลาจะทำเรื่องบางอย่าง เราต้องเลี่ยงไม่ให้คนอื่นจดจำเราได้”
ผู้ส่งสาร ‘ตุ๊กตา’ ผงกศีรษะเชื่องช้า
“ไม่แปลกใจเลย ที่เจ้ามองไม่ออกว่าข้าไม่เหมือนเดิมทุกวัน”
ลูเมี่ยนมองชุดเดรสสีทองอ่อนของผู้ส่งสาร แล้วไม่รู้ว่าควรโกหกหรือพูดความจริงออกไปดี
มันต่างจากครั้งก่อนๆ ตรงไหน?
เห็นลูเมี่ยนไม่ตอบ ผู้ส่งสาร ‘ตุ๊กตา’ คงคิดว่าเด็กหนุ่มยอมรับ จึงคว้ากระดาษจดหมาย พร้อมพูดเสียงแหลมว่า
“ผมของข้านุ่มลื่นขึ้น ผิวของข้ายืดหยุ่นขึ้น ชุดของข้าใหม่ขึ้น…”
เสียงนั้นค่อยๆ จางลง พร้อมกับร่างที่หายลับไปในเปลวเทียน
ลูเมี่ยนถอนหายใจ พึมพำกับตัวเองว่า
“บางที คนเรายิ่งสนิทกัน ก็ยิ่งไม่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ของอีกฝ่าย…”
เหมือนกับตอนที่ฟรังก้าอยู่กับเขา เธอจะรู้สึกผ่อนคลายเป็นพิเศษ จนกระทั่งขี้เกียจใช้สมองคิดในหลายๆ เรื่อง
สำหรับใครที่ต้องใช้งานสมองหนักตลอดเวลา เครียดตลอดเวลาไม่ว่าจะอยู่กับใคร ไม่ช้าก็เร็ว จิตใจต้องมีปัญหาแน่
เมื่อเห็นว่าถึงเวลา ลูเมี่ยนออกจากถนนไนติงเกล แล้วไปเคาะประตูห้อง 601 บ้านเลขที่ 3 บนถนนเสื้อนอกขาว
จินนาเป็นคนมาเปิดประตู เธอชะงักไปครู่หนึ่งแล้วถาม
“คุณเป็นใคร”
ลูเมี่ยนหัวเราะหึๆ
“ป่านนี้แล้ว ยังแยกเสียงฝีเท้าผมไม่ออกอีกหรือ”
“บัดซบ! ไอ้สันดานที่ชอบอ้อนหมัดจากคู่สนทนาเนี่ย สักวันมันจะทำให้การแปลงโฉมของคุณพัง!” จินนาทราบดี ลูเมี่ยนมีสมบัติวิเศษที่ช่วยเปลี่ยนรูปลักษณ์
ลูเมี่ยนเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น พลางมองไปรอบๆ
“ฟรังก้าล่ะ”
“ไปร้านกาแฟเรือนแดง ยังไม่กลับมา” จินนาพอจะรู้อยู่แล้วว่า ฟรังก้าออกไปติดต่อกับคนของนิกายนางมาร รวมถึงได้ฟังเจตนาร้ายที่องค์กรนี้มีต่อนักลอบสังหารหญิงแล้ว
ลูเมี่ยนลูบ ‘กระจกตัวแทน’ ของฟรังก้าที่อยู่ในอก เมื่อเห็นว่ายังปกติดี จึงนั่งลงบนโซฟาเดี่ยว
ซึ่งเป็นที่นั่งประจำของจินนา
จินนามองตาเขียว พลางนั่งลงบนที่วางแขนของเก้าอี้ตัวข้างๆ แล้วถามด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“ทำไมคุณถึงมีศัตรูโผล่ออกมาอีกเพียบเลยล่ะ สรุปว่ามีศัตรูกี่คนกันแน่?”
ลูเมี่ยนเคยพูดถึงหายนะที่หมู่บ้านกอร์ตูให้ฟังแล้ว จึงข้ามเรื่องราวเก่าๆ ไป แล้วเล่าอย่างรวบรัด
“มนตร์เรียกวิญญาณที่ทำให้พี่สาวผมเกิดปัญหาน่ะ ถูกซื้อมาจากกลุ่มที่ชื่อวันเอพริลฟูล…พวกมันจงใจขายให้พี่ผม เป้าหมายในตอนนี้จึงเป็นการ ลากตัวพวกมันออกมาทีละคน ประหารไปทีละคน”
จินนาเม้มริมฝีปาก มิได้ไต่ถามรายละเอียด เพื่อไม่เป็นการกระตุ้นลูเมี่ยน
“มีอะไรที่ฉันช่วยได้ไหม” เธอถามด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
ลูเมี่ยนคิดสักครู่แล้วตอบ
“มากที่สุดที่คุณช่วยผมได้ คือการพยายามเป็นแม่มดให้ได้”
สมาชิกหลักของกลุ่มวันเอพริลฟูล ไม่เพียงเก่งกาจมากพลัง แต่ยังไร้ขีดจำกัดล่าง จินนาจะเข้าร่วมภารกิจไล่ล่าพวกเวรนั่นได้ ก็ต่อเมื่อเป็นแม่มดและทำ ‘กระจกตัวแทน’ ได้ด้วยตัวเอง
จินนาสบถด่าอยู่ในใจสองสามคำ แต่ก็ไม่ฝืนทำเป็นเก่ง เพียงเงียบมองลูเมี่ยนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าว
“ฉันรู้สึกว่า คุณดูเหนื่อยกว่าช่วงก่อน…”
ลูเมี่ยนยิ้มตามทันที
“แต่ก็มีแรงผลักดันมากขึ้นนะ”
“แต่แบบนี้จะเครียดเกินไปไหม ฟรังก้าเคยบอกว่า สายที่ตึงตลอดเวลามักจะขาดง่าย ทางที่ดีที่สุดคือ ต้องตึงหย่อนสลับกัน” จินนาพูดด้วยท่าทีค่อนข้างกังวล
ลูเมี่ยนหัวเราะเยาะจิกกัดตัวเอง
“พูดยังกับพวกมันจะปล่อยผมไป…ยังคิดจะฆ่าด้วยมือตัวเองเสียอีก”
เมื่อเห็นว่าจินนาไม่ค่อยเข้าใจ เด็กหนุ่มเสริมด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ทั้งที่รู้ว่าผมเป็นอาชญากรที่มีหมายจับ แต่พวกมันกลับไม่แจ้งเบาะแสกับทางการ ก็ชัดเจนแล้วว่า ทางนั้นอยากให้ผมอยู่ในเขตตลาดต่อไป รอจนกว่าพวกมันจะวางแผนเสร็จ เตรียมตัวเสร็จ”
……………………………………………………..