ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 399 ต้นแมนเดรก
- Home
- All Mangas
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 399 ต้นแมนเดรก
ตอนที่ 399 ต้นแมนเดรก
ร่างสูงผอมตกใจสุดขีด แต่ก็ตอบสนองได้ทันที
เขาพุ่งเข้าใส่ลูเมี่ยน รวดเร็วจนทิ้งภาพติดตาไว้เบื้องหลัง
มือขวาที่ไม่ได้ถือสมุนไพรประหลาด เหวี่ยงเข้าหาเด็กหนุ่ม เล็บทั้งหมดยืดยาวประมาณหนึ่ง ปกคลุมด้วยสัญลักษณ์และลวดลายลึกลับ ดูทั้งแข็งแกร่งและคมกริบ
ส่วนความมืดรอบตัวลูเมี่ยน ราวกับมีชีวิตขึ้นมากะทันหัน รวมตัวกันเป็นโซ่สีดำขลับ พยายามตรึงเขาไว้ในจุดเดิม
ด้วยดวงตาไร้อารมณ์ ลูเมี่ยนจ้องร่างที่พุ่งเข้ามาประชิด พร้อมกับส่งเสียง ‘ฮึ่ม’ เบาๆ หนึ่งคำ
ทันใดนั้น แสงสีขาวสองลำ พุ่งออกจากจมูกของเด็กหนุ่ม ชนเข้ากับเป้าหมายที่ไม่ทันตั้งตัวหลบ
ร่างสูงผอมล้มลงกับพื้นในทันที หมดสติไป
โซ่เงาที่เกาะกุมกลายเป็นผุยผงไป
“แทนที่จะหนี กลับเลือกโจมตีเข้ามา” ลูเมี่ยนที่สวมใบหน้าใหม่ ส่ายศีรษะด้วยรอยยิ้ม
เด็กหนุ่มใช้ ‘ข้ามโลกวิญญาณ’ เคลื่อนย้ายฉับพลัน เพื่อมิให้เป้าหมายสังเกตเห็นความผิดปกติ ไม่สังเกตเห็นถึงอันตรายล่วงหน้า เมื่อระยะห่างเหลือเพียงสองสามเมตร ไม่ว่าอีกฝ่ายจะหนีหรือโจมตีกลับ ก็ไม่อาจหลบ ‘วิชาฮึ่มฮ่า’ พ้นได้ ผลเลวร้ายที่สุดคือ เสียหายทั้งคู่ ดังนั้น ลูเมี่ยนจึงมีเวลากล่าวคำทักทาย หากอีกฝ่ายให้ความร่วมมือ ยอมคุยกันดีๆ ก็ไม่จำเป็นต้องลงไม้ลงมือ
ก็เหมือนกับประโยคที่พบได้บ่อยในสมาคมวิจัยลิงบาบูนขนหยิก
ใช้ศีลธรรมอันดีทำให้ผู้คนเชื่อฟัง!
ลูเมี่ยนสังเกตอย่างละเอียดสองสามวินาที เพื่อยืนยันว่าร่างสูงผอมสลบไปแล้วจริงๆ
เด็กหนุ่มคุกเข่าลง ตรวจสมุนไพรประหลาดที่มีโคนสีแดงเลือด พบว่านอกจากมีพลังวิญญาณเกินกว่าพืชทั่วไปแล้ว ไม่มีอะไรพิเศษอีก
ลูเมี่ยนครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วยกร่างสูงผอมขึ้น เขย่าแรงๆ หลายครั้ง
เมื่ออีกฝ่ายใกล้ฟื้น เขาจึงปล่อยมือ ถอยหลังไปสองสามก้าว
จากการต่อสู้เมื่อครู่ เด็กหนุ่มยืนยันได้เบื้องต้นว่า อีกฝ่ายเป็นผู้วิเศษลำดับกลางในเส้นทาง ‘นักปรุงยา’ และตามสมุดบันทึกเวทมนตร์ของโอลัวร์ ลำดับ 7 ของเส้นทางนี้เรียกว่า ‘แวมไพร์’ กล่าวคือ มนุษย์ทุกคนที่ดื่มโอสถแวมไพร์เข้าไป ในท้ายที่สุด จะกลายเป็นเผ่าพันธุ์อื่น รูปแบบชีวิตเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
โอลัวร์มีความเข้าใจค่อนข้างดี เกี่ยวกับสถานะคร่าวๆ รวมถึงความสามารถโดยรวมของ ‘แวมไพร์’ นั่นเพราะสมาคมวิจัยฯ มีสมาชิกที่เรียกตัวเองว่า ‘ผีดูดเลือด’ อยู่สองคน หนึ่งในนั้นคือ สมาชิกกลุ่มย่อย ‘วิทยาลัย’ เจ้าของโค้ดเนม ‘ครูใหญ่’
ลูเมี่ยนจึงสามารถตัดสินได้ว่า อีกฝ่ายเป็น ‘แวมไพร์’ จากปฏิกิริยาตอบสนอง ความเร็ว เล็บคมที่ยืดยาว รวมถึงความสามารถคล้ายเวทมนตร์ อย่างโซ่ตรวนดำมืดของเป้าหมาย
เมื่อไม่ใช่ ‘นักจิตบำบัด’ และไม่มีสมบัติทำนองนั้น โดยเนื้อแท้แล้ว ทั้งคู่ย่อมไม่ใช่ศัตรูกัน ถ้ามีโอกาสพูดคุยก็ควรทำ
ทันทีที่ร่างสูงผอมได้สติตื่น ก็รีบกระโดดโหยงทันที กวาดสายตาระแวดระวังไปรอบตัว เห็นชายหนุ่มผมทองในชุดสะอาดสะอ้าน ยืนอยู่ข้างตะแลงแกง ใบหน้าประดับรอยยิ้ม
สัญชาตญาณสั่งเขาเตรียมโจมตีใส่ แต่เมื่อไตร่ตรองดู ก็ฝืนกลั้นไว้ได้
อีกฝ่ายควบคุมเขาได้ง่ายดาย จะฆ่าหรือขายก็ได้ แต่กลับไม่ยอมทำอะไร ตรงกันข้าม ยังปลุกตนขึ้นมาเสียอีก!
นี่แสดงว่า อีกฝ่ายไม่มีเจตนาร้าย อีกทั้งยังบ่งบอกเป็นนัย ว่าทางนั้นมั่นใจในฝีมือตัวเองเพียงใด ไม่กลัวการต่อต้านหรือหลบหนีเลย
ร่างสูงผอมนึกถึงการปรากฏตัวกะทันหัน นึกถึงแสงสีขาวอัศจรรย์ผิดธรรมชาติของอีกฝ่าย รู้สึกว่าต่อให้เป็นบารอน หรือแม้กระทั่งไวเคานต์ในตระกูล ตนก็ไม่น่าจะพ่ายแพ้ในพริบตาเช่นนี้ ไร้ทางสู้ได้เช่นนี้
เมื่อผนวกกับการที่ตนไม่รู้เลยว่า แสงสีขาวสองลำนั่นคืออะไร เป็นความสามารถของเส้นทางใด เขาจึงสงสัยว่า ลำดับของบุคคลตรงหน้า อาจเหนือกว่าที่คาดไว้มาก!
“คุณต้องการอะไร” ร่างสูงผอมถามเสียงเข้ม
ลูเมี่ยนพร้อมใช้ ‘วิชาฮึ่มฮ่า’ ได้ทุกเมื่อ แต่ภายนอกกลับดูสบายๆ
“คุณเป็นแวมไพร์สินะ”
“ผีดูดเลือด” ร่างสูงผอมเน้นย้ำ
ลูเมี่ยนเงยหน้ามองพระจันทร์สีแดงบนฟ้า ยิ้มถามว่า
“ตระกูลไหนล่ะ”
แม้เด็กหนุ่มจะไม่รู้เลยว่า แวมไพร์แบ่งเป็นกี่ตระกูลใหญ่ มีนามสกุลอะไรดัง แต่นี่ไม่ได้ขัดขวางการวางมาดเป็น ‘สัตว์ประหลาดเฒ่า’ ผู้มากประสบการณ์ของเขา
จากสายตา ท่าทาง และน้ำเสียงของร่างสูงผอม เด็กหนุ่มสัมผัสถึงความกลัวจากอีกฝ่าย จึงฉวยโอกาสข่มให้มิด
สำหรับตัวอย่างในการเลียนแบบ เขาไม่เคยขาดแคลน หนึ่งในนั้นคือ สัตว์ประหลาดเฒ่าตัวจริงเสียงจริงอย่างอามุนด์
“ผมมาจากตระกูลบรูห์” ร่างสูงผอมไม่ปิดบังความภูมิใจของตน “ชื่อราโน·บรูห์”
ตระกูลอะไรล่ะนั่น? ไม่ยักเคยได้ยินมาก่อน…ลูเมี่ยนพยักหน้าเบาๆ
“อ้อ…ตระกูลบรูห์นี่เอง”
เด็กหนุ่มเหล่มองสมุนไพรประหลาดในมือราโน
“นั่นอะไรล่ะ”
“ต้นแมนเดรก” ราโนมองว่า ผู้วิเศษยอดฝีมือคงดูแคลนพืชที่เป็นได้เพียงวัตถุดิบแฝงพลังวิญญาณ จึงตอบไปตามจริง
อย่าถามคำตอบคำสิฟะ…หัดใช้สมองบ้าง เล่ามาเลยว่ามันมีผลยังไง ทำไมถึงมาขุด ตอบแบบนี้แล้วฉันจะวางมาดต่อยังไง…ลูเมี่ยนคิดในใจ พลางหมุนสมองไตร่ตรองรวดเร็ว
“ที่คุณเจาะจงมาเก็บมัน เพราะมันมอบผลลัพธ์แปลกๆ ให้คุณสินะ”
ราโนลังเลอยู่สองวินาที สุดท้ายก็ยอมแพ้ต่อความหวาดกลัวในใจ
“ใช่ครับ ยาที่ปรุงจากมัน ช่วยให้ผมผ่านพ้นภาวะพลังวิญญาณไหลบ่าในคืนพระจันทร์เต็มดวงได้”
ภาวะพลังวิญญาณไหลบ่า…ลูเมี่ยนนึกถึงเนื้อหาในสมุดบันทึกเวทมนตร์ของโอลัวร์
‘ครูใหญ่’ ของ ‘วิทยาลัย’ เคยขอความช่วยเหลือในสมาคมวิจัยลิงบาบูนขนหยิก เพื่อหาทางรับมือภาวะพลังวิญญาณไหลบ่าในคืนพระจันทร์เต็มดวง แต่ก็ไม่คืบหน้า
ตามคำบรรยายของผีดูดเลือดผู้นั้น หลายปีก่อน เมื่อบรรพชนของเผ่าพันธุ์โบราณนี้ลืมตาตื่น ได้รับอำนาจคืนจากเทพธิดารัตติกาล ผีดูดเลือดทุกตนก็มีอาการไม่ค่อยดีนักในคืนพระจันทร์เต็มดวง
ไม่เหมือนกับพวกที่กลายพันธุ์ ซึ่งจะคลุ้มคลั่งหรือกลายเป็นบ้า นี่ใกล้เคียงกับการเสริมพลังมากกว่า แต่เมื่อพลังวิญญาณเพิ่มขึ้นกะทันหัน ไหลบ่าราวกับน้ำขึ้น ร่างกายแวมไพร์ก็ต้องแบกรับภาระมหาศาล บางคนเห็นภาพหลอน หรือเผชิญอันตรายโดยไม่จำเป็น เนื่องจากสัมผัสวิญญาณเฉียบแหลมเกินเหตุชั่วขณะ
ลูเมี่ยนมองราโน
“ต้นแมนเดรกช่วยกดภาวะพลังวิญญาณไหลบ่าในคืนพระจันทร์เต็มดวงได้หรือ?”
“ในหมู่ผีดูดเลือดที่ฉันรู้จัก ไม่ยักจะมีข้อมูลนี้กันสักตน”
ทั่วทั้งสมาคมวิจัยลิงบาบูนขนหยิก ก็ไม่มีใครรู้เลยเช่นกัน!
ราโนไม่ปิดบังความภาคภูมิใจ
“ผมน่าจะเป็นคนแรกที่ค้นพบ…ต้นแมนเดรกเป็นพืชที่ขึ้นใต้ซากศพคนถูกแขวนคอ เกิดจากพลังศักดิ์สิทธิ์บางอย่างของผืนธรณี”
พืชวิเศษจากขอบเขตธรณี? ลูเมี่ยนถามด้วยท่าทางครุ่นคิด
“แล้วคุณค้นพบได้อย่างไร”
เห็นผู้วิเศษคนเก่งไม่ทราบที่มา ไม่ทราบประโยชน์ของต้นแมนเดรก ราโนเริ่มคลี่ยิ้ม
“ตอนแรกมีข่าวลือว่า พืชใต้ซากคนถูกแขวนคอ รักษาโรคได้หลายชนิด คุณก็รู้ว่าผีดูดเลือดทุกตนเป็น ‘นักปรุงยา’ แม้ผมไม่เชื่อข่าวลือ แต่ก็มองว่าควรค่าแก่การทดลอง จึงนำต้นแมนเดรกมาปรุงน้ำยา แล้วพบว่ามันสามารถกดความผันผวนของพลังวิญญาณได้ดี”
ข่าวลือ…ข่าวลืออีกแล้ว? ลูเมี่ยนข่มใจไม่ให้ขมวดคิ้ว
“พอจะรู้ไหมว่าข่าวลือมาจากไหน”
“ไม่ทราบ” ราโนส่ายหัว “ในทรีอาร์เต็มไปด้วยข่าวลืออยู่แล้ว เหมือนกับช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา ผมเคยกังวลว่า การเก็บเกี่ยวอย่างบ้าคลั่งของพวกชาวบ้าน จะทำลายการเติบโตของต้นแมนเดรก แต่สุดท้ายก็มีข่าวลือใหม่ออกมา พวกเขาเริ่มหันไปหาขนมปังเลือดมนุษย์แทน”
การตามหาต้นตอข่าวลือในทรีอาร์ เป็นงานหินของแท้เลยสินะ… ลูเมี่ยนทอดถอนใจอย่างจนปัญญา แล้วเปลี่ยนเรื่องถาม
“แล้วทำไมคุณ ถึงต้องย้ายดินที่ชุ่มไปด้วยเลือดนักโทษประหาร มาไว้ทางฝั่งตะแลงแกงด้วยล่ะ”
ราโนอวดผลวิจัยของตน
“ผมค้นพบว่า ต้นแมนเดรกที่งอกใต้ศพคนถูกแขวนคอ จะมีประสิทธิภาพดีที่สุด แต่คนถูกแขวนคอไม่ได้มีบ่อยๆ การรดด้วยเลือดของนักโทษประหารอื่นๆ ก็ช่วยให้ต้นแมนเดรกเติบโตได้เช่นกัน อาจไม่เลิศเลอ แต่ก็เพียงพอ”
ลูเมี่ยนบรรจงพยักหน้า แล้วนึกถึงอีกคำถามหนึ่ง
“แล้วใครตั้งชื่อมันว่าต้นแมนเดรก แต่แรกไม่ใช่แค่ข่าวลือหรือ”
เมื่อพูดถึงเรื่องที่ตน ‘ช่ำชอง’ ราโนก็เล่าไม่หยุดปาก
“พืชชนิดนี้ถูกตั้งชื่อไว้นานมากแล้ว แต่ไม่มีใครพบว่ามันมีสรรพคุณทางยา เป็นได้เพียงวัตถุดิบแฝงพลังวิญญาณ หรือเป็นสื่อกลางของเวทมนตร์บางชนิด…”
พูดถึงตรงนี้ ราโนหยุดชะงักทันใด
“บรรพชนของผม…พวก ‘นักปรุงยา’ ผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้น เหตุใดถึงไม่ลองใช้ต้นแมนเดรกปรุงยาเลยล่ะ? พวกเขามิได้จำกัดตัวเองอยู่กับความรู้ในโอสถเพียงอย่างเดียว แต่จะคอยหาส่วนผสมตามหลักการ พัฒนายาขึ้นมาอีกหลายชนิด…”
“บางที พวกเขาอาจเคยลอง แต่ตอนนั้นไม่มีภาวะพลังวิญญาณไหลบ่า?”
หรือไม่ก็ เนื่องจากการไหลบ่าของพลังวิญญาณในคืนพระจันทร์เต็มดวง ต้นแมนเดรกถึงมีความพิเศษขึ้นมา? ลูเมี่ยนมิใช่ ‘นักปรุงยา’ หรือผู้ช่ำชองศาสตร์เร้นลับ ย่อมสรุปไม่ได้ชัดเจน ทำได้เพียงเดาจากที่ราโนพึมพำ
เด็กหนุ่มเปลี่ยนเรื่องคุย
“ทำไมคุณไม่รายงานประโยชน์ของต้นแมนเดรกให้ผู้อาวุโสทราบล่ะ คุณค่าของมัน สำคัญต่อเผ่าพันธุ์ผีดูดเลือดมากไม่ใช่หรือ”
ราโนพูดพึมพำ
“ยาที่ผมปรุงยังมีปัญหาอยู่ ตอนนี้สงสัยว่า อาจเป็นเพราะยังกำจัดพิษของต้นแมนเดรกไม่หมด ผมอยากยืนยันให้แน่ใจ ก่อนส่งรายงานขึ้นไป มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น ผมถึงจะมีโอกาสได้เป็นบารอนโดยไร้ข้อโต้แย้ง”
“ปัญหาแบบไหน” ลูเมี่ยนถามทั้งจากความสงสัย และเพื่อช่วย ‘ครูใหญ่’ แห่งสมาคมวิจัยลิงบาบูนขนหยิก
ราโนเกาผมดำ ยาวปานกลางของตน พูดอย่างงุนงงเจือกังวล
“ทุกครั้งที่ดื่มยา ซึ่งปรุงจากต้นแมนเดรกสูตรต่างๆ ผมก็เหมือนได้กินเห็ดพิษ เห็นดอกไม้บานเต็มพื้น มีคนตัวเล็กเต้นรำอยู่ในนั้น บนตัวผมก็มีเห็ดขึ้นเต็มไปหมด”
“ภาพหลอนที่เห็นในแต่ละครั้ง อาจแตกต่างกันอยู่บ้าง แต่ก็มักจะมีองค์ประกอบซ้ำๆ”
เป็นไปได้ไหมว่า การที่เอ็งชิงเห็นภาพหลอนไปก่อน ช่วยให้ภาวะพลังวิญญาณไหลบ่า ไม่อาจก่อผลข้างเคียงกับร่างกาย ก็เลยคิดไปเองว่า ต้นแมนเดรกสามารถกดปรากฏการณ์นี้ได้? ลูเมี่ยนรำพันในใจ
เด็กหนุ่มไม่ถามต่อ เพียงใช้ ‘ข้ามโลกวิญญาณ’ อันตรธานหายไปต่อหน้าราโน
ผู้วิเศษลำดับ 5 ‘นักท่องเที่ยว’ หรือมีสมบัติที่คล้ายคลึงกัน? ราโนถอนหายใจยาว พอจะเดาได้เบื้องต้นว่า เหตุใดอีกฝ่ายถึงมาโผล่ด้านหลังตนได้โดยไม่มีลางบอกเหตุ
ยิ่งด้วยแสงสีขาวประหลาด บุคคลเช่นนี้ต้องถือว่าทรงพลังยิ่งในหมู่สิ่งมีชีวิตใต้ครึ่งเทพ!
……………………………………………………..