ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 398 ขนมปังเลือดมนุษย์
- Home
- All Mangas
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 398 ขนมปังเลือดมนุษย์
ตอนที่ 398 ขนมปังเลือดมนุษย์
ผู้คนที่มุงดูในเมืองทรีอาร์ บางคนเกิดความฉงน ถามไถ่คนข้างๆ ถึงสาเหตุ บางคนก็กระตือรือร้นที่จะดูความวุ่นวายต่อ ทำให้ลูเมี่ยนมิอาจแยกแยะได้เลยว่า ใครกำลังชื่นชมผลงานการพิเรนทร์ของตัวเอง ใครเพียงแค่หาความสนุกทั่วไป
นี่คือประเพณีของผู้คนในทรีอาร์ ลูเมี่ยนคิดว่า ต่อให้มาดามซูซี่ ‘นักจิตบำบัด’ ที่ลำดับค่อนข้างสูงมาตรวจสอบ ก็คงไม่ทราบว่า ในฝูงชนที่กำลังส่งเสียงเฮฮา หัวเราะเยาะ หรือคอยโหวกเหวกแนะนำคนอื่น ใครคือแกนนำ ใครคือผู้ถูกชักจูงให้แสดงธาตุแท้เมื่อบรรยากาศเอื้ออำนวย
ลูเมี่ยน แม้จะคาดเดาสถานการณ์นี้ได้ แต่ก็ไม่วายถอนหายใจผิดหวัง
“พวกชาวทรีอาร์นี่นะ…”
ไม่แปลกใจเลยที่กลุ่มวันเอพริลฟูล ชอบมาชุมนุมกันในเมืองนี้ คงรู้สึกเหมือนปลาได้กลับลงน้ำอีกครั้ง
ลูเมี่ยนเลิกสังเกต จิ้มเลือกชายวัยกลางคนมาหนึ่งคน ซึ่งใช้ขนมปังไรย์จุ่มเลือดสดที่เหลือจากนักโทษประหาร เมื่อเห็นอีกฝ่ายวิ่งไปยังทางออกของลานประหารรวมรูฮัว เด็กหนุ่มก็แอบย่องตามไปเงียบงัน
หลังมาถึงตรอกเงียบสงบ ซึ่งไม่มีใครอยู่ มีเพียงเครื่องกีดขวาง ลูเมี่ยนก็เดินอ้อมไปข้างหน้า สกัดชายวัยกลางคนที่สวมเสื้อลินินเก่าๆ
เขายกมือซ้ายที่ยังพันผ้า มองชายคนนั้นด้วยสายตาประหนึ่งคนของแก๊งมองคนธรรมดา แล้วถามว่า
“กำลังถืออะไรอยู่”
ชายวัยกลางคนผมสีดำสั้น ใบหน้าซูบผอม ตอบอย่างหวาดๆ
“ข…ขนมปังที่จุ่มเลือดนักโทษประหารครับ”
“มันเอาไปทำอะไรได้” ลูเมี่ยนวางมาดประหนึ่งคนของแก๊ง ซึ่งบังเอิญผ่านมาแล้วเกิดความสงสัย
ชายวัยกลางคนเผยท่าทีหวาดกลัวชัดเจน
“รัก…รักษาโรคได้ครับ”
“ใครเป็นคนบอกว่ารักษาโรคได้” นี่คือประเด็นที่ลูเมี่ยนอยากถาม
ชายวัยกลางคนตอบด้วยสีหน้าเหม่อลอย
“ผมได้ยินจากกิโยมถนนข้างๆ …เขาบอกว่า มีเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง ลูกของเขาหายป่วยก็เพราะได้กินขนมปังเลือดมนุษย์แบบนี้”
ด้วยสีหน้าครุ่นคิด เด็กหนุ่มมองชายวัยกลางคนที่ถือขนมปังเลือดมนุษย์ แล้วถามว่า
“ที่บ้านมีคนป่วยหรือ”
“ใช่ครับ” ชายวัยกลางคน เปลี่ยนสีหน้าเป็นหดหู่ทันที ระคนไปด้วยความเจ็บปวด
เขามองขนมปังเลือดมนุษย์ในมือแวบหนึ่ง แล้วก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังอีกครั้ง
ลูเมี่ยนเงียบไปสักพัก แล้วถามว่า
“หมอว่ายังไง”
ชายวัยกลางคนก้มหน้าลงเล็กน้อย มองขนมปังเลือดแล้วพูดว่า
“เขาบอกว่ารักษาไม่หายแล้ว ผมก็ไม่มีเงินไปรักษา…”
ลูเมี่ยนไม่ได้ถามซักไซ้ เพียงเบี่ยงตัวนิ่งๆ ปล่อยให้ชายวัยกลางคนถือขนมปังเปื้อนเลือด เดินอ้อมเครื่องกีดขวาง ข้ามตรอกเงียบสงบนี้ไป
เขาเดินกลับไปที่ลานประหารรวมรูฮัวอย่างไม่รีบร้อน พบว่า ‘ตลาด’ ยังไม่วาย ชาวเมืองหลายคนฉวยโอกาสนี้ปิกนิก ร้องเพลง เต้นรำ เป็นการชุมนุมอย่างง่ายๆ
ลูเมี่ยนหลบไปอยู่หลังต้นไม้ที่ขอบลานดินอัด นั่งอยู่ในเงา จ้องมองผู้คนไปมาอย่างเงียบๆ
จากวินาทีกลายเป็นนาที ‘ตลาด’ ในลานประหารเริ่มเงียบลง เมื่อดวงอาทิตย์ลาลับไปกับเส้นขอบฟ้า สภาพแวดล้อมรอบข้างก็ค่อนข้างมืด
ลูเมี่ยนซ่อนตัวอยู่ในเงา มองผู้คน รวมถึงพ่อค้าแม่ค้า ทยอยจากไปทีละคนสองคน ไม่พบเป้าหมายที่น่าสงสัย
เมื่อค่ำคืนอันมืดมิดมาเยือนอย่างแท้จริง ลานประหารรวมรูฮัวก็ว่างเปล่าไม่เหลือใคร มีเพียงแสงจันทร์สีแดงเรื่อส่องประกาย ลูเมี่ยนบรรจงลุกขึ้นยืน เตรียมจากไปเช่นกัน
ทันใดนั้น เขาเห็นร่างดำ ปีนข้ามรั้วด้านข้าง ลอบเข้ามาในลานประหารอย่างคล่องแคล่วว่องไว
ลูเมี่ยนหยุดเคลื่อนไหว เขยิบเข้าไปในเงาของต้นไม้ให้ลึกขึ้น
ร่างดำผอมสูง สวมหมวกทรงสูง เดินตรงไปยังบริเวณที่เพิ่งมีนักโทษโดนยิงตาย คุกเข่าลง ยื่นสองมือขุดดินที่ซึมซับเลือดสดบางส่วนไว้
“นี่ก็เป็นอีกคน ที่เชื่อว่าเลือดนักโทษประหารสามารถใช้รักษาโรค? ท่าทางแบบนี้ ความเร็วแบบนี้ ยังกับผู้วิเศษเลยแฮะ…” ลูเมี่ยนเงียบมองร่างดำที่กำลังขะมักเขม้น
ไม่นาน ร่างดำผอมสูง ใส่หมวกทรงสูง ก็ลุกขึ้นยืน พร้อมกับกอบดินที่ซึมซับเลือดไว้กำหนึ่ง
เขาไม่ได้จากลานประหารรูฮัวไปทันที กลับเดินลึกเข้าไปด้านใน มาถึงที่ตะแลงแกงแห่งหนึ่ง
ร่างดำนั่น ฝังดินเปื้อนเลือดไว้ใต้ตะแลงแกง อาศัยแสงจันทร์สีแดงเรื่อส่องดูต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ตรงนั้น เหมือนกำลังมองหาบางสิ่ง
…………
เมืองชาโย ภายในร้านกาแฟเรือนแดง ซึ่งมีหลังคาทรงกรวยสีสด
ฟรังก้า ผมดำตาน้ำตาล ในชุดล่าสัตว์ สั่งเบิฟบูร์กีญงโรยเกลือหยาบ, มันฝรั่งทอด, ไข่เจียวฟุซัค และซุปเนื้อข้นนกกระทากับแฮมสองสามชิ้นเป็นมื้อเย็น
วันนี้ตอนบ่าย เธอสนทนากับสุภาพสตรีอีกสองสามคนอย่างเพลิดเพลิน รู้สึกถึงความปรารถนา รวมถึงความใคร่ ที่หมุนวนอยู่ในดวงตาพวกเธอ
ขณะเดียวกัน เธอจับได้ว่ามีคนกำลังแอบมอง จึงอยู่ต่อจนถึงตอนเย็น
เมื่อฟรังก้ากินมื้อเย็นเสร็จ ก็มีสตรีคนหนึ่ง เดินลงมาจากชั้นสอง
ไม่ใช่ใครนอกจากนางมาร คนที่สะกดรอยตามฟรังก้าเมื่อครั้งก่อน วันนี้ผมสีส้มแดงของเธอ ถูกปล่อยทิ้งตามแรงโน้มถ่วงดุจดังน้ำตก สวมเสื้อเชิ้ตชายสีขาว กางเกงเอี๊ยมสีออกน้ำตาล รองเท้าบูตสั้นสีน้ำตาลเข้ม อวดส่วนสัดอันสมบูรณ์แบบ ใบหน้าละเอียดอ่อน สะอาดสะอ้าน มีออร่าบริสุทธิ์ แต่แฝงด้วยความห่ามเล็กๆ
โดยไม่มีท่าทีลังเล หญิงสาวที่ต้องสงสัยว่าเป็นคนของนิกายนางมาร เดินตรงมาหาฟรังก้า ดึงเก้าอี้แล้วนั่งฝั่งตรงข้าม
ฟรังก้าแกล้งใช้สายตาแบบชายหนุ่ม มองสำรวจใบหน้า สำรวจเรือนร่างนางมารคนนี้ ยิ้มมองเธอนั่งลง รอให้อีกฝ่ายพูดก่อน
“ลมอะไรพาหอบมาที่นี่ล่ะ” หญิงสาวผมส้มแดงผู้เป็นนางมาร ถามฟรังก้าด้วยสายตาจับผิด
ฟรังก้ายิ้มเล็กๆ แล้วพูด
“ถ้าเป็นไวน์องุ่น ฉันชอบไวน์ชาโยที่สุด ทิวทัศน์กับบรรยากาศที่นี่ก็ดีมาก”
เห็นสีหน้าไม่ค่อยเชื่อของนางมารผมส้มแดง ฟรังก้าก็ยิ้มแล้วเสริม
“แล้วก็ ฉันได้ยินมาว่า…”
เธอลดเสียงลง พูดจากมีเลศนัย
“ที่นี่มีงานเลี้ยงรื่นเริงของสตรี”
ตาของนางมารผมส้มยาวหรี่ลงทันที
“ไปได้ยินมาจากไหน?”
ฟรังก้ามองหน้านางมารฝั่งตรงข้าม แล้วจงใจเล่า
“ก่อนหน้านี้ ฉันเจอโรคจิตคนหนึ่ง มันจะมาลอบทำร้าย แต่ก็ถูกฉันจัดการไป ทางนั้นเล่าว่า ตัวเองเป็นสมาชิกวงนอกขององค์กรชื่อ ‘สมาคมเสียวซ่าน’ โดยแกนหลักขององค์กรนี้คือ ผู้หญิงที่ชอบเพศเดียวกัน พวกมันกำลังหาทางติดต่อกับผู้เข้าร่วมงานเลี้ยงรื่นเริงสตรีที่ร้านกาแฟเรือนแดง ตั้งใจจะชักชวนพวกเธอเข้าร่วมสมาคม”
ฟรังก้าไม่แน่ใจว่า นิกายนางมารมีความร่วมมือกับสมาคมเสียวซ่านหรือไม่ เพราะใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย หากองค์กรที่นับถือเทพมารจะรวมตัวกันในระดับหนึ่ง เหมือนกับที่ฮิวจ์·อาร์ทัวส์ มีผู้ติดตามไม่น้อยเป็นสาวกเทพมาร ดังนั้น เธอจึงแกล้ง ‘สารภาพ’ เพื่อสังเกตท่าทีของคนตรงข้าม
ขณะพูด หญิงสาวก็เตรียมพร้อมรับการโจมตีกะทันหัน
สีหน้าของนางมารผมส้มแดง เปลี่ยนไปเล็กน้อย หนักใจกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
ความเป็นศัตรู ความระแวดระวังในแววตาของเธอ ลดลงไปบางส่วน แต่มีการต่อต้านอย่างไม่ปิดบัง
โฮ่…นังนี่ถือว่าสาวๆ ที่เข้าร่วมงานเลี้ยงรื่นเริงสตรี ล้วนเป็นคนรักของตน ก็เลยไม่อยากให้เราที่อาจเคยเป็นชาย เข้าไปยุ่มย่าม? ฟรังก้าเลียนเสียงลูเมี่ยนโดยไม่รู้ตัว พลางเย้ยหยันในใจ
เธอยืนยันเบื้องต้นว่า อีกฝ่ายไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับสมาคมเสียวซ่านมาก่อน แต่ก็สังเกตเห็นสัญญาณบางอย่าง
นางมารฝั่งตรงข้าม ตกอยู่ในห้วงความทรงจำ คล้ายกำลังมองหา ‘ปัญหา’ ที่อาจเกิดขึ้นได้
ผ่านไปสิบกว่าวินาที เธอตวัดผมส้มแดงยาวที่ปรกหน้าตามความเคยชิน แล้วถามด้วยความระแวดระวัง
“คุณมาสืบเรื่องสมาคมเสียวซ่าน หรืออยากร่วมงานเลี้ยงรื่นเริง”
ฟรังก้าหัวเราะออกมา ดึงดูดความสนใจจากลูกค้ารอบข้างโดยปริยาย แต่ละคนพากันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“ทั้งสองอย่าง” ฟรังก้าจ้องดวงตาสีส้มแดงของนางมาร แล้วพูดต่อไป “ถ้าต้องเลือก ฉันหวังจะเข้าร่วมงานเลี้ยงรื่นเริงมากกว่า อย่างเราๆ จะต้านทานงานเลี้ยงแบบนี้ได้ยังไง…ว่าไหม?”
เธอสื่อไปตรงๆ โดยไม่อ้อมค้อม ว่าตนรู้เรื่องที่อีกฝ่ายก็เป็นนางมาร ซึ่งน่าจะเปลี่ยนมาจาก ‘นักลอบสังหาร’ เพศชาย
ฟรังก้ายังแอบบอกเป็นนัย ว่าตนเคยเป็นชายมาก่อน เพื่อป้องกันมิให้อีกฝ่ายลงมือกะทันหัน
นางมารในชุดสุภาพบุรุษ แสดงท่าทีต่อต้านชัดเจน แต่ก็ถูกรูปลักษณ์ รวมถึงบุคลิกของฟรังก้าดึงดูด จึงเงียบไม่ตอบ
ฟรังก้าเอนตัวไปด้านหน้าไม่มาก ถามด้วยน้ำเสียงออกห้าวๆ
“ต้องเรียกคุณว่าอะไร”
นางมารลังเลครู่หนึ่ง ตอบเสียงหม่นๆ
“บราวส์·เซารอน แล้วคุณล่ะ”
เซารอน…ตระกูลเซารอนอีกแล้ว? ฟรังก้าพลันนึกถึงภารกิจล่าสุดของชุมนุมกางเขนเลือดเหล็ก ซึ่งฝากฝังไว้กับลูเมี่ยน เนื้อหาคือการติดต่อกับคนตระกูลเซารอน
เธอไม่ปิดบังชื่อจริงของตน ยิ้มแล้วตอบไป
“ฟรังก้า·โรลังด์”
บราวส์·เซารอนถอนหายใจเงียบๆ
“งานเลี้ยงของเรา ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัว รวมถึงความปลอดภัยของทุกคนเป็นหลัก เราไม่สามารถปล่อยให้คนที่มีปัญหาเข้าร่วมได้ ถ้าคุณสนใจ ก็ต้องยอมรับการตรวจสอบจากเรา”
ฟรังก้าไม่ใส่ใจเลยสักนิด เอาแต่เล่นกระดุมเสื้อเชิ้ตของตัวเอง พลางยิ้มถามกลับไป
“งั้นจะเริ่มตรวจสอบจากตรงไหนดี”
…………
เขตเรือนจำ ลานประหารรวมรูฮัว
ใต้แสงจันทร์สีแดงเรื่อ ร่างสูงผอมสวมหมวกทรงสูง ขุดพืชป่าจำนวนหนึ่งจากดินใต้ตะแลงแกง
รากของพืชป่าเหล่านั้น ส่องประกายสีแดงปานเลือดสด ดูพิลึกพิลั่น ดูน่าพรั่นพรึงยิ่งนักใต้แสงจันทร์
ส่วนร่างสูงผอมนั่น ดั้งจมูกโด่ง ผิวขาว ผมดำยาวปานกลาง หวีเรียบร้อย นัยน์ตาสีแดงหาได้ยาก รูปโฉมหล่อเหลา แต่แฝงความอ่อนโยน
ร่างสูงผอมในเสื้อเชิ้ตขาว ผูกหูกระต่ายสีแดง คลุมด้วยชุดสูทสีดำ มองต้นหญ้าประหลาดในมืออย่างปีติยินดี เตรียมจะลุกขึ้นยืน เพื่อออกจากลานประหาร
ทันใดนั้น เขาได้ยินเสียงผู้ชาย เจือความสงสัย ดังขึ้นที่ข้างหู
“ขุดอะไรขึ้นมาหรือ”
ร่างสูงผอม ซึ่งคุกเข่าอยู่ใต้ตะแลงแกง รีบเงยหน้าด้วยอารามตกใจ แลเห็นร่างหนึ่ง กำลังก้มมองลงมาจากด้านหน้า โดยที่ตนไม่ตระหนักถึงเลยสักนิด
อีกฝ่ายมีผมสีบลอนด์ ตาสีฟ้าดุจทะเลสาบ สวมเสื้อเชิ้ตขาว กับเสื้อกั๊กสีดำเรียบง่าย ดูอ่อนเยาว์และกระฉับกระเฉง
เขาซ่อนตัวจากประสาทสัมผัสของเรา แล้วเข้ามาใกล้ได้อย่างไร? เราไม่ได้กลิ่นเลยสักนิด ไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวเลยสักนิด! ร่างสูงผอมทั้งตกใจและหวาดผวา
……………………………………………………..