ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 397 ลานประหาร
- Home
- All Mangas
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 397 ลานประหาร
ตอนที่ 397 ลานประหาร
……….
ลูกาโน มองลูเมี่ยนด้วยความประหลาดใจเล็กๆ
“ลูกพี่ก็เคยได้ยินเรื่องการผ่าตัดแบบนี้ด้วยหรือ”
เขาตอบสนองจากจิตใต้สำนึก แล้วยิ้มกว้าง
“ลูกพี่จะน่าทึ่งเกินไปแล้ว…ทั้งความรู้กว้างขวาง สนใจหลากหลาย แม้แต่การผ่าตัดล้ำสมัยก็ยังรู้จัก”
“จากเท่าที่ดู นายรู้เรื่องนี้ดีสินะ” ลูเมี่ยนไม่สนใจคำประจบของลูกาโน
ลูกาโนพยักหน้าไวว่อง
“ผมเคยอ่านในนิตยสารหลายฉบับ แพทย์บางคนเชื่อว่า การผ่าตัดแบบนี้มีผลทำลายสมองของผู้ป่วย จนไม่สามารถรักษากลับมาได้อีก กล่าวคือ แม้ดูเหมือนรักษาโรคบ้าของผู้ป่วยได้ แต่กลับทำให้พวกเขากลายเป็นคนปัญญาอ่อน สงบนิ่งตลอดไป ไม่หลงเหลืออารมณ์ความรู้สึกแล้ว”
“พวกเขาเชื่อว่า หากไม่ใช้การผ่าตัดนี้รักษา อาการทางจิตยังมีโอกาสรักษาให้หายขาดได้ด้วยวิธีอื่น แต่เมื่อกลายเป็นคนปัญญาอ่อนแล้ว ก็ไม่มีทางรักษากลับมาได้อีก”
ลูเมี่ยนพยักหน้าในใจ อย่างน้อยทรีอาร์ยังมีแพทย์จำนวนไม่น้อยที่เก่งวิชาการ กล้าพูดความจริง และมีจรรยาบรรณวิชาชีพที่ดี
หลังจากยืนยันว่า ลูกาโนศึกษาวงการแพทย์มาระดับหนึ่ง เด็กหนุ่มก็ถามอย่างเป็นกันเอง
“พักนี้มีกรณีทางการแพทย์ที่แปลกๆ บ้างไหม”
ลูกาโนนึกทบทวนอย่างละเอียดสักครู่ แล้วค่อยๆ ส่ายหน้า
“ไม่มีอะไรแปลกๆ เลยครับ”
ลูเมี่ยนเตรียมจะเปลี่ยนคำถาม แต่ลูกาโนเสริมขึ้นมา
“ถ้าจะหาอันที่มันแปลก…ก็คงเป็นความเชื่อพื้นบ้าน ซึ่งช่วงนี้กำลังเป็นกระแสในวงแคบ ค่อนข้างแปลกทีเดียวครับ”
“ความเชื่อพื้นบ้านที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์?” ลูเมี่ยนพบนัยที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของลูกาโน
ลูกาโน เจ้าของผมสีน้ำตาล ตาสีน้ำตาล ตอบยิ้มๆ
“เรื่องคือ มีชาวเมืองทรีอาร์กลุ่มหนึ่ง เชื่อว่าเลือดที่ไหลจากนักโทษประหารชีวิตนั้น จะมีพลังชีวิตเข้มแข็งที่สุดในวาระสุดท้าย หากนำขนมปังจุ่มเลือดนั้นแล้วกิน จะสามารถรักษาโรคต่างๆ ได้ ทำให้แพทย์คอลัมนิสต์หลายคนโกรธมาก บอกว่านี่เป็นพฤติกรรมย้อนยุค โหดเหี้ยม และโง่เขลา เทียบกันแล้ว การไปสวดวิงวอนขอพรจากวิหาร ยังอาจได้ผลกว่านิดหน่อยเลย”
“ทำไมฉันถึงไม่เคยได้ยินความเชื่ออะไรแบบนี้มาก่อนเลย” ลูเมี่ยนรู้สึกว่า พฤติกรรมของชาวเมืองทรีอาร์เหล่านั้น แฝงด้วยความหมายที่พูดยาก มิใช่เพียงความโง่เขลาอย่างเดียว
ลูกาโนหัวเราะ
“ลูกพี่ นี่เป็นเรื่องปกติ ผมเองก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน ความเชื่อนี้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสักสองสามเดือนที่แล้วเอง คงมาจากคนต่างถิ่นสักคน ภายหลังเริ่มมีคนเชื่อมากขึ้น”
ลูเมี่ยนกับนักล่าเงินรางวัล ผู้กำลังเก็บเงินซื้อวัตถุดิบหลักของโอสถ ‘แพทย์’ คุยกันต่ออีกสักพัก จนเด็กหนุ่มเห็นภาพคร่าวๆ เกี่ยวกับวงการแพทย์ในทรีอาร์
ใกล้เที่ยงแล้ว หลังจากกินอิ่มแล้ว เขาเดินเข้าไปในถนนเสื้อนอกขาว เข้าไปในตึกเลขที่ 3 ซึ่งเป็นอพาร์ตเมนต์
ระหว่างทาง ลูเมี่ยนไม่ปิดบังความสนใจของตน คอยมองโครงสร้างภายนอกของตึกเลขที่ 6 ถนนเสื้อนอกขาวอย่างจงใจ แต่ไม่พบว่ามีร่องรอยใดหลงเหลืออยู่
เขาเคาะประตูใหญ่ของอพาร์ตเมนต์ 601 โยนต่างหู ‘คำลวง’ ให้ฟรังก้า เจ้าของผมสีเชือกป่านยาวรวบง่ายๆ
เพื่อนร่วมทางของเขา ต้องไปพบกับคนจากนิกายนางมารในตอนบ่ายอีกครั้ง จึงต้องปลอมตัวให้เหมือนคราวก่อน
“ทำไมคุณถึงมาช้า” ฟรังก้ารับต่างหูสีเงินขาวได้อย่างแม่นยำ “คุณไม่ได้รับเอกสารที่มาดามเฮล่าส่งมาหรือ ฉันรอคุณมาคุยเรื่องนี้ตลอด”
ลูเมี่ยนหัวเราะหนึ่งที
“ทำไมคุณถึงร้อนใจยิ่งกว่าผมอีก”
หลังจากปิดประตูห้อง เด็กหนุ่มนั่งลงบนโซฟา เล่าข้อมูลสำคัญที่สรุปจากเอกสาร สรุปจากข้อสงสัยทั้งหมด ฟรังก้าแทรกขึ้นมาเป็นครั้งคราว เสนอความคิดเห็นของเธอ
ในตอนท้าย ลูเมี่ยนทบทวนภาพรวมวงการแพทย์ในทรีอาร์ รวมถึงความเชื่อพื้นบ้านแปลกๆ ที่ลูกาโน·ทอสคาโน นักล่าเงินรางวัล เล่าให้ฟังคร่าวๆ
สีหน้าของฟรังก้า กลายเป็นแปลกประหลาดในทันที
“มีอะไรหรือ” ลูเมี่ยนไม่ตกใจ กลับดีใจ
ฟรังก้า ‘อืม’ ในคอ
“ข่าวลือเรื่องการกินขนมปังจุ่มเลือดนักโทษประหารเพื่อรักษาโรค คล้ายกับความเชื่อโบราณในบ้านเกิดฉันมาก แต่นั่นเป็นเรื่องราวเมื่อหลายปีก่อน หลังจากการศึกษาแพร่หลาย ความเชื่อพื้นบ้านทำนองนี้ก็แทบจะสูญพันธุ์ไปหมด”
“ต้นฉบับของความเชื่อนี้คือ ขนมปังนึ่งที่ชุบเลือดสดๆ ของนักโทษประหาร สามารถรักษาโรคปอดรุนแรงได้ แต่ต้องกินตอนร้อนๆ เท่านั้น”
ลูเมี่ยนได้ฟังก็ยกคิ้วขวาเบาๆ
เขาสะกิดใจกับความเชื่อพื้นบ้านแปลกๆ นี้มาตลอด
ความรู้สึกเหมือนการเล่นพิเรนทร์!
นี่คือสันดานของกลุ่มวันเอพริลฟูล!
“นี่เป็นฝีมือของ ‘ฉันมีเพื่อนอยู่คนนึง’ หรือ” ลูเมี่ยนรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาหน่อย
‘นักจิตบำบัด’ ที่สามารถสะกดจิต ย่อมมีปัญญาทำให้ความเชื่อพื้นบ้านเหลวไหลพรรค์นี้ แพร่กระจายไปโดยจับมือใครดมไม่ได้!
ฟรังก้าพยักหน้าขึงขัง
“‘ฉันมีเพื่อนอยู่คนนึง’ ก็เป็นคนบ้านเดียวกับฉันและพี่สาวของคุณ ไม่อย่างนั้น พี่สาวของคุณคงไม่ไว้ใจให้มันรักษาปัญหาทางจิตหรอก”
“ทั้งโค้ดเนมของมัน รวมถึงภาษาที่ใช้ ล้วนพิสูจน์ข้อเท็จจริงนี้…หากไม่นับมันกับ ‘ดินดำ’ …สมาชิกคนอื่นของวันเอพริลฟูล อาจไม่เคยได้ยินความเชื่อโบราณนี้เลยด้วยซ้ำ”
“โลกิก็ไม่รู้หรือ” ลูเมี่ยนถามย้อนอย่างประหลาดใจ
“ฉันไม่แน่ใจ” ฟรังก้าขมวดคิ้ว “ฉันไม่สนิทกับมัน และทางนั้นก็ไม่เคยเปิดเผยว่า มาจากบ้านเดียวกัน ถ้าไม่ใช่เพราะมันสวดพระนามเต็มสี่ส่วนด้วยภาษาบ้านเกิดของฉันกับพี่สาวคุณ จนถึงตอนนี้ก็คงยังไม่รู้ว่ามันพูดภาษานั้นได้ด้วย…เคยคิดว่าไดอารีจักรพรรดิโรซายล์ที่กลุ่มพวกมันมี เป็นฝีมือการแปลของ ‘ฉันมีเพื่อนอยู่คนนึง’ กับ ‘ดินดำ’ มาตลอด”
ลูเมี่ยนคลี่ยิ้ม
“การเล่นพิเรนทร์ในรูปแบบความเชื่อพื้นบ้านนั่น ถ้าเป็นฝีมือ ‘ฉันมีเพื่อนอยู่คนนึง’ ก็ดีเลย…เดี๋ยวผมจะไปดูที่ลานประหารใกล้เขตเรือนจำ”
เขตเรือนจำ หรือที่รู้จักในนามเขตหมวกแดง มีรหัสเขตคือ 4 เป็นหนึ่งในย่านเก่าแก่ที่สุดของเมือง มีเรือนจำที่โด่งดังที่สุดในกรุงทรีอาร์ — เรือนจำนักบุญมาร์ ซึ่งเป็นที่มาของชื่อเขต
ใกล้กับเรือนจำนักบุญมาร์ คือลานประหารที่วุ่นวายที่สุดในทรีอาร์ — ลานประหารรวมรูฮัว
“ระวังหน่อยนะ ‘นักจิตบำบัด’ รอบคอบยิ่งกว่า ‘นักเชิดหุ่น’ เสียอีก” ฟรังก้าเตือน
ถึงแม้ ‘ฉันมีเพื่อนอยู่คนนึง’ จะไม่ใช่ผู้วิเศษจากสายของ ‘นักทำนาย’ ‘นักโจรกรรม’ หรือ ‘ผู้ฝึกหัด’ ที่ต่อให้นับถือราชันสวรรค์ฟ้าดินประทานโชค ก็ตรวจไม่พบผนึกบนตัวลูเมี่ยน แต่เด็กหนุ่มก็มองว่าไม่ควรประมาท จึงสวมต่างหู ‘คำลวง’ กลับ เปลี่ยนหน้าตาเล็กน้อย ด้วยเกรงว่าโลกิที่คืนชีพกลับมา อาจแจ้งข่าวเรื่องหน้าจริงของตนกับฟรังก้าให้ ‘ฉันมีเพื่อนอยู่คนนึง’ รู้แล้ว
หลังจากได้ต่างหู ‘คำลวง’ กลับ ฟรังก้าถามด้วยความสงสัย
“เรื่องกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวในวันนั้น สรุปแล้วมันคืออะไร”
ลูเมี่ยนหัวเราะ
“มันเริ่มจากตอนที่ผมกับมาดามเฮล่าลงไปตักน้ำในบ่อสตรีซามาเรีย”
“…” ฟรังก้าตกใจไปครู่หนึ่ง แล้วก็เริ่มสบถ “บัดซบ! ไอ้เรื่องบ่อน้ำนี่ คุณจะเก็บไว้เล่าอีกกี่ครั้ง!”
“ก็แล้วแต่ว่า มีจังหวะเล่าได้เมื่อไร” ลูเมี่ยนบรรยายรวบรัด ถึงสภาพของตน ซึ่งถูกออร่าของจักรพรรดิโลหิต กัดกินเข้าไปในเนื้อในตัว
ฟรังก้าลืมความโกรธไปแล้ว เอาแต่เพ่งมองมือขวาที่ลูเมี่ยนยกขึ้น ในที่สุดก็พบรอยช้ำเล็กๆ ที่แทบมองไม่เห็น มีอยู่สองสามจุด
“เจ๋งชะมัด…มีกลิ่นอายของเทพแท้จริงติดตัว แม้จะเป็นแค่เปลือก แต่มันก็เป็นของเทพแท้จริงเชียวนะ! แถมยังเป็นเทพในเส้นทางเดียวกันอีก” ฟรังก้าอิจฉาจนอยากจะหามาให้ตัวเองบ้าง
ทันใดนั้น เธอหันจ้องมือซ้ายของลูเมี่ยน ซึ่งยังพันผ้าอยู่
“แล้วข้างนี้มีอะไร”
“ไม่มีอะไร แค่พันไว้ดึงความสนใจเฉยๆ” ลูเมี่ยนตอบยิ้มๆ
ฟรังก้าผงะไปสองวินาที
“คุณนี่เจ้าเล่ห์ฉิบ…ถ้าได้เป็น ‘นักวางแผน’ เมื่อไร คงจะย่อยโอสถเสร็จในพริบตาแน่!”
“ขอให้สมพรปาก” ลูเมี่ยนไม่ได้ถ่อมตน
…………
ตอนบ่าย ลูเมี่ยนนั่งรถม้าสาธารณะมายังฝั่งเหนือของแม่น้ำเซอเรนโซ่ ไปถึงลานประหารรวมรูฮัวในเขตเรือนจำ
งานอดิเรกอย่างหนึ่งของชาวทรีอาร์คือ การดูนักโทษถูกประหาร แม้วันนี้จะไม่ใช่วันหยุดสุดสัปดาห์ แต่ก็ยังมีผู้คนมารวมตัวกันไม่น้อย พ่อค้าแม่ขายนับไม่ถ้วนจับกลุ่มตั้งแผง บ้างก็เดินขายของกินดื่มไปทั่ว
ในบรรดานั้น มีทั้งหญิงขายบริการแต่งตัวสีสันฉูดฉาดมาหาลูกค้า รวมถึงกลุ่มนักเขียนที่แวะเวียนมาเดินเล่น
หากมิใช่เพราะตรงหัวมุมถนนมีป้ายเขียนว่า ‘ลานประหารรวมรูฮัว’ และไกลออกไปมีแท่นตะแลงแกงกับกิโยตีนตั้งตระหง่านอยู่ ลูเมี่ยนคงคิดว่าตนมาผิดที่ หลงเข้ามาในตลาดนัดข้างๆ ที่คึกคักและเอะอะมะเทิ่ง
เหยียบบนพื้นดินอัดแน่น ลูเมี่ยนซ่อนตัวอยู่ในฝูงชน เดินวนรอบลานประหารเหมือนกำลังเดินเที่ยวตลาด
เขาไม่เห็นใครน่าสงสัย แต่กลับเห็นชายหญิงสิบยี่สิบกว่าคน ในมือถือขนมปัง เบียดแทรกไปด้านหน้าสุด เสื้อผ้าทุกคนค่อนข้างเก่า บางส่วนดูซอมซ่อ
ผ่านไปพักใหญ่ ฝูงชนก็เริ่มเคลื่อนไหวกันกะทันหัน แน่นขนัดไปตามสองข้างทางที่เชื่อมต่อกับลานประหาร ต้อนรับขบวนที่มาจากเรือนจำนักบุญมาร์
ลูเมี่ยนไม่ได้เข้าไปร่วมความคึกคักนั้น เพียงยืนฟังเสียงคนโห่ร้อง เป่าปาก รวมถึงเสียงผู้หญิงตะโกนว่า ‘ฉันยินดีแต่งงานกับคุณ’
คำพูดหลังมิใช่การขอแต่งงาน แต่เป็นการล้อเลียนประเพณีโบราณ ในยุคคลาสสิกก่อนสมัยจักรพรรดิโรซายล์ เมื่อนักโทษประหารเดินจากคุกมายังลานประหาร หากมีใครในฝูงชนขอแต่งงานกับนักโทษ และนักโทษตอบตกลง โทษของเขาจะถูกลดหลั่นลง จนถึงกับมีชีวิตรอด แต่ก็ใช่ว่านักโทษทุกคนจะยอมรับ บางคนให้ความสำคัญกับหน้าตา บางคนมีศักดิ์ศรี ต่างเลือกที่จะตายเพื่อยืนหยัดในอุดมการณ์
สองคดีที่โด่งดังเป็นพิเศษคือ นักโทษประหารหล่อเหลาคนหนึ่ง ปฏิเสธคำขอแต่งงานจากหญิงผู้ชม โดยมองว่าหน้าตาของเธอเปรียบดังฝันร้าย ขณะที่สาวสวยคนหนึ่ง ปฏิเสธความรักจากเพชฌฆาตด้วยเหตุผลว่า มันคือการดูถูกความรัก ดูถูกการแต่งงาน จึงเลือกที่จะจบชีวิตลง
ลูเมี่ยนแทรกเข้าไปแถวหน้าของผู้ชม เห็นนักโทษประหารสองคนยืนอยู่ในลานยิงปืน ซึ่งปูด้วยดินอัดแน่น
พวกเขาค่อนข้างหนุ่ม อายุไม่เกินสามสิบ ใส่ชุดนักโทษแบบเดียวกัน – เสื้อตัวสั้นสีแดง กางเกงขายาวสีเหลือง หมวกสีเขียว เท้าลากลูกตุ้มเหล็ก มือถูกล่ามโซ่ไพล่หลัง
ชายทั้งสองคน หนึ่งผมดำตาน้ำเงิน อีกคนผมน้ำตาลตาสีน้ำตาล หน้าตาถือว่าดีทั้งคู่ แต่เมื่อมองกันเอง สายตากลับเปี่ยมไปด้วยความเกลียดชัง
“อิสรภาพจงเจริญ!”
“ทวงคืนเกียรติยศ!”
หลังจากตะโกนจบ ทั้งสองก็จ้องหน้ากันอย่างโกรธแค้น ก่อนจะล้มลงท่ามกลางเสียงปืนดังสนั่น เลือดไหลนองพื้น
บรรดาคนที่ถือขนมปังต่างตื่นเต้น แต่ก็ถูกทหารด้านหน้าขวางไว้ มิให้วิ่งฝ่าเข้าไปในจุดยิงปืน
หลังจากยืนยันสภาพของสองนักโทษประหาร ทหารก็เดินแถวจากไป พลเมืองที่ถือขนมปัง ต่างพากันวิ่งคลั่งเข้าไปยังพื้นดินอัดแน่น ซึ่งชุ่มโชกไปด้วยเลือด
ลูเมี่ยนมิได้มองพวกเขา แต่สังเกตโดยรอบ ดูว่าใครกำลังเพลิดเพลินไปกับละครสุดเพี้ยนนี้
……………………………………………………..