ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 388 คืนอันวุ่นวาย
- Home
- All Mangas
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 388 คืนอันวุ่นวาย
ตอนที่ 388 คืนอันวุ่นวาย
เมื่อกลิ่นอายอำมหิตคลุ้มคลั่งพุ่งทะลุม่านหมอกจาง อาคารเลขที่ 6 ถนนเสื้อนอกขาว พลันสั่นไหวไปทั้งหลัง ราวกับถูกทำให้ขวัญกระเจิง
ภายในตึก ผู้คนที่หลับไปแล้วในห้องต่างๆ เริ่มสั่นกายอย่างไร้สติ ดำดิ่งสู่ฝันร้ายสีเลือด ส่วนผู้ที่ยังไม่หลับ รีบเหลียวซ้ายแลขวาอย่างฉงนสนเท่ห์ ประหนึ่งหวนคืนสู่ช่วงหลายปีก่อน เมื่อเครื่องกีดขวางเต็มถนน เสียงปืนดังระงม
ในห้องอันเงียบสงบ อยู่เยื้องใต้ห้องของฟรังก้า บนเตียงนอน ชายคนหนึ่งซึ่งดูเหมือนกำลังหลับ ลืมตาพรวด ลุกขึ้นนั่ง เงยหน้ามองต้นตอกลิ่นอายอันน่าพรั่นพรึงด้วยสายตาประหวั่น
ขณะเดียวกัน ใต้ดินวิหารนักบุญโรแบร์ ในสำนักงาน ‘ศาล’ ประจำมุขมณฑลเขตตลาด
อ็องกูแลม·เดอ·ฟรองซัว ผู้อยู่เวรกลางคืน กระโจนลุกขึ้น ตรงดิ่งไปยังห้องเก็บของวิเศษ หวังเพิ่มพลังรับมือหายนะไม่คาดฝันในเวลาอันสั้น
ในห้องอื่น อิมเรกับวาเลนไทน์ ต่างรับรู้ถึงกลิ่นอายอำมหิตที่เหมือนจะสั่นสะเทือนทั่วทรีอาร์ คนหนึ่งตัวสั่น คนหนึ่งซีดเผือด
นี่ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวยิ่งกว่าหายนะ ‘พฤกษาเงา’
แต่ไม่มีใครยืนนิ่ง คนหนึ่งวิ่งออกจากห้องไปเจออ็องกูแลม คนหนึ่งรีบกางแขน สวดมนต์สรรเสริญพระอาทิตย์ แล้ววิ่งขึ้นไปยังวิหารนักบุญโรแบร์ชั้นบน
เขตหอรำลึก บ้านเลขที่ 11 ถนนน้ำพุ
การ์ดเนอร์·มาร์ติน ผู้กำลังลูบไล้ชุดเกราะเต็มยศอยู่ ขมวดคิ้วเล็กน้อย เหลียวมองไปทางตะวันออกเฉียงใต้อย่างฉงน
เขารู้สึกว่ามีบางสิ่งที่นั่นกำลังเรียกหา ทำให้เลือดในกายยิ่งเดือดพล่าน
ใต้ดินทรีอาร์ โอลเซ่น ชายหิวโซดุจหมี ผู้ถือกระเป๋าหนังใบเล็กสีน้ำตาล กะทันหันเอียงหูฟังเสียงเคลื่อนไหวไม่ไกล
มีเสียงฆ่าฟัน เสียงตะโกน ดังแว่วมาจากที่นั่น
‘จเร’ แห่งชุมนุมกางเขนเลือดเหล็กผู้นี้ ดวงตาพลันเปี่ยมไปด้วยความดุร้ายบ้าคลั่ง ยื่นมือขวามากดลำคอตัวเอง
เส้นที่มองแทบไม่เห็นปรากฏรอบคอ โลหิตสีเพลิงค่อยๆ ไหลซึมออกมา
บนเกาะกลางแม่น้ำเซอเรนโซ่ มหาวิหารนักบุญวีฟแห่งศาสนจักรสุริยันเจิดจรัส แต่เดิมมืดสนิท มีเพียงหอระฆังด้านข้างที่ยังคงสว่าง ทว่าในยามนี้ มหาวิหารที่หลับใหลแห่งนี้ กลับส่องแสงสุริยันอันงดงามวาบหนึ่ง
แสงทองเรืองรองสว่างจากล่างขึ้นบน เติมเต็มโดมหัวหอมหลายหัว มอบความสว่างแด่กระจกสีทุกบาน
ทางเหนือของทรีอาร์ ใจกลางเขตมหาวิหาร มหาวิหารแห่งศาสนจักรเทพจักรกลไอน้ำ ตั้งตระหง่านด้วยปล่องควันสีดำขนาดใหญ่
เสียงครืนครั่นดังสนั่นหวั่นไหว เครื่องจักรไอน้ำมหึมาในมหาวิหารเริ่มทำงาน มวลไอขาวนับไม่ถ้วนถูกปล่อยผ่านปล่องควันอันชุกชุมดุจพงไพร ลอยขึ้นคลุมผืนฟ้ายามราตรี
เขตเอราโต ในเมืองเล็กๆ ใกล้อารามพระหฤทัย
สุนัขพันธุ์โกลเดนตัวใหญ่ กับสตรีสูงศักดิ์ข้างกาย ต่างหันข้างมองสู่ตำแหน่งไกลโพ้นของมหานครทรีอาร์
ในปราสาทหงส์แดง
เคานต์ปุยฟ์ ผู้เข้านอนแล้ว ลืมตาผวา
เขารู้สึกถึงบรรยากาศอึดอัดทั่วทั้งปราสาท จากใต้ดินลึก มีเสียงคำรามสลับกรีดร้องราวฝันร้ายดังขึ้นอีกครา
เวลานี้ ผู้วิเศษในเขตตลาด และเหล่าผู้ทรงอำนาจในทรีอาร์ ต่างถูกกลิ่นอายคลุ้มคลั่งโจ่งแจ้ง ดึงดูดความสนใจ
โลกิ ซ่อนตัวในห้องเยื้องใต้อพาร์ตเมนต์ของฟรังก้า เพิ่งจะตอบสนองต่อกลิ่นอายอำมหิตอันน่าหวาดหวั่น ยังไม่ทันได้เรียกวิญญาณอาฆาตที่สิงร่างลูเมี่ยนกลับมา ให้ช่วยพาตนหนีผ่านทางโลกวิญญาณ ก็เห็นความมืดรอบตัวข้นขลับขึ้นฉับพลัน กลืนกินแสงจันทร์สีแดงฝาด นำความสงบสุขสุดขีดมาสู่มิติแห่งนี้
เขาหลับตาลงโดยไร้สติและห้ามไม่อยู่ ร่างทรุดลงบนเตียง หลับใหลอย่างแท้จริง
ลูเมี่ยนได้สติกลับมาทันที จึงระบายโทสะอันพลุ่งพล่านที่สะสมไว้ ใส่ในเปลวไฟแดงฉานโชติช่วง
“ตายซะ!”
เด็กหนุ่มคำรามต่ำ ตาแดงก่ำ ย่างเท้าซ้ายไปข้างหน้า บิดเอวไปด้านหลัง ตะบันหมัดขวาออกไปเต็มแรง
ท่ามกลางเสียงระเบิดทึบหนักอึ้ง เปลวไฟทั่วกายลูเมี่ยนมารวมกันบนผิวหมัด กลายเป็นสีขาวโชติช่วงโดยปริยาย
ลูกไฟสีขาวลุกโชนหลุดจากหมัดขวา พุ่งตามวิถีที่วาดไว้ในหัว กระแทกใส่กำแพงอพาร์ตเมนต์ฝั่งหนึ่ง
เขาได้ยินเสียงจากหลังกำแพงนั่น!
บึ้ม!
กำแพงถล่มเป็นรูใหญ่ เผยให้เห็นชายคนหนึ่งยืนอยู่บนทางเดิน
ผมสีน้ำตาล ตาสีเข้ม ใบหน้าซูบผอม ไม่ใช่ใครนอกจากหุ่นเชิดที่โลกิใช้เมื่อตอนเย็น
เสียงพูดเมื่อสักครู่มาจากเขา!
ลูเมี่ยนยังไม่ทันตระหนักว่าสิ่งที่พบมิใช่โลกิตัวจริง ความมืดก็ถาโถมเข้ามาดุจดังคลื่นยักษ์ ท่วมท้นร่างกาย
เนื่องจากได้ระบายความโกรธเมื่อครู่ไปพร้อมกับเปลวไฟแล้ว อารมณ์จึงสงบลงง่ายดาย ตาปิดลงอย่างควบคุมไม่ได้ ร่างกายบรรจงทรุดตัว
ใบหน้าบิดเบี้ยวของเด็กหนุ่มเริ่มคลายออก ทั้งร่างกายและวิญญาณได้รับการปลอบโยน
เขาไม่หลงเหลือลางบอกเหตุการคลุ้มคลั่งอีกต่อไป
เฮล่าในชุดกระโปรงสีดำแบบแม่หม้าย สวมหมวกอ่อนติดผ้าคลุมหน้า ปรากฏกายจากความมืด
เธอมาถึงเป็นคนแรกอย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยอยู่ใกล้อพาร์ตเมนต์หลังนี้กว่าใคร ซ้ำยังคอยมองหาร่องรอยการต่อสู้ของโลกิและพวกลูเมี่ยน
ไม่รอช้า เธอทำให้ลูเมี่ยน ฟรังก้า โลกิ และสองหุ่นเชิด หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
ร่างของเธอจากไปพร้อมกัน ความมืดแน่นหนาถอยกรูดในพริบตา
ไม่มีร่องรอยหลงเหลือ นอกจากกำแพงที่ถล่มลงมา
เพียงสองวินาทีต่อมา ห้องชุดก็สว่างไสวด้วยแสงอาทิตย์
……….
ใต้ดินทรีอาร์ ในอุโมงค์เหมืองร้างแห่งหนึ่ง
ร่างของลูเมี่ยน ฟรังก้า และคนที่เหลือ ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว
ทุกคนยังคงหลับใหล มีเพียงเฮล่าที่ยังตื่น ยืนตระหง่านอยู่ด้านข้าง ใบหน้าซีดเซียวเล็กน้อย
เส้นผมของรองประธานสมาคมวิจัยฯ ผู้นี้ ไม่แห้งเสีย ไม่แตกปลายเหมือนก่อนหน้า กลับนุ่มลื่นมันวาวราวราตรีกาล
เธอล้วงหยิบขวดโลหะทรงแบนที่ใส่เหล้ากลั่นไว้เต็ม ดื่มเข้าไปหนึ่งในสาม แล้วจึงหันไปมองลูเมี่ยน
หน้าผากของเฮล่าแตกออกโดยไร้เสียง แผ่แสงสลัวออกมา ก่อเกิดเป็นประตูทองสัมฤทธิ์เก่าแก่ลึกลับ ซึ่งยากจะพรรณนารายละเอียด
ประตูส่ายไกว ก่อนจะเปิดออกพร้อมเสียงออดแอด ด้านหลังประตูคือความมืดอันไร้สิ้นสุด ภายในความมืดนั่น ประหนึ่งมีดวงเนตรนับไม่ถ้วนกระจายอยู่ทั่ว ทั้งลึกลับและยากจะอธิบาย
วิญญาณอาฆาตที่สิงอยู่ในร่างลูเมี่ยน ไม่อาจขัดขืนอำนาจของประตูเก่าแก่ลึกลับ ซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายนี้ รีบบินหนีออกมา
วินาทีต่อมา เขาร่วงหล่นลงสู่พื้น เนื่องจากเฮล่ายกมือขวาขึ้น กดลงบนหน้าผากตัวเอง ประตูทองสัมฤทธิ์โบราณก็พลันหายวับไป แสงสลัวถูกดูดกลับสู่รอยแยก
เฮล่ามองไปยังโลกิที่ยังหลับใหล
ผู้นำกลุ่มวันเอพริลฟูลคนนี้ มีใบหน้าแสนจะธรรมดา คล้ายกับชาวถนนเสื้อนอกขาวจนแทบแยกไม่ออก
หลังจากจ้องอยู่สองวินาที ดวงตาของเฮล่าก็เริ่มพร่ามัว
ในความฝันของโลกิ
เฮล่าในชุดแม่หม้ายสีดำ ปรากฏกายหน้าปราสาทเก่าแก่ที่ปกคลุมด้วยหมอกบางจาง
ประตูปราสาทเปิดกว้าง เงียบสงัดราวปากหลุมศพ
เฮล่าเงยหน้ามองปราสาทบางๆ สีดำสนิท ซึ่งมียอดแหลมอยู่มากมาย แล้วเดินผ่านประตู ข้ามลานกลางที่ค่อนข้างพร่ามัว เข้าสู่ห้องโถงที่ประดับโคมระย้ารูปทรงแปลกตา หลากหลาย และไม่อาจระบุที่มาของแสง
ในห้องโถงมีแขกเหรื่อยืนเรียงราย ทุกคนสีหน้าเรียบเฉย ร่างกายแน่นิ่งราวกับหุ่นขี้ผึ้ง
ในวงล้อมของหุ่นขี้ผึ้งหลายสิบหลายร้อยตัว คือแท่นสีเทาสามชั้น กลางแท่นตั้งเก้าอี้โบราณสีแดงอมดำ
บนเก้าอี้มีชายวัยยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดนั่งอยู่
เขาสวมหมวกผ้าไหมทรงสูง สูทหางนกสีดำ นัยน์ตาสีเทาเข้ม ผมสีน้ำตาลสั้น จมูกโด่งเล็กน้อย มุมปากเชิดขึ้นนิด แฝงรอยยิ้มเล็กๆ
เขาเท้าแขนกับที่วางแขนทั้งสองข้าง พิงพนักเก้าอี้อย่างผ่อนคลาย
“เธอเป็นใคร” เสียงของเขาก้องกังวานไปทั่วปราสาท ประหนึ่งกำลังสอบปากคำเฮล่า
เฮล่าฝ่าฝูงชนที่เหมือนหุ่นขี้ผึ้ง เดินเหยียบขั้นไปยืนตรงหน้าชายผู้นั้น
แล้วเปล่งเสียงเย็นชาไร้ความรู้สึก
“โลกิ คุณจำฉันไม่ได้หรือ”
โลกิยิ้มกว้างกว่าเก่า
“เฮล่า ในที่สุดเธอก็มา…”
เฮล่าอาศัยที่อีกฝ่ายกำลังฝัน ถามไม่อ้อมค้อม
“ทำไมคุณถึงวางแผนทำร้ายสมาชิกของสมาคม”
โลกิเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย หัวเราะฮ่าๆ
“เจ้าพวกโง่นั่น เป็นได้แค่ความบันเทิงของเราเท่านั้น”
“เธอคงรู้ดี วันสิ้นโลกจะมาเยือนในอีกไม่กี่ปีแล้ว อย่างไรทุกคนก็ต้องตาย สู้เสียสละตัวเองเพื่อสร้างความสนุกให้เราไม่ดีกว่าหรือ”
เฮล่าเงียบไปครู่หนึ่ง อากาศรอบตัวยิ่งเย็นเฉียบ มือซีดๆ เน่าๆ เริ่มโผล่ออกจากพื้นและผนังหิน
สองสามวินาทีต่อมา เธอเอ่ยอีกครั้ง
“ทำไมคุณถึงวางแผนฆ่ามักเกิ้ล”
โลกิหยุดหัวเราะ มองเฮล่าพลางยิ้มมุมปาก
“เพราะว่า…”
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที เฮล่าตระหนักได้ว่า อันตรายบางอย่างกำลังคืบคลานเข้ามา
“เพราะว่า… ราชันสวรรค์ฟ้าดินประทานโชค…”
เสียงของโลกิขาดห้วงกะทันหัน ความฝันทั้งหมดเริ่มพังทลายตามความต้องการของเฮล่า
ปราสาทโบราณแหลกเป็นผุยผง หายลับไปในความมืดอันบริสุทธิ์ ความมืดอันใกล้เคียงลวงตา
บนโลกความจริง ใต้ดินทรีอาร์ ในอุโมงค์เหมืองร้าง
เฮล่าลืมตาขึ้น ใต้ผิวซีดมีสิ่งมีชีวิตเล็กๆ นับไม่ถ้วนกำลังเคลื่อนไหว
ร่างของเธอหายลับไป แล้วโผล่ออกมาใหม่ ไม่มีความผิดปกติเหมือนเมื่อครู่อีกแล้ว
ส่วนร่างของโลกิ พังทลายกลายเป็นกองเลือดเนื้อ โดยมีหนอนแมลงดีดดิ้นชอนไช
เฮล่ามองดูเงียบงัน ไม่พบร่องรอยตะกอนพลัง
…………
ภายในปราสาทสีดำที่ถูกหมอกจางห่อหุ้มหลายชั้น ภายในห้องอึมครึมแห่งหนึ่ง ซึ่งมีโลงศพสีแดงเข้มวางอยู่
มือซีดๆ ข้างหนึ่ง โผล่พรวดออกจากโลงศพ เกาะขอบไม้ไว้
……………………………………………………..