ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 386 รอบคอบ
- Home
- All Mangas
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 386 รอบคอบ
ตอนที่ 386 รอบคอบ
ตรอกหลังยามค่ำคืน เงียบสงบ ไร้ผู้คน
ลูเมี่ยนหลบกองขยะที่มีหนูและแมลงสาบ เดินเร็วช้าสลับ เปลี่ยนทิศทาง วนเป็นวง ประหนึ่งพยายามสลัดการติดตามของคนที่มองไม่เห็น
ในที่สุดก็มาถึงถนนเสื้อนอกขาว เข้าไปในบ้านลับที่ยังไม่หมดสัญญาเช่า
จากนั้นทำตามขั้นตอน ปิดม่านหนา ตรวจดูทุกซอกมุมในห้อง
เทียบกับแต่ก่อน เด็กหนุ่มไม่เพียงเผาตัวเรือด ไล่หนู แต่กระทั่งแมลงบินขนาดเท่าเม็ดข้าวก็ไม่ละเว้น ทำให้ที่นี่ ‘สะอาดหมดจด’ อย่างแท้จริง
จัดการเสร็จ ลูเมี่ยนนั่งลงข้างโต๊ะ วางกระดาษ เริ่มเขียนจดหมาย
“ถึงมาดามเฮล่าที่เคารพ”
“ตอนที่เสวนากับกลุ่มวันเอพริลฟูลในนาม ‘มักเกิ้ล’ ผมพบว่าฮิโซกะ นังบ้า กวีเร่ร่อน และอุลตร้าแมน มีท่าทีประหลาดต่อการปรากฏตัวของมักเกิ้ลหลังจากห่างหายไปนาน และ ‘ฉันมีเพื่อนอยู่คนนึง’ อาจเป็นนักจิตบำบัดที่มักเกิ้ลไปพบในช่วงเวลาสุดท้าย”
“ในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็ร่วมมือกับโลกิ เล่นละครโน้มน้าวสมาชิกคนอื่นในกลุ่ม ให้ลงไปค้นหามรดกของเทพสุริยันบรรพกาลใต้ดิน”
“ผมเชื่อว่าโลกิคือหัวหน้าตัวจริงของ ‘วันเอพริลฟูล’ หากคนอื่นมีปัญหา เขาก็คงไม่ปกติเช่นกัน จึงลองซื้อสำเนาข้อมูลของเทพสุริยันบรรพกาลมาชุดหนึ่ง ให้คนช่วยทำนายจนพบว่า มันถูกพิมพ์จากเครื่องพิมพ์ดีดกลในบาร์หัวเดียวกระเทียมลีบ บนถนนเพรง ในเขตหอดูดาว กรุงทรีอาร์”
“หลังจากสำรวจพื้นที่จริง ผมพบว่าบาร์นั่นคือฐานลับของหน่วยแปด แต่ดูเหมือนโลกิจะแอบจับตามองอยู่ พอใกล้ค่ำ ผมถูกลอบจู่โจม เกือบกลายเป็นหุ่นเชิดของเขา ต้องพึ่งพาฝีมือตัวเอง รวมถึงสิ่งของที่พกติดตัว หนีรอดมาได้หวุดหวิด แต่นั่นทำให้ตัวจริงของผมถูกเปิดเผยต่อเขาแล้ว”
“ตอนเขียนจดหมายฉบับนี้ ผมหลบอยู่ในบ้านลับที่เตรียมไว้ล่วงหน้า แต่ไม่แน่ใจว่าจะหลุดพ้นจากการไล่ล่าของโลกิได้”
“ผมเริ่มมั่นใจหลายส่วนแล้วว่า เขาต้องมีปัญหาแน่ หากไม่สืบเรื่องนี้ให้ชัดเจน วันหน้าเขาอาจนำหายนะครั้งใหญ่มาสู่สมาคม”
“ผมหวังว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากคุณ”
ลูเมี่ยนไม่อายเลย แสดงเจตจำนงอย่างตรงไปตรงมา
เขาอยากใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อเพื่อ ‘ตก’ โลกิ โดยให้เฮล่าที่สามารถยืมพลัง ‘ปกปิด’ คอยซ่อนอยู่ในเงามืด ดักรอโจมตีหัวหน้ากลุ่มวันเอพริลฟูลทีเผลอ!
เผชิญหน้ากับตัวประหลาดระดับนี้ บางที คงมีเพียงเฮล่าที่ลำดับสูงกว่าตนกับฟรังก้า และมีพลัง ‘ปกปิด’ เท่านั้น จึงจะพบตัวเป้าหมายได้ก่อนที่ตัวเองจะถูกพบ
พับจดหมาย ลูเมี่ยนรีบจัดแท่นบูชา อัญเชิญหัวกะโหลกเงินที่มีเปลวไฟสีซีดลุกโชนตรงเบ้าตา
…………
ฟรังก้าล่องหนกลับมายังอพาร์ตเมนต์ 601 บ้านเลขที่ 3 ถนนเสื้อนอกขาว โน้มน้าวจินนาให้กลับบ้านชั่วคราวสองสามวัน
จินนายืนยันซ้ำแล้วซ้ำอีก ว่าเธอไม่สามารถช่วยอะไรได้จริงๆ จึงสบถทิ้งท้ายแล้วเปิดประตูออกไป ละทิ้งความดื้อรั้นอย่างมีเหตุผล
ฟรังก้ารีบเปลี่ยนเสื้อผ้า พึ่งพาอุปกรณ์ปลอมตัวที่ได้จากลุนทาส คนของสมาคมเสียวซ่าน เพื่อเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอกของตน
เธอแต่งหน้าไปพลาง สบถมารดาแห่งโชคชะตาไปพลาง
“บัดซบ! ไม่น่าให้จินนากลับไปก่อนเลย! เธอใช้ของพวกนี้เก่งกว่าฉัน ฝีมือแต่งหน้าก็ดีกว่า”
นี่เป็นพื้นฐานของนักแสดงฝึกหัด
ปลอมตัวอย่างง่ายๆ เสร็จ ฟรังก้าบ้างล่องหน บ้างซ่อนตัวในเงา เดินวนรอบเขตตลาดเกือบครึ่งรอบ
ระหว่างนั้น เธอไม่เพียงใช้เทคนิคต่อต้านการทำนาย แต่ยังใช้เทคนิคสลัดการติดตามที่เรียนมาจากลูเมี่ยนด้วย
สุดท้าย เธอกลับมาที่ถนนเสื้อนอกขาว เข้าไปในอาคารเลขที่ 6
ในตึกนี้มีบ้านลับที่เธอเตรียมไว้ให้ตัวเอง ถ้ามองไปทางฝั่งตรงข้ามเยื้องๆ จะเห็นบ้านหลัก
ฟู่… ฟรังก้าที่จัดการทั้งหมดเสร็จ ถอนหายใจยาว เอนกายลงบนเก้าอี้เอนหลังสไตล์โลเอ็น
ขณะเดียวกันก็รำพันกับตัวเอง
“เรารู้จักกับชาร์ลยังไม่ถึงสามเดือน ทำไมถึงเกิดเรื่องมากกว่าปีก่อนเสียอีก…”
“บัดซบ! ไอ้หมอนี่เป็นร่างอวตารของดาวซวยหรือไง!”
…………
ในบ้านลับบนถนนเสื้อนอกขาว ลูเมี่ยนรอเพียงราวสิบห้านาที ก็เห็นหัวกะโหลกเงินโผล่ออกจากอากาศที่มืดลงกะทันหัน คาบจดหมายที่พับเรียบง่ายไว้ในปาก
“ขอบคุณ” ลูเมี่ยนเอ่ยตามความเคยชิน รับจดหมายฉบับนั้นมา
หากเฮล่าไม่ยอมช่วยจัดการกับคนของสมาคมวิจัยฯ ที่น่าสงสัยแต่ยังขาดหลักฐาน เด็กหนุ่มก็ต้องยกเลิกแผน รีบไปหาฟรังก้า พาเธอใช้ ‘ข้ามโลกวิญญาณ’ ย้ายไปเขตเนินเขา เขตเอราโต หรือที่ห่างไกลแถบชานเมืองก่อน แล้วค่อยย่องกลับมา
เขารู้สึกว่า มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะหลุดพ้นจากการสะกดรอย หรือการล็อกเป้าของโลกิได้อย่างแท้จริง ซึ่งในภายหลังต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ ไปตลอด เว้นแต่จะย้ายไปเขตอื่น
ลูเมี่ยนคลี่กระดาษ พบว่าจดหมายตอบกลับของเฮล่า สั้นกระชับมาก:
“ตกลง”
มุมปากของลูเมี่ยนเหยียดยิ้มทันที เปลวไฟสีแดงฉานลุกโชนจากฝ่ามือ เผาจดหมายตอบกลับฉบับนั้น
จากนั้น เด็กหนุ่มทำให้โต๊ะกลับเป็นปกติ แล้วใช้ต่างหู ‘คำลวง’ เปลี่ยนร่างกลับเป็นโฉมเดิม
ลูเมี่ยนปิดโคมไฟคาร์ไบด์ ล้มตัวลงบนเตียง หลับตาแน่น แกล้งทำเป็นหลับ
นาทีแล้วนาทีเล่าผ่านไป สีของค่ำคืนเริ่มมืดลึก รอบถนนเสื้อนอกขาวเริ่มเข้าสู่ความเงียบ
แสงจันทร์สีแดงส่องทะลุผ่านม่านหนา นำความสว่างเล็กๆ มาสู่ห้อง
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร ร่างเล็กๆ สีเทาดำ มุดออกมาจากรูตรงมุมผนัง
มันคือหนูหน้าตาธรรมดา
หนูเดินไปถึงข้างโต๊ะอย่างไร้เสียง ปีนขึ้นไป เดินวนไปมาบนผิวโต๊ะ ดมซ้ายดมขวา ราวกับกำลังตรวจตราว่า ถิ่นของมันถูกรุกล้ำหรือไม่
ครู่หนึ่งผ่านไป มันจบพฤติกรรมดังกล่าว หดตัวอยู่ในมุมมืดซึ่งแสงจันทร์สลัวส่องไม่ถึง หันร่างไปทางเตียง
หนูมองลูเมี่ยนด้วยสายตาลึกลับ แฝงความรู้สึกเหมือนมนุษย์อย่างยิ่ง
จากนั้น ราวกับมันกลายเป็นรูปปั้นในความมืด นิ่งสนิท คงท่าจ้องมองลูเมี่ยนไว้
เกือบสิบนาทีผ่านไป ทางเดินด้านนอกประตูห้อง มีเสียงฝีเท้าดังเบาๆ จนยากจะสังเกต
กึก กึก กึก ฝีเท้าดังกล่าวเข้าใกล้ยิ่งขึ้น
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าก็หายไป เหมือนไม่เคยดังมาก่อน หรือไม่ก็หยุดลง ณ จุดใดจุดหนึ่ง ไม่เคลื่อนหน้าต่อ
หนูเริ่มออกจากมุมมืดซึ่งแสงจันทร์สีแดงส่องไม่ถึง ไต่ตามขาโต๊ะลงมา ย้อนกลับเข้ารูที่มันมุดเข้ามา
มันหายวับไปด้วยความเร็วสูง ภายในห้องยิ่งเงียบสงัด ได้ยินเพียงเสียงหายใจของมนุษย์ลอยละล่องเป็นระยะ
ลูเมี่ยนไม่ลืมตาเลยตลอดเวลา ร่างกายผ่อนคลายอย่างยิ่ง เหมือนกำลังหลับอยู่จริงๆ
…………
ถนนเสื้อนอกขาว บ้านเลขที่ 6 ภายในอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่ง
ฟรังก้านอนบนเก้าอี้เอนหลัง ร่างกายแกว่งเบาๆ ตามจังหวะโยกเก้าอี้
เธอกำลังกังวลใจว่า หลังจากนี้ควรทำอย่างไรต่อ มีศัตรูพิสดารแถมยังน่าขนลุกแอบซุ่มอยู่ในมุมมืด คอยสอดแนมอย่างไม่เป็นมิตร ทำให้ไม่ว่านั่งหรือยืน ก็ไม่อาจสบายใจและผ่อนคลายได้
“ต้องรีบแก้ไขสถานการณ์… ขโมยรอได้พันวัน แต่ป้องกันขโมยไม่มีทางทำได้พันวันแน่ สมาธิหลุดนิดเดียวคือจบ…”
“หรือจะเลิกภารกิจ หนีไปที่อื่น? หรือจะสุดเหวี่ยงเลย อ้างว่าภารกิจใกล้ล้มเหลว ขอให้มาดามจัดจ์เมนต์ออกโรงช่วยจับโลกิ… มันก็ทำได้อยู่หรอก แต่เราก็ต้องแบกหนี้ก้อนโต ซึ่งยากจะใช้หมดก่อนเป็นครึ่งเทพ ถึงจะมีชาร์ลช่วยหารครึ่ง ภาระก็ยังหนักเกินไปอยู่ดี…”
“หรือจะให้มาดามเฮล่าเรียกประชุมฉุกเฉินเลย บอกกับทุกคนว่าพวกโลกิฆ่ามักเกิ้ล เรียกร้องให้หาคนที่ไว้ใจได้มาสอบปากคำทั้งสองฝ่าย ดูว่าใครโกหก… แต่ว่า… พวกโลกิมีปัญหาจริงหรือไม่ อันนี้ยังไม่แน่ แต่ที่แน่คือ เราสมคบคนนอก นำสายลับเข้ามา ไอ้นี่แหละเรื่องใหญ่…”
ฟรังก้ายิ่งคิดยิ่งรำคาญ ใช้สำนวนท้องถิ่นของบ้านเกิดโดยตรง ไม่ได้ตั้งใจแปลงเหมือนทุกที
ทันใดนั้น เธอเกิดลางสังหรณ์อันตรายอย่างแรงกล้า
แทบจะพร้อมกัน หญิงสาวรู้สึกถึงความหนาวเหน็บสุดขั้ว ซึ่งระเบิดออกจากภายในกาย
พริบตาเดียว ร่างของเธอก็แข็งเหมือนท่อนไม้ กระจกตาสีทะเลสาบแต่ละข้างสะท้อนร่างหนึ่ง เป็นร่างเดียวกัน
สูทสั้นสีดำที่พนักงานเล็กๆ มักใส่ ผมสีน้ำตาลหวีเรียบไปด้านหลัง ใบหน้าลูกครึ่งทวีปใต้ ดวงตาสีเขียวเข้มอมหม่น แต่เฉยเมยไร้ความรู้สึก…
วิญญาณอาฆาต! คำนี้แล่นเข้ามาในหัวฟรังก้า รู้ว่าตนกำลังเจอสิ่งใด
ความคิดของเธอเริ่มพร่ามัว มือขวาของเธอบรรจงยกขึ้น ประหนึ่งกำลังต่อสู้กับสิ่งที่มองไม่เห็น
ฟรังก้าระดมพลังวิญญาณภายในกายวิญญาณ เตรียมระเบิดเพลิงทมิฬของ ‘นางมาร’ จากในสู่นอก
ไฟชนิดนี้มุ่งเป้าไปยังวิญญาณ เผาไหม้ ‘วิญญาณอาฆาต’ ได้สบาย อีกทั้ง นางมารก็ยังต้านทานได้ดีกว่าเส้นทางอื่น ยอมแลกด้วยการบาดเจ็บเพื่อหลุดจากวงล้อม หรือแม้กระทั่งทำร้ายศัตรูให้สาหัส
ทันใดนั้น เสียงนุ่มลึกดังขึ้นข้างหูฟรังก้า:
“เปล่าประโยชน์ ยอมแพ้เสียเถิด”
เสียงดังกล่าวเปรียบดังหัวศรนับร้อย พุ่งเข้าใส่จิตใจของฟรังก้าโดยตรง รบกวนความพยายามในการรวมเพลิงทมิฬ
พอเสียงหายไป สมองของเธอก็เหมือนถูกหมอกหนาปกคลุม ตรงหน้ามีกระจกขุ่นปรากฏขึ้นบานหนึ่ง
เสียงนั้นยังคงดำเนินต่อ
“ตอนใกล้ค่ำ ฉันไม่ได้ใช้พลังเต็มที่ เพียงแค่ลองเชิงเท่านั้น หมอนั่นมีผนึกลำดับสูงอยู่ในตัว แถมยังปลอมเป็นมักเกิ้ล จะต้องมีความพิเศษบางอย่างแน่ ถ้าฉันไม่สืบข่าวให้ดี บุ่มบ่ามลงมือจริงจัง คนที่ตายอาจเป็นฉันเอง”
“พอลองเชิงดูแล้ว ก็ยิ่งพบความน่าสนใจ เมื่อครู่ผมไปหาเขามาแล้ว แต่รู้สึกว่ายังเสี่ยงเกินไป เลยคิดจะเปลี่ยนเธอให้เป็นหุ่นเชิดก่อน แล้วค่อยเล่นงานเขาทีเผลอ”
“หึๆ … เธอคิดว่าจะหลุดจากการถูกฉันล็อกเป้าได้หรือ? พวกเราต่างก็มีจุดพิเศษเล็กๆ น้อยๆ ขอเพียงอยู่ในระยะหนึ่งกิโลเมตร ฉันสามารถอาศัยพลังขององค์ผู้ยิ่งใหญ่ ตรวจจับตำแหน่งของเธอได้”
“ฉันอยากได้นางมารมาเป็นหุ่นเชิดนานแล้ว ต้องอร่อยไม่ใช่เล่นแน่…”
วิญญาณของฟรังก้าถูกเสียงนี้เล่นงานซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความพยายามในเรียกใช้ ‘กระจกตัวแทน’ รวมถึงการจุดเพลิงทมิฬ ถูกขัดจังหวะอยู่ร่ำไป ความคิดอืดอาดยืดยาด ข้อต่อเหมือนถูกกาวเติมจนเต็ม
“หมอนี่… โลกิ… สามารถ… ตรวจจับ… ตำแหน่ง… ของเราได้?”
“พิเศษยังไง… ทำไมมันถึง… ทำได้…”
ฟรังก้าไม่มีเวลาไตร่ตรองหาคำตอบ เอาแต่จดจ่ออยู่กับการขัดขืนสุดกำลัง ขณะเดียวกัน เสียงนุ่มลึกนั่น ก็ถูกเปล่งอย่างเย้ยหยัน
“มัวประวิงเวลาไม่ได้แล้ว เห็นทีฉันต้องเร่งมือ ป้องกันมิให้เกิดเหตุไม่คาดฝัน”
พูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงดังกล่าวเปลี่ยนเป็นสำรวม สวดด้วยภาษาที่ฟรังก้าคุ้นเคยอย่างยิ่ง
“เทพสวรรค์ฟ้าดินประทานโชค…”
……………………………………………………..