ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 385 เปรียบเทียบก่อนหลัง
- Home
- All Mangas
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 385 เปรียบเทียบก่อนหลัง
ตอนที่ 385 เปรียบเทียบก่อนหลัง
ลูเมี่ยนรีบกวาดตามอง แต่ก็พบเพียงไฟถนนไม่กี่ดวง เปลวไฟสีแดงฉานที่ยังลุกโชน ส่องให้เห็นผู้คนแออัดไกลออกไป ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ ส่วนคนด้านหน้าสุด บัดนี้ก็ยังลืมตาไม่ขึ้นเพราะแสงจ้าจาก ‘ดวงอาทิตย์’
ในวิสัยทัศน์ดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นชายที่สงสัยว่าเป็นโลกิ หรือ ‘คนเดินถนน’ ที่ขับร้องบทเพลง ก็ไม่มีแม้แต่วี่แววเงาหัว
“ไอ้ลูกหมู เผ่นป่าราบไปเลยหรือ” ลูเมี่ยนโมโหจัด อดด่าไม่ได้
การต่อสู้ยังไม่ทันจะเกิด ก็ชิงหนีไปก่อนแล้ว?
พอโจมตีทีเผลอพลาด ก็ถอนตัวทันที?
“แม่ง! ไอ้พวกหนูหริ่ง ไม่เพียงจับยากจับเย็น แค่ลมพัดหญ้าไหว ก็หนีกระเจิงจนเงาวิ่งตามไม่ทันแล้ว!” ขณะเดินเข้ามาหาลูเมี่ยน ฟรังก้าสบถด้วยถ้อยคำประหลาด เหมือนถูกแปลมาทื่อๆ “สมแล้วที่เส้นทางนักทำนายกับนักโจรกรรมสามารถสลับกันได้ สันดานนี่เหมือนกันเปี๊ยบ!”
สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า ตีไม่โดนตัวจริง ก็ไม่มีทางจับร่างต้นได้
ต่างกันตรงที่ เส้นทางนักทำนายเป็นแบบนี้ตั้งแต่ลำดับ 7 ส่วนเส้นทางนักโจรกรรมอาจต้องรอจนเปิดประตูเทวบารมี เลื่อนสู่ลำดับ 4 เสียก่อน
สมองของลูเมี่ยนกำลังเร่งประมวลผล ไตร่ตรองหาวิธีตามรอยของโลกิกับหุ่นเชิด
พวกเขาอาจจะออกไปแล้ว หรืออาจจะยังแอบซ่อนอยู่ในถนนอลเวงยามพลบค่ำ!
“หุ่นเชิด…”
“จริงด้วย หุ่นเชิดที่ขับร้องนั่น รับวิชาฮึ่มฮ่าของเราไปตรงๆ แต่กลับไม่สะทกสะท้านเลย แสดงว่าอาจตายไปแล้ว ไร้สติ ไร้ดวงวิญญาณ…”
“ประสบการณ์ของเราเมื่อครู่ ที่เกือบถูกเปลี่ยนเป็นหุ่นเชิด ก็ช่วยพิสูจน์ประเด็นนี้ทางอ้อม…”
“ในเมื่อหุ่นเชิดเป็นคนตาย ก็ย่อมต้องไม่มีโชคชะตาของคนเป็น ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าดวงชะตา ถึงจะมีก็คงตรึงอยู่กับสีดำมืด ซึ่งสื่อถึงความตาย…”
“หาโลกิผู้มีพลังผู้ไร้หน้าไม่พบ ก็เริ่มจากหุ่นของเขาได้!”
คิดได้แบบนี้ ลูเมี่ยนก็เพ่งสมาธิ ตั้งใจอ่านดวงชะตาของบรรดาพลเมืองที่อยู่ไกลออกไปสิบยี่สิบเมตร
เด็กหนุ่มกวาดตามอง รีบเลื่อนผ่านทุกคนที่มีดวงชะตาและสีไม่ดำสนิท
หลังจากมองคร่าวๆ หนึ่งรอบ ลูเมี่ยนก็ไม่พบเป้าหมายที่น่าสงสัยว่าเป็นหุ่นเชิด
เด็กหนุ่มถอนหายใจเชื่องช้าอย่างผิดหวัง
“ออกจากที่นี่กันก่อน พนักงานดับเพลิงใกล้จะถึงแล้ว ผู้วิเศษการก็คงอยู่ระหว่างทางเช่นกัน” ฟรังก้าเตือนลูเมี่ยนหนึ่งประโยค
ลูเมี่ยนละสายตา ก่อนที่เปลวไฟสีแดงเพลิงจะดับสนิท เขาหันหลังกลับ เดินออกจากถนนอลเวง
เด็กหนุ่มวางแผนจะอ้อมครึ่งรอบ แล้วกลับไปยังโรงแรมระกาทอง เพื่อนำเงินที่ทวงคืนจากคาบาเร่ต์แกะดำไปให้ฟิซ นักธุรกิจล้มละลาย และรับส่วนแบ่งตามที่ตกลงกันไว้
หลังจากเดินไปสิบกว่าก้าว ลูเมี่ยนพลันนึกถึงมิสเตอร์รูเอล ผู้ตายเพราะติดโรค และนางมิเชล ผู้ร้องเพลงหรรษามหานคร แล้วผูกคอตาย
เขากังวลว่า ตนจะนำพาภัยพิบัติจาก ‘พลังวิเศษ’ ไปยังโรงแรมระกาทอง จนผู้ว่าจ้างอย่างฟิซโดนลูกหลง
ในสองเรื่องที่โอลัวร์เขียน เธอสร้างอาชญากรสุดวิปริตเลวทรามขึ้นมา พวกมันจะเริ่มฆ่าบุคคลสำคัญของเป้าหมายก่อน เหยื่อทำได้แค่มองเพื่อนรอบข้างตายไปอย่างน่าสังเวชทีละคน
ในฐานะหัวหน้ากลุ่มวันเอพริลฟูล โลกิชอบเล่นกับจิตใจผู้คนเป็นที่สุด อย่าว่าแต่การฆ่าคนบริสุทธิ์ที่ไม่เคยรู้จักกัน กระทั่งการทรยศเพื่อนก็ยังทำได้อย่างเลือดเย็น ดังนั้น หลังจากการลอบโจมตีล้มเหลว มีโอกาสไม่น้อยที่เขาจะเริ่มลงมือจากคนใกล้ตัวลูเมี่ยน ใช้ความตายของคนเหล่านั้น บ่อนทำลายจิตใจของเป้าหมาย คอยซุ่มซ่อนในมุมมืด แอบมองลูเมี่ยนเพ้อคลั่งเหมือนคนบ้า แล้วฉวยโอกาสในยามอ่อนแอที่สุด เก็บเกี่ยวชีวิตไป
แม้จะเป็นเพียงความเป็นไปได้ แต่ลูเมี่ยนไม่อยากเสี่ยง จึงหยุดเดิน หักเลี้ยวไปทางถนนใหญ่ตลาด
“จะไปไหน?” ฟรังก้าถามอย่างสงสัย
ลูเมี่ยนสงบสติอารมณ์ลงบ้างแล้ว จึงตอบด้วยรอยยิ้ม
“ไปดื่มที่คาบาเร่ต์ลมเอื่อยสักแก้ว”
พวกชาวแก๊งที่ติดต่อกันเป็นประจำนั่น ถึงเวลาตายก็ต้องตาย คนในวงการมืด ย่อมต้องเตรียมใจตายทุกเมื่อ!
ฟรังก้าชะงักครู่หนึ่ง เข้าใจความกังวลของลูเมี่ยนคร่าวๆ
เนื่องจากตกปลาใหญ่ล้มเหลว โลกิจึงรู้หน้าจริงของทั้งคู่แล้ว สามารถซุ่มอยู่ในมุมมืดได้ตลอดเวลา รอจังหวะเหมาะเหม็งค่อยลงมือ ส่วนลูเมี่ยนกับเธอ เว้นแต่จะละทิ้งตัวตนปัจจุบัน ใช้เทคนิคต่อต้านการทำนาย ต่อต้านการแกะรอย ย้ายไปอยู่ที่อื่น ไม่อย่างนั้นก็ต้องจมอยู่กับความหวาดระแวงไม่รู้จบ เห็นหนูกี่ตัว ก็กลัวมันจะพุ่งเข้ามาทำร้ายไปเสียหมด
เมื่อเทียบกับโรงแรมระกาทอง ซึ่งผู้คนปะปนกันไป ชั้นสองของคาบาเร่ต์ลมเอื่อยเงียบสงบกว่า เอื้อต่อการป้องกันตัวมากกว่า
อีกทั้ง หากเกิดการต่อสู้ในระดับเหนือธรรมชาติ ให้พวกแก๊งโดนลูกหลง ยังดีกว่าให้คนธรรมดาโดนลูกหลง
“ฉันก็จะกลับไปเปลี่ยนชุดเหมือนกัน” ฟรังก้าพูดเป็นนัยว่า เธอเองก็จะปลอมตัว ซ่อนเร้นในเงามืด ไม่ให้โลกิตามหาได้ เพื่อเลี่ยงการลอบโจมตีที่อาจเกิดขึ้น
ในทำนองเดียวกัน เธอจะให้จินนากลับไปอยู่กับพี่ชายสักพัก เพื่อไม่ให้โดนลูกหลง
ต่อหน้าศัตรูที่พิสดารและน่ากลัวเช่นนี้ ขีดความสามารถในการเอาตัวรอดของ ‘นักกระตุ้น’ ยังอ่อนเกินไป
ลูเมี่ยนใช้มือขวาตบกระจกตัวแทนของฟรังก้าที่ซ่อนอยู่ในเสื้อผ้า บอกให้อีกฝ่ายหมั่นดูสถานการณ์ของกันและกันเป็นระยะ
ฟรังก้าพยักหน้าหนักแน่น เป็นนัยว่าเข้าใจ
…………
คาบาเร่ต์ลมเอื่อย ร้านกาแฟชั้นสอง
ลูเมี่ยนนั่งตรงมุมด้านในสุด ห่างจากหน้าต่าง พูดกับซาโกตา บอดี้การ์ดของตน
“ไปที่โรงแรมระกาทอง เรียกนักธุรกิจล้มละลายชื่อฟิซมาที่นี่”
ด้วยการส่งต่อแบบนี้ ฟิซจะดูเหมือน ‘ทวงเงินสำเร็จ’ ผ่านพรรคซาฟาห์มากกว่า ไม่มีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับชาร์ล·ดูบัวส์ หากโลกิจะเลือกเหยื่อ ก็ต้องจิ้มเอาจากคนของพรรคซาฟาห์ใต้บัญชาลูเมี่ยน
ระหว่างรอให้ฟิซมาถึง ลูเมี่ยนลูบกระเป๋าสะพายหนักๆ บนตัก พลางไตร่ตรองปัญหาเกี่ยวกับโลกิ
ในเมื่อสูญเสียร่องรอยของหัวหน้ากลุ่มวันเอพริลฟูลไปแล้ว เด็กหนุ่มได้แต่มองหาเบาะแสจากสักเหตุการณ์ที่ผ่านมา
หนึ่งในรายละเอียดคือ ตัวเลือกที่ลูเมี่ยนตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนลงมือ:
“ถ้าเรา ‘ตก’ โลกิออกมาได้จริง ทำไมคราวก่อนถึงหนีรอดจากหัวหน้ากลุ่มวันเอพริลฟูลมาได้ด้วยเทคนิคต่อต้านการแกะรอย แต่ครั้งนี้กลับทำไม่ได้…”
หลังออกจากคาบาเร่ต์แกะดำ ลูเมี่ยนจงใจสลัดการติดตามด้วยวิธีเดียวกับครั้งก่อนทุกประการ — กลับสู่รูปลักษณ์เดิม เปลี่ยนเสื้อผ้า ปรับแต่งกระเป๋าสะพาย จนกระทั่งย้อนกลับยังถนนเพรง ไปเจอกับฟรังก้า ณ จุดนัดพบ แล้วไม่สลัดการติดตามอีก เพื่อสร้างเงื่อนไขที่แตกต่างกัน สำหรับค้นหาความแตกต่าง
หากไม่แล้ว ถ้าเกิดจับโลกิที่พิสดารและฆ่ายากไม่สำเร็จ จะไม่เท่ากับคว้าน้ำเหลวเอาหรือ?
อย่างน้อยก็ต้องได้อะไรติดมือกลับมาบ้าง!
นี่คือกับดักเล็กที่ซ่อนอยู่ในกับดักใหญ่
“ตามตรรกะปกติ ในเมื่อขั้นตอนสลัดการติดตามคราวก่อนของเรา สามารถหนีจากโลกิได้ คราวนี้ก็ไม่ควรมีข้อยกเว้น เราไม่เพียงคอยสังเกตคนหรือสัตว์รอบตัว แม้แต่นกบนฟ้ายังหลบเลี่ยง ต่อให้มีแมลงเป็นหุ่นเชิดของโลกิ ก็คงถูกเราสลัดทิ้งได้เช่นกัน เนื่องจากตามความเร็วไม่ทัน…”
“มีความเป็นไปได้สองทาง หนึ่ง ฟรังก้าถูกจับตาตั้งแต่ต้น หรือสอง พอเราสลัดการติดตามเสร็จ เดินกลับมาที่ถนนเพรงใหม่ ก็ถูกโลกิจดจำตัวจริงได้”
“ฟรังก้าต่อต้านการทำนายล่วงหน้า ตำแหน่งสอดแนมก็อยู่ค่อนข้างไกลจากบาร์หัวเดียวกระเทียมลีบและคาบาเร่ต์แกะดำ อีกทั้งยังไม่ได้เข้าเขตถนนเพรงเลย แถมยังใช้วิธีสอดแนมนอกศาสตร์เร้นลับ ไม่น่าจะความแตกเร็วนัก นอกเสียจากว่า โลกิจะรู้มาก่อน ว่าตรงนั้นจะมีคนมาสอดแนม…”
“สิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุดคือ ระหว่างทางกลับถนนเพรง เราถูกจดจำได้ แต่หมอนั่นจำเราจากอะไร? เพราะไม่เพียงจะแปลงโฉมกลับ เปลี่ยนเครื่องแต่งกาย แต่เรายังเลือกนั่งรถม้ารับจ้าง เพื่อไม่ให้ดูน่าสงสัย… อ้างอิงจากที่อ็องโตนีบอก การเช่ารถม้าจะทำให้คนข้างนอก มองไม่เห็นรองเท้าที่เรายังไม่ได้เปลี่ยน อีกทั้งยังซ่อนท่วงท่าการเดิน รวมถึงภาษากายที่เคยชิน…”
“เราถึงกับฉีดน้ำหอมนิดหน่อย กลบกลิ่นเดิมๆ …”
“เรามีจุดเด่นอะไรบ้างที่เปลี่ยนไม่ได้? จนโลกิจดจำได้ในเวลาอันสั้น”
ลูเมี่ยนเปรียบเทียบความแตกต่างก่อนหลัง ค่อยๆ เริ่มคาดเดา
“หรือว่า… นักเชิดหุ่น หรือหุ่นบางตัวของเขา สามารถระบุจำแนกเป้าหมายได้ในระดับดวงวิญญาณ หรือจิตสำนึก? หรือว่าโลกิมองเห็นจุดเด่นที่เรามีต่างจากคนอื่น… เทวทูตแห่งชะตากรรม ผนึกของมิสเตอร์ฟูล หรือลมปราณจักรพรรดิโลหิต?”
“‘คำลวง’ แม้จะอยู่ในเส้นทางนักทำนายเหมือนกัน แต่ลำดับไม่สอดคล้องกับโลกิ มิได้หลอมรวมกันอย่างกลมเกลียวจนถึงกับสัมผัสได้…”
ลูเมี่ยนยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่า สาเหตุคือ โลกิมีวิธีมองทะลุการปลอมตัวของตน แต่ฝีมือในการสะกดรอยตามไม่สูงมาก หากเจอกับเหยื่อที่ระแวงคนแปลกหน้า สัตว์ นกบนฟ้า และแมลงแบบตน ก็ยากที่จะไล่ตามทัน จะทำนายถึงก็ไม่ได้
ไม่ว่าโลกิจะมองทะลุด้วยวิธีใด แต่นี่คือคำอธิบายเดียว ที่สามารถจำแนกความต่างระหว่างครั้งก่อนกับเมื่อครู่ได้ชัดเจน
จากคำอธิบายนี้ ลูเมี่ยนมีแนวคิดใหม่
เด็กหนุ่มมองท้องฟ้ายามค่ำคืนอันมืดมิด มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น
อีกครู่ใหญ่ต่อมา ฟิซ นักธุรกิจล้มละลาย ถูกซาโกตาพามาที่ร้านกาแฟ
ลูเมี่ยนส่งสัญญาณให้ซาโกตาออกไปชั่วคราว แล้วพูดกับฟิซว่า
“เอาเงินกลับมาได้แล้ว… คุณคิดว่าตัวเองควรได้ส่วนแบ่งเท่าไร”
เขาพูดไปพลาง เทธนบัตร ทองคำ และเครื่องประดับลงบนโต๊ะ กวาดตามองพวกมันแล้วพูดต่อ
“รวมๆ แล้วประมาณ 130,000 เฟลคิน”
ฟิซรีบโพล่ง
“หกหมื่น… ไม่สิ ห้าหมื่น ไม่สิ ให้ผมสามหมื่นเฟลคินก็พอแล้วครับ”
ลูเมี่ยนอมยิ้ม ดึงธนบัตรมัดๆ ออกมาสองสามปึก โยนให้ฟิซ
“ตามที่เคยตกลงกันไว้ ดอกเบี้ยเป็นของผม เงินต้นผมเอาครึ่งหนึ่ง”
“นี่ของคุณ ห้าหมื่นเฟลคิน”
ฟิซรับมาอย่างดีใจ ขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แม้จะไม่ได้เต็มจำนวน แต่ห้าหมื่นเฟลคินก็เพียงพอให้เขาเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เต็มไปด้วยความหวัง
ค่าตอบแทนครึ่งหนึ่งของเงินต้น บวกดอกเบี้ย ถือว่าคุ้มเกินคุ้มแล้ว!
ลูเมี่ยนรู้สึกดีใจเช่นกัน ผ่านอิทธิฤทธิ์ของเทวทูตกาลเวลาข้างบัลลังก์ของมิสเตอร์ฟูล ตนทำเงินได้ห้าหมื่นเฟลคินเป็นธนบัตร บวกทองคำมูลค่าสามหมื่นอย่างง่ายดาย
ต้องไม่ลืมว่า ก่อนหน้านี้ เด็กหนุ่มลำบากตรากตรำหาเงินแทบตาย สุดท้ายก็ได้แค่เจ็ดหมื่นห้าเฟลคิน
เขาคิดจริงจังว่า ตนควรซื้อเครื่องเซ่นในขอบเขตที่สอดคล้องกัน เพื่อกราบขอบพระคุณมิสเตอร์ฟูล ขอบคุณเทวทูตกาลเวลาองค์นั้นดีหรือไม่
หลังจากรออีกครึ่งชั่วโมงกว่าๆ ลูเมี่ยนเข้าไปในห้องนอนที่อยู่ชั้นสองเช่นเดียวกัน โยนกระเป๋าสะพายลง ใช้ ‘คำลวง’ แปลงโฉมใหม่ กลายเป็นโอลัวร์ฝั่งชาย ผมดำตาน้ำตาล
เด็กหนุ่มเปลี่ยนใส่เสื้อเชิ้ต เสื้อกั๊ก กางเกงขายาว และรองเท้าบูต ถอดคำลวงออก ย้ายถุงมือสนับ ‘ทุบตี’ ไปอยู่ในกระเป๋าเอกสาร แล้วเพ่งพินิจสถานการณ์ด้านนอกหน้าต่าง
หลังจากยืนยันว่าไม่มีคน หนู หรือนก ลูเมี่ยนก็ผลักหน้าต่าง กระโดดลงมาอย่างชำนาญ ทำทีไม่รู้ว่าโลกิมองทะลุการปลอมตัวของตนได้
……………………………………………………..