ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 384 หน่วงหนืด
- Home
- All Mangas
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 384 หน่วงหนืด
ตอนที่ 384 หน่วงหนืด
ท่าไม่ดีแล้ว…! ในฐานะทั้ง ‘นักล่า’ และ ‘นักเต้น’ ลูเมี่ยนควบคุมร่างกายได้เป็นเลิศ เมื่อเกิดความผิดปกติที่ไม่อาจทำความเข้าใจ เด็กหนุ่มย่อมตระหนักถึงปัญหาได้ทันที
แทบจะพร้อมกัน เขาพบว่าตัวเองคิดได้ช้าลง ราวกับสมองถูกหมอกหนาปกคลุม ความคิดแต่ละกระแสชะงักงัน ต้องเพ่งสมาธิอย่างหนักจึงจะกระจ่างชัด:
“ถูกโจมตีแล้ว…”
“โลกิมาจริงๆ …”
“นี่คือ… การลงมือ… ของนักเชิดหุ่น?”
“ถ้าสุดท้าย… เราคิดอะไร… ไม่ออกเลย… จะกลายเป็น… หุ่นเชิดของเขา?”
“ลางสังหรณ์อันตรายของเรา… ถูกบดบัง…”
“บัดซบ! เทอร์มี… โพลอส… แกไม่มีทาง… ไม่รู้ตัว… ว่าโชคชะตาของฉัน… เปลี่ยนแปลง… แต่กลับไม่… เตือนสักคำ…”
“พระองค์บอกล่วงหน้า… ว่าโลกิเกือบตามเราทัน… ก็เพื่อให้… เราย้อนกลับ… ไปอีกครั้ง?”
“ถ้าเราตกเป็น… หุ่นเชิดของโลกิ… จะช่วยให้… พระองค์หลุดพ้น… จากผนึก?”
“ไม่ยอมเด็ดขาด… ต้องพยายาม… ต่อต้าน…”
“โลกิอยู่… ที่ไหน…”
ขณะที่ความคิดจากจิตใต้สำนึก ทยอยผุดขึ้นเป็นระยะ ลูเมี่ยนฝืนยื่นมือล้วงกระเป๋าเสื้อ แล้วมองไปรอบๆ ด้วยท่าทางหน่วงหนืด
ก่อนหน้านี้ เขากับฟรังก้าปรึกษากันเรื่อง ‘นักเชิดหุ่น’ และเห็นตรงกันว่า ความสามารถ ‘ลอบสังหารอย่างเงียบเชียบ’ ต้องมีข้อจำกัดบางอย่างแน่ ไม่เช่นนั้นจะเกินลำดับ 5 ไปชัดเจน เป็นขอบเขตของนักบุญผู้เปิดประตูเทวบารมีแล้ว ไม่ใกล้เคียงลำดับ 5 จากเส้นทางอื่นที่ฟรังก้ารู้จักเลย
ทั้งคู่เชื่อว่า ความสามารถนี้ต้องอาศัยสื่อกลางบางอย่าง หรือไม่ก็ต้องอยู่ในระยะใกล้มากจึงจะออกฤทธิ์ได้ เหมือนกับ ‘ทะลวงจิต’ ของ ‘แหวนลงทัณฑ์’ ที่ต้องห่างจากคู่ต่อสู้ไม่เกินห้าเมตร
ขณะนี้ ลูเมี่ยนอนุมานจากสถานการณ์ที่กำลังเผชิญ ว่าโลกิคงซ่อนตัวอยู่ในฝูงชนใกล้เคียง ห่างจากเขาไม่เกินสิบเมตร
ภาพที่เด็กหนุ่มเห็นคือ พ่อค้าแม่ขายแผงลอย รวมถึงผู้คนที่สัญจรบนถนน บ้างก็คุ้นหน้า บ้างก็แปลกหน้า ไม่ต่างจากปกติเลย
ภายใต้ความเร่งรีบ ลูเมี่ยนไม่มีทางจำแนกได้ว่าใครคือโลกิ มิหนำซ้ำ อีกฝ่ายยังเป็น ‘ผู้ไร้หน้า’ ที่เชี่ยวชาญการแปลงโฉมและปลอมตัว!
ระหว่างมองหาโลกิ เด็กหนุ่มปล่อยเปลวไฟสีแดงฉานจากฝ่ามือซ้าย
หนึ่งคือ เพื่อดูว่าการเผาไหม้ตัวเอง สร้างความทรมาน จะต่อต้านการควบคุมและกัดกร่อนของ ‘นักเชิดหุ่น’ ได้หรือไม่ สองคือ เป็นการใช้มัน ‘ออกโจทย์’ ดูว่าโลกิจะ ‘ตอบ’ อย่างไร อ้างอิงจากปฏิกิริยาของอีกฝ่าย ลูเมี่ยนอาจพบตำแหน่ง หรือจุดอ่อนของพลังสร้างหุ่นเชิด
ความเจ็บปวดที่คุ้นเคยเพิ่งจะแล่นเข้าสมอง ลูเมี่ยนก็ได้ยินเสียงดีดนิ้วดัง ‘เป๊าะ’
เปลวไฟสีแดงฉานบนฝ่ามือ สลายตัวในพริบตา กลายเป็นแสงไหล ไม่อาจก่อตัวเป็นชนวนระเบิด
ลูเมี่ยนหมุนตัวฉับพลัน พยายามมองไปทางแหล่งกำเนิดของเสียงดีดนิ้ว
แต่ข้อต่อของเขาถูกห่อหุ้มด้วย ‘กาว’ เหนียวหนืด การเคลื่อนไหวยิ่งฝืดเคืองขึ้นทุกที
ส่งผลให้เด็กหนุ่มหมุนตัวเสร็จช้ากว่าที่คาดไว้ถึงหนึ่งวินาที บนกระจกตาที่สะท้อนภาพบริเวณเป้าหมาย ทุกคนล้วนดูปกติ มองไม่ออกว่าใครเป็นคนดีดนิ้ว
“นักเชิดหุ่น… สามารถ… ควบคุมเปลวไฟ… ได้จริงๆ …”
“ความเจ็บปวด… ไม่ช่วยอะไร… ความคิดที่เริ่มช้าลง… ร่างกายที่แข็งทื่อ… งุ่มง่าม… ได้แค่เพิ่ม… ความเร็วตอบสนอง… เล็กน้อย…”
“ไม่ควรเสีย… เวลากับเรื่องนี้… สิ่งสำคัญที่สุด… ตอนนี้คือ… ต้องหาตัวโลกิ… ไม่งั้น… ไม่ว่าจะใช้… วิชาฮึ่มฮ่า… หรือเรียก… มิสเตอร์ K… หรือรอให้… ฟรังก้ามาช่วย… ก็ไม่อาจ… เปลี่ยนแปลงสถานการณ์…”
“ไม่รู้ว่า… ข้ามโลกวิญญาณ… จะใช้ได้ไหม… ถ้าลองอีก… สองสามครั้ง… ไม่สำเร็จ… เราจะ… ลองดูว่า… สามารถ ‘เทเลพอร์ต’ … ออกนอก… ขอบเขตพลัง… ของนักเชิดหุ่น… ได้ไหม…”
ความคิดของลูเมี่ยนยิ่งสะดุด ยิ่งติดขัดมากขึ้นทุกที แต่ยังไม่ถึงกับสมองขาวโพลน ทำอะไรไม่ได้ หลบการโจมตีไม่พ้น
ไม่นานนัก เด็กหนุ่มผู้สั่งสมประสบการณ์การต่อสู้มาอย่างโชกโชน ก็ผุดแนวคิดพร้อมกับวิธีการ:
“จากสถานการณ์… ปัจจุบัน… นักเชิดหุ่น… ต้องอยู่ใน… ระยะใกล้… จึงจะค่อยๆ … เปลี่ยนเหยื่อ… ให้เป็นหุ่นเชิด…”
“ในเมื่อ… เป็นแบบนี้… เราก็ต้องทำให้… ในรัศมีสิบเมตร… ไม่มีผู้คน… และสัตว์… เหลืออยู่เลย!”
“ใครยัง… อยู่ในนรก… เพลิงนี้… คนนั้นคือ… โลกิ!”
พอลูเมี่ยนเข้าใจภาพรวมแจ่มแจ้ง ก็แหกปากตะโกนเสียงดังทันที:
“ไฟ… ไหม้!”
สิ่งที่มาพร้อมกับคำพูดตะกุกตะกัก คือเปลวไฟสีแดงฉานที่ลุกโชติช่วงจากภายในกายลูเมี่ยน ระลอกแล้วระลอกเล่า
เปลวเพลิงลามออกไปโดยรอบ ศูนย์กลางคือสองเท้าของเด็กหนุ่ม เผาไหม้เศษขยะ อย่างเปลือกผลไม้บนพื้น ด้วยเสียงดังกรอบแกรบ
คนค้าขายแผงลอย รวมถึงผู้คนที่สัญจรไปมา เนื่องจากถูกเตือนล่วงหน้า พอเห็นเปลวไฟลุกโชน ก็รีบตอบสนองทันควัน คว้าข้าวของประจำตัว วิ่งหนีไปยังปลายถนนอลเวงทั้งสองฝั่งอย่างอลหม่าน
เห็นภาพดังกล่าว รอยยิ้มกระตุกช้าๆ บนใบหน้าของลูเมี่ยน
จริงอยู่ แกควบคุมเปลวไฟได้ แต่ตอนนี้ฉันไม่กั๊กแล้ว เป้าหมายเดียวคือการจุดไฟเผาทุกสิ่งรอบตัวให้มากเข้าไว้ เพิ่มจำนวนแหล่งกำเนิดไฟ!
อีกสักพักต้องดึงดูดความสนใจจากผู้วิเศษทางการได้แน่!
เปลวไฟสีแดงฉานพ่นกระจายไปทั่วทิศ ดุจดังมหาสมุทรสีสดที่เริ่มท่วมท้นผืนดิน
ถึงแม้ลูเมี่ยนจะกลอกลูกตาได้ช้าลง แต่ก็ยังพอเห็นร่างหนึ่ง คอยผลุบโผล่ในกองเพลิงอย่างต่อเนื่อง ไม่อาจไล่จับ ยากจะเล็งเป้า
ร่างนั้นผมดำตาฟ้า หน้าตาธรรมดา ไม่มีจุดเด่น ดูไม่ต่างจากพนักงานเล็กๆ ทั่วไปตามท้องถนน
…………
หลังจากลาลูเมี่ยน ฟรังก้าเดินตรงไปยังถนนเสื้อนอกขาว
แต่ระหว่างทาง เธอหักเลี้ยวเข้าตรอกหนึ่ง ซ่อนตัวอยู่ในเงา
นางมารสุขสมรายนี้เริ่มแอบย่องไปทางถนนอลเวง
นี่คือสิ่งที่เธอนัดแนะไว้กับลูเมี่ยน:
หากการบุกรุกคาบาเร่ต์แกะดำ ไม่อาจกระตุ้นให้ผู้วิเศษในบาร์หัวเดียวกระเทียมลีบตื่นตัว หรือไม่ทำให้พวกเขาเผยโฉมหน้าแท้จริง หลังออกจากถนนเพรงแล้ว ก็ลอง ‘ตกปลา’ อีกครั้ง ดูว่าจะ ‘เจอ’ เป้าหมายหรือไม่
ที่ฟรังก้าถามลูเมี่ยนว่า ‘จะสลัดการติดตามอีกรอบไหม?’ ความจริงแล้วคือถามว่า จะทำตามแผนเดิมหรือเปล่า และลูเมี่ยนก็ยืนยันชัดเจน
ขณะเข้าใกล้ถนนอลเวง ฟรังก้าในเงาหยิบกระจกออกมา
มันคือ ‘กระจกตัวแทน’ ที่สร้างจากเลือดและเส้นผมของลูเมี่ยน!
ในระยะห่างขนาดนี้ ‘กระจกตัวแทน’ ไม่อาจใช้แทนประกันชีวิตหรืออาการบาดเจ็บ แต่มันยังคงเชื่อมโยงกับเจ้าของผ่านเลือด ถือเป็นพันธะที่เหนียวแน่นในแง่ศาสตร์เร้นลับ ใช้สังเกตสภาพเบื้องต้นของลูเมี่ยนได้
หรือก็คือ ถ้ากระจกบานนี้แตก แสดงว่าลูเมี่ยนตายแล้ว ถ้ามีรอยร้าวลึกสองสามเส้น ก็แสดงว่าเจ้าของบาดเจ็บสาหัส
ในทำนองเดียวกัน ฟรังก้าก็มอบ ‘กระจกตัวแทน’ ของตนให้ลูเมี่ยนเก็บไว้ เพราะพวกเขาไม่มั่นใจว่า เมื่อแยกกันแล้ว โลกิจะเลือกใครเป็นเหยื่อ คนหนึ่งซ่อนอยู่ในเงา คนหนึ่งทำตัวตามปกติ พร้อมยืนยันสถานะของกันและกันผ่าน ‘กระจกตัวแทน’ เพื่อให้ความช่วยเหลือได้ทันท่วงที
วิธีนี้มีประสิทธิภาพสูงกว่าการใช้ศาสตร์ทำนายดวงกับโลกิ ผู้มีพลังต่อต้านการทำนายอันแข็งแกร่ง ซึ่งเปลี่ยนแปลงโชคชะตาตัวเองได้ตามการตัดสินใจ
หลังจากแอบย่องไปได้สักพัก ฟรังก้าก็รู้สึกว่ากระจกในมือเย็นเฉียบขึ้นมา
อาศัย ‘เนตรมองกลางคืน’ เธอมองทะลุเงา เห็นกระจกบานดังกล่าวมีสีเทาหมอง คล้ายขึ้นสนิม หรือถูกจมลงก้นทะเลสาบน้ำแข็ง
ชาร์ลถูกโจมตี? ใจของฟรังก้าเต้นแรง พร้อมกับเร่งฝีเท้า
เมื่อมาถึงถนนอลเวง เธอเห็นพอดีว่าเปลวไฟกำลังลุกลาม มีร่างคนหนึ่งผลุบโผล่ในกองเพลิงสีแดงฉานอยู่เรื่อย บางครั้งก็อ้าปากส่งเสียง ‘ปัง’
ฟังดูคล้ายเสียงปืนจริงมาก พ่อค้าแม่ขาย รวมถึงผู้คนสัญจรต่างพากันหนีกระเจิง คิดว่าแก๊งอันธพาลยิงกันอีกแล้ว
ส่วนลูเมี่ยนพยายามหลบหลีกอย่างเต็มกลืน แต่ก็ไม่พ้นทั้งสองนัด โดนกระสุนอัดอากาศปาดผ่านร่างกาย ทิ้งรอยแผลไว้ชัดเจน
แต่ก็เห็นได้ว่า ร่างลึกลับนั่นไม่คิดจะทำให้เด็กหนุ่มเจ็บหนัก ราวกับกังวลว่าจะไปรบกวนการ ‘ควบคุม’ ของตน ก่อนที่กระบวนการจะดำเนินไปถึงจุดหนึ่ง
ฟรังก้าเห็นว่าลูเมี่ยนยังไม่ถึงตาย ก็ถอนหายใจเงียบ แอบเข้าไปในเงา เคลื่อนเข้าใกล้พื้นที่สู้รบ พลางหยิบกระจกออกมา
เมื่อลดระยะห่างลงแล้ว เธอก็ออกจากเงา ส่องกระจกไปทางกลุ่มเปลวเพลิง พลางเสกเพลิงทมิฬที่ดูเหมือนจะไม่ร้อน คลอกมือขวาตัวเองไว้
จนกระทั่งร่างลึกลับนั่น ผลุบโผล่เข้ามาในจุดที่กระจกกำลังสะท้อน ฟรังก้ารีบป้ายมือขวาลงบนผิวกระจกทันที
อย่างเงียบเชียบ ร่างดังกล่าวถูกเปลวไฟสีดำสนิทเผาในพริบตา
ร่างนั้นบางลง เล็กลงอย่างรวดเร็ว กลายเป็นกระดาษคนที่ถูกตัดแต่งอย่างประณีต
ชายผู้มีใบหน้าสุดแสนจะธรรมดา สวมสูทสีดำ โผล่ออกจากฝูงชนห่างออกไปสักสิบยี่สิบเมตร
บัดนี้ความคิดของลูเมี่ยนไม่หนืดหน่วงอีกต่อไป ร่างกายก็หลุดพ้นจากอาการแข็งทื่อ
เด็กหนุ่มหายตัวในพริบตา ก่อนจะโผล่อีกครั้งด้านข้างศัตรู ซึ่งต้องสงสัยว่าเป็นโลกิ ระยะห่างไม่เกินเจ็ดเมตร
จากนั้นก็ส่งเสียง:
“ฮึ่ม!”
ลำแสงสีขาวพุ่งออกจากรูจมูกเด็กหนุ่ม ตรงดิ่งไปหาชายผมดำตาฟ้า หน้าตาธรรมดานั่น
ขณะเดียวกัน ฟรังก้าประสานงานอย่างรู้ใจ เสกหอกน้ำแข็งสีใสเล่มยาว ซัดใส่ตำแหน่งของเป้าหมาย
จากจุดที่หอกปักพื้น เกล็ดน้ำแข็งสีขาวลุกลามเป็นวงกว้าง มอบความหนาวเย็นแก่ผู้คนรอบข้าง บางคนถึงกับร่างกายแข็งทื่อ
ขณะนั้นเอง คนเดินถนนหน้าผอม ผมน้ำตาลตาน้ำตาล ก้าวเข้ามาขวางชายที่สงสัยว่าเป็นโลกิ รับลำแสงสีขาวของลูเมี่ยนไว้แทน
เขาไม่หมดสติ ไม่เป็นอะไรเลย ยังคงขับร้องด้วยสายตาเหม่อลอย:
“โอ้ พระอาทิตย์ของข้า!”
เพียงพริบตา ในสมองของลูเมี่ยนและฟรังก้า ราวกับมีดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นมาลูกหนึ่ง สว่างจ้าจนลืมตาไม่ขึ้น ความคิดก็เฉื่อยชาไปด้วย
ทั้งคู่หลบหลีกโดยสัญชาตญาณ คนหนึ่งหลบเข้าเงา ผิวเคลือบด้วยน้ำแข็งสีใส อีกคนรีบกลิ้งไปข้างถนน พร้อมกับแปลงโฉมด้วยใบหน้าของไนเซอร์
พอ ‘แสงอาทิตย์’ จางหายไป พวกเขาก็ไม่เห็นทั้งชายที่สงสัยว่าเป็นโลกิ รวมถึง ‘คนเดินถนน’ ผู้ขับร้องอีกเลย
พ่อค้าแม่ค้าแผงลอย และผู้คนสัญจรใกล้เคียง ต่างมองมาทางนี้ด้วยสายตาประหวั่น ส่วนคนที่อยู่ใกล้กว่า หลับตาแน่น น้ำตาไหลอาบ
……………………………………………………..