ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 380 เสียงระฆัง
- Home
- All Mangas
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 380 เสียงระฆัง
ตอนที่ 380 เสียงระฆัง
หลังจากหายนะที่หมู่บ้านกอร์ตู ลูเมี่ยนไม่เพียงได้รับอิทธิพลจากพลังชะตากรรมที่ถูกผนึกในร่าง รวมถึงที่กระจายอยู่โดยรอบ จนต้องติดอยู่ในวงวนอันไร้สิ้นสุด แต่ยังฝันถึงแดนฝันแท้จริง ไม่เพียงเท่านั้น พวกนักสืบอย่างไรอันหรือลีอา ซึ่งล้วนหลับใหลเมื่อมาในเขตหมู่บ้าน ก็ยังกลายเป็นส่วนหนึ่งของแดนฝัน
ในเวลานั้น ลูเมี่ยนที่ยังเป็นมือใหม่ศาสตร์เร้นลับ ไม่ได้มองว่ามันเป็นปัญหา จนกระทั่งไปขอให้มิสเตอร์กวีช่วยตีความสัญลักษณ์ในฝัน จึงได้ทราบว่าแดนฝันดังกล่าว มิได้เกิดจากพลังของเทอร์มีโพลอส และไม่ใช่ผลจากผนึกของมิสเตอร์ฟูล แต่มาจากแหล่งอื่น เป็นตัวแทนของการปกป้องและปลอบโยน
นับแต่นั้นมา เขาก็ครุ่นคิดหาที่มาของแดนฝันแท้จริง แต่ก็ยังไม่พบคำตอบ เพราะมีความเป็นไปได้มากมายเหลือเกิน มาตอนนี้ หลังจากที่ฟรังก้าช่วยอธิบายจุดเด่นของเส้นทาง ‘รัตติกาล’ เมื่อผนวกเข้ากับประสบการณ์ระหว่างชุมนุม เด็กหนุ่มก็ผุดข้อสันนิษฐาน:
เส้นทางรัตติกาลไม่เพียงทำให้ฝันร้าย เป็นตัวแทนฝันร้าย แต่ยังสร้างแดนฝันแท้จริงได้ด้วย!
มาดามเฮล่าคงจะพบว่าโอลัวร์ประสบเหตุ จึงรีบรุดมายังหมู่บ้านกอร์ตู แต่ก็ไม่ทันการ จึงตัดสินใจใช้พลังของสมบัติปิดผนึก ช่วยให้เราเข้าสู่แดนฝันแท้จริง ปลอบประโลมจิตใจและจิตวิญญาณของเรา?
ไม่สิ เธอไม่จำเป็นต้องปิดบังเรา ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้… จะปิดบังไปทำไม?
และถ้าเป็นฝีมือเธอ ก็ไม่น่าจะมีพลังหลับใหล ‘รั่ว’ หรือ ‘หลงเหลือ’ ทิ้งไว้แบบนั้น…
หรือว่าการใช้คาถาเกี่ยวกับพลัง ‘ปกปิด’ เพื่อเข้าร่วมการชุมนุม พอทำไปนานเข้า โอลัวร์ก็ถูกสมบัติปิดผนึกปนเปื้อน หรือทำเครื่องหมายไว้ เมื่อร่างกายของเธอแตกสลาย สมบัติปิดผนึกก็ตรวจพบความเปลี่ยนแปลง จึงตอบสนองตามกลไก แม้จะช่วยโอลัวร์ไว้ไม่ได้ แต่ก็นำพาแดนฝันแท้จริงมาให้เรา?
อา… ลีอากับวาเลนไทน์ถูกบังคับให้หลับใหลใกล้กับภูเขาสีเลือด ซึ่งก็คือสถานที่บูชายัญ ใกล้กับยักษ์สามเศียรหกกรนั่น จุดนี้สอดคล้องกับข้อสันนิษฐานของเรา ที่สงสัยว่าต้นตอของพลังความฝัน เกี่ยวพันกับโอลัวร์อย่างใกล้ชิด…
ฟรังก้าเห็นลูเมี่ยนเงียบไปนาน คล้ายกำลังครุ่นคิดจริงจัง จึงไม่รีบขัดจังหวะ แต่รอจนกระทั่งสายตาของเด็กหนุ่มเปลี่ยนไป หลุดพ้นจากโลกส่วนตัว จึงค่อยเอ่ยถาม
“คุณนึกอะไรออกหรือ”
“คุณยังจำหายนะในหมู่บ้านกอร์ตูที่ผมเล่าได้ไหม… ใกล้กับภูเขาสีเลือด ซึ่งแปรเปลี่ยนจากสถานที่บูชายัญ มีอาณาเขตที่เหมือนถูก ‘กลางคืน’ ครอบงำ ทำให้ทุกคนที่เข้าไปต้องหลับใหลโดยไม่อาจต้านทาน จนฝันถึงแดนฝันแท้จริง” ลูเมี่ยนอธิบายรวบรัด
ฟรังก้ายิ่งฟังก็ยิ่งตกใจเจือหวาดหวั่น
“หรือว่า… หรือว่ามาดามเฮล่าก็มีปัญหา?”
“ผมว่าไม่ใช่” ลูเมี่ยนส่ายหัว แล้วเล่าสมมติฐานของตนออกไป โดยเน้นเฉพาะจุดสำคัญ
ฟรังก้าถอนหายใจยาวโดยไม่ปิดบัง
“นี่สอดคล้องกับสภาพที่เกิดเหตุมากกว่าจริงๆ …”
“แล้วก็ คุณไม่สังเกตหรือ ส่วนแรกของ ‘คาถาเข้าร่วม’ คือการสวดพระนามอันทรงเกียรติสามท่อนตามตำรา แสดงว่าสมบัติปิดผนึกชิ้นดังกล่าว จะต้องเป็นตะกอนพลังมีสัญญาณชีพ หรือครั้งหนึ่งเคยมีชีวิต สำหรับสมบัติปิดผนึกลักษณะนี้ หากมันจะสร้างอิทธิพลเล็กๆ ต่อผู้ที่สวดวิงวอนถึง ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร”
ลูเมี่ยนคิดทบทวนอย่างถี่ถ้วน แล้วพบว่าคำอธิบายนี้ฟังขึ้น
ทั้งคู่พูดคุยและตกลงกันว่า ลูเมี่ยนจะหาเวลาไปที่บาร์หัวเดียวกระเทียมลีบ เพื่อตรวจสอบเบื้องต้นก่อน
…………
กลับมาถึงโรงแรมระกาทอง ลูเมี่ยนปิดม่านหน้าต่าง นั่งลงที่โต๊ะ เขียนจดหมายถึงมาดามเมจิกเชี่ยนใต้แสงโคมไฟคาร์ไบด์
เนื้อหาของจดหมายเน้นไปที่ การแสดงออกและคำตอบของเกราะซ่อนเงา พร้อมถามถึงสถานการณ์ของเทพสุริยันบรรพกาล และความสัมพันธ์ระหว่างเทพโบราณองค์นี้กับชุมนุมแสงเหนือ
เนื่องจากดึกมากแล้ว ลูเมี่ยนจึงรอจนกระทั่งตื่นเอง ‘ตามธรรมชาติ’ แล้วออกไปหามื้อเช้ากินก่อน จึงค่อยส่งจดหมายฉบับนี้
เที่ยงตรง มาดามเมจิกเชี่ยนตอบกลับมาในที่สุด ทำให้ลูเมี่ยนที่ย้อนกลับมายังห้อง 207 ของโรงแรมระกาทอง ไม่ต้องเดินเสียเที่ยว
“คำตอบและสถานะของเกราะซ่อนเงา ทำให้เรามีความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ของ (ว่าง) เพิ่มขึ้น”
เพียงแค่อ่านประโยคแรก ลูเมี่ยนก็ชะงักงัน
สายตาของเด็กหนุ่มจับจ้องไปที่ช่องว่างในข้อความ ไม่เข้าใจว่ามาดามเมจิกเชี่ยนตั้งใจล้อเล่น หรือว่าเนื้อหาของจดหมายถูกบิดเบือนด้วยพลังบางอย่าง
จากความเข้าใจที่มีต่อ ‘เมจิกเชี่ยน’ ลูเมี่ยนคาดเดาเบื้องต้นว่า หลังจากเธอเขียนประโยคทั้งหมดอย่างราบรื่น แล้วพบว่ามีข้อมูลบางอย่างที่ตนยังไม่ควรรู้ในตอนนี้ แต่เธอขี้คร้านจะถมดำแล้วลงอาคมต่อต้านการทำนาย หรือเปลี่ยนกระดาษแผ่นใหม่แล้วเขียนใหม่ จึงใช้พลังบางอย่างลบคำนั้นออกไปเลย
เรื่องอะไรที่เราไม่ควรรู้? ก็แค่อีกโลกหนึ่งไม่ใช่หรือไง… ลูเมี่ยนรำพันพลางอ่านประโยคถัดไป
“นี่ของดีเลยนะ แต่ตอนนี้ยังใช้ประโยชน์ไม่ได้ แม้ว่ามิสเตอร์แฮงแมนจะดีใจมากก็ตาม”
“อีกสักพัก พอเขาพร้อมแล้ว ก็อาจรบกวนให้เธอช่วยอัญเชิญเกราะซ่อนเงาออกมาใหม่ โดยเขาจะเป็นคนจัดหาทองคำ เพื่อแลกกับโอกาสในการถาม”
“คำถามให้เขาคิดเอง หน้าที่ของเธอคือการสื่อสาร ส่วนสองถ้วยก็คอยแปล อา… อย่าลืมเรียกค่าตอบแทนจากมิสเตอร์แฮงแมนด้วยล่ะ”
มิสเตอร์แฮงแมน… ลูเมี่ยนทวนโค้ดเนมนี้ สายตาเลื่อนลงไปที่ด้านล่างจดหมาย
“ปัญหาเกี่ยวกับเทพสุริยันบรรพกาลถือว่าซับซ้อนมาก ฉันเองก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก ตอนนี้บอกได้เพียงว่า พระองค์คือผู้ปกครองสูงสุดในช่วงประวัติศาสตร์ยุคที่สาม เป็นผู้สิ้นสุดยุคที่สอง ซึ่งถูกปกครองโดยเหล่าเทพบรรพกาลผู้โหดร้าย นำพาแสงสว่างมาสู่มนุษย์เรา”
“ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ที่ชุมนุมแสงเหนือศรัทธา กับเทพสุริยันบรรพกาล ก็ซับซ้อนไม่แพ้กัน และการทำความเข้าใจก็ยังมีความเสี่ยง ให้เธอคิดเสียว่า พระองค์คือผู้สืบทอดมรดกครึ่งหนึ่งจากเทพสุริยันบรรพกาล ส่วนอีกครึ่งแบ่งกันโดยเทพบางองค์ในหมู่เจ็ดเทพ จนนำไปสู่ ‘ยุคแห่งทวยเทพ’ หรือที่เรามักเรียกว่ายุคที่สี่”
หากกล่าวว่ายุคที่สี่มีประวัติศาสตร์ ตำนาน เอกสาร และวัตถุหลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิด ยุคที่สามกับยุคที่สองก่อนหน้านั้น ก็แทบจะเหลือแค่ในพระคัมภีร์ของศาสนาใหญ่ ใกล้เคียงกับเทพนิยาย ลูเมี่ยนรู้เพียงว่ายุคที่สามถูกเรียกว่า ‘ศักราชแห่งหายนะ’ ส่วนยุคที่สองถูกเรียกว่า ‘ศักราชมืด’
จากคำพูดไม่กี่คำของมาดามเมจิกเชี่ยน เด็กหนุ่มกลับรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ สัมผัสถึงเสน่ห์ของประวัติศาสตร์อันเก่าแก่
เหล่าเทพบรรพกาลผู้โหดร้าย เทพสุริยันบรรพกาลผู้ยุติศักราชมืดของมนุษยชาติ ผู้ปกครองสูงสุดแห่งยุคที่สาม ซึ่งไม่รู้ว่าร่วงหล่นไปด้วยเหตุผลกลใด รวมถึง ‘ยุคแห่งทวยเทพ’ ที่ถือกำเนิดบนร่างไร้วิญญาณของพระองค์…
เทพบรรพกาลพระองค์นี้ เหตุใดจึงให้กำเนิดทายาทอย่างอามุนด์? แล้วแม่ของอามุนด์เป็นใคร? อามุนด์กับผู้ที่ชุมนุมแสงเหนือศรัทธา ยังมีความเชื่อมโยงกันอยู่ไหม? ยิ่งลูเมี่ยนคิด ก็ยิ่งรู้สึกว่าเทพสุริยันบรรพกาลมีปัญหาด้านการอบรมสั่งสอนบุตร
เด็กหนุ่มเริ่มชื่นชอบเทพองค์นี้ มิใช่เพียงเพราะพระองค์ยุติการปกครองของเหล่าเทพบรรพกาล นำพารุ่งอรุณมาสู่มนุษย์เท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะพระองค์อาจเป็น ‘ผู้ข้ามมิติ’ ยุคโบราณ มาจากโลกเดียวกับโอลัวร์และจักรพรรดิโรซายล์
ในทำนองเดียวกัน ลูเมี่ยนเริ่มเข้าใจว่า เหตุใดมิสเตอร์ K กับชุมนุมแสงเหนือถึงเกลียดชังผู้ศรัทธาเทพมารนัก เพราะองค์ผู้ยิ่งใหญ่ที่พวกเขาศรัทธานั้น สืบทอดมรดกจากเทพสุริยันบรรพกาลนี้เอง
เปลวไฟพวยพุ่ง เผาจดหมายในมือลูเมี่ยนจนมอดไหม้
เด็กหนุ่มเก็บกวาดเล็กน้อย สวมต่างหูสีเงินที่เป็นรูปลักษณ์ปัจจุบันของ ‘คำลวง’ ปรับเปลี่ยนหน้าตาของตน เพื่อมิให้ใครนึกถึงลูเมี่ยน·ลี
จัดการเสร็จ เขาถอดคำลวงออกทันที ใส่มันไว้ในกระเป๋าลับบนเสื้อผ้า
ตามประสบการณ์การใช้ช่วงนี้ รูปลักษณ์ที่เปลี่ยนด้วย ‘คำลวง’ จะไม่หายไปหลังจากถอด ‘คำลวง’ ออก นี่เป็นการปรับเปลี่ยนในระดับเนื้อหนัง หากอยากกลับสู่รูปเดิม ต้องใช้ ‘คำลวง’ ปรับอีกครั้ง
ลูเมี่ยนสะพายกระเป๋า ก้าวออกจากโรงแรมระกาทอง
ระหว่างทางสู่ถนนใหญ่ตลาด เขาได้ยินเสียงระฆังตีบอกเวลา แจ้งว่าบ่ายโมงมาถึงแล้ว
ลูเมี่ยนหยิบนาฬิกาพกเรือนทองที่ยืมมาจากคาบาเร่ต์ลมเอื่อย ปรับเวลาให้ตรงกับหอนาฬิกาไกลๆ
นาฬิกาเรือนนี้ เดินช้ากว่าเวลาจริงหนึ่งนาทีทุกสองสามวัน
ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง ลูเมี่ยนมาถึงถนนเพรง
เขาเดินเหมือนเดินเล่นไปยังบาร์หัวเดียวกระเทียมลีบ สายตาเหลือบมองคาบาเร่ต์แกะดำอย่างแนบเนียน
ที่นั่นยังไม่มีลูกค้าเท่าไร การ์ดหน้าร้านสามคนที่สวมแว่นตาข้างเดียวตรงตาขวา พิงตัวตามจุดต่างๆ อย่างเกียจคร้าน คุยเล่นสลับกับเหม่อลอย
พนักงานส่งจดหมายในเครื่องแบบสีน้ำเงินลายนูน จอดจักรยานไว้ข้างทาง ถือจดหมายหนึ่งปึก เดินไปยังตู้จดหมายหน้าคาบาเร่ต์แกะดำ
เขาก็สวมแว่นตาข้างเดียวตรงตาขวาด้วยเช่นกัน
ลูเมี่ยนมองจนรู้สึกขนลุก ก่อนจะละสายตา เดินเข้าไปในบาร์หัวเดียวกระเทียมลีบ
บาร์แห่งนี้ ไม่ค่อยสว่างอย่างไรก็อย่างนั้น แม้จะยามเที่ยงวัน ก็ยังค่อนข้างมืดทึบ ไม่มีลูกค้าอื่นไปอีกสักพัก
บาร์เทนเดอร์ประจำบาร์ไม่ใช่คนเดิม แต่กลับเป็นลีอา นักสืบจากหน่วยแปดที่ลูเมี่ยนรู้จัก!
เธอสวมเสื้อเชิ้ตขาว ผูกหูกระต่าย มากับกระโปรงดำยาวเลยเข่า รวบผมเรียบง่าย ผูกกระดิ่งเงินใบเล็ก การแต่งกายเปลี่ยนไปจากเดิม แฝงเสน่ห์ไว้คนละแบบ
“ยิน ออนเดอะร็อก” ลูเมี่ยนหย่อนก้นลงบนม้านั่งสูงหน้าบาร์ เคาะโต๊ะ
เด็กหนุ่มหัวเราะพลางถาม
“ทำไมเปลี่ยนบาร์เทนเดอร์ล่ะ”
ลีอามองเขา หัวเราะเล่นหูเล่นตา
“คุณลูกค้า กฎหมายไม่ได้ห้ามจ้างบาร์เทนเดอร์มากกว่าหนึ่งคน ไม่อย่างนั้น เขาคงได้ทำงานจนหมดแรงตายเสียก่อน”
“นั่นสินะ” ลูเมี่ยนจ่ายเหรียญ 8 ริกต์ รอเหล้ายินใส่น้ำแข็งเสิร์ฟ
เด็กหนุ่มดื่มราวสิบนาที ก่อนถามอย่างไม่ใส่ใจ
“ที่นี่มีเครื่องพิมพ์ดีดไหม ผมนึกขึ้นได้ว่ามีงานเอกสารค้างอยู่”
ลีอาตอบพลางเช็ดแก้วเหล้า
“ห้องข้างๆ โรงละครหุ่นใต้ดิน มีเครื่องพิมพ์ดีดสำหรับเขียนบทละคร ค่าใช้บริการ 2 ริกต์ กระดาษแผ่นละ 1 โกเปต์”
“แพงนะเนี่ย…” ลูเมี่ยนพึมพำลุกขึ้น ถือแก้วเดินลงห้องใต้ดิน
เด็กหนุ่มมีปมกับโรงละครหุ่นนั่นไม่เบา จึงไม่เข้าใกล้ แต่เลี้ยวเข้าห้องด้านข้างทันที
ในห้องมีเครื่องพิมพ์ดีดกลไกสีทองเหลืองตั้งอยู่ ด้านข้างมีชายคนหนึ่ง นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ไม่พูดไม่จา
ลูเมี่ยนพิมพ์เอกสารสั้นๆ ตามที่เตรียมไว้ล่วงหน้า
ลักษณะการสึกหรอของอักษรบางตัวบนเอกสารที่เพิ่งพิมพ์เสร็จ ตรงกับในเอกสารของโลกิทุกประการ
ลูเมี่ยนพยักหน้าบางๆ จนแทบสังเกตไม่เห็น จ่ายค่าใช้บริการกับค่ากระดาษให้ชายที่ไม่เปล่งเสียงเลยจนถึงตอนนี้ แล้วรีบเดินออกจากห้องใต้ดินอันชวนขนหัวลุก
เด็กหนุ่มเพิ่งกลับมาถึงล็อบบี้ของบาร์ ก็พลันรู้สึกเหม่อลอยชั่วขณะ ได้ยินเสียงระฆังดังก้องข้างหู
ไม่นานก็ได้สติกลับมา ลูเมี่ยนรีบมองไปทางลีอา แต่เธอกลับดูไม่มีอาการผิดปกติใดเลย
“คุณได้ยินเสียงระฆังไหม” ลูเมี่ยนวางแก้วไว้บนบาร์
ลีอาขมวดคิ้ว
“ยังไม่เต็มชั่วโมงเลย ระฆังจะดังได้อย่างไร”
เมื่อผ่านคาบาเร่ต์แกะดำ เขาพบว่าตอนนี้การ์ดแว่นตาข้างเดียวหน้าประตูเหลือเพียงสอง ส่วนพนักงานส่งจดหมายก็หายไปแล้ว
ลูเมี่ยนไม่มองนาน รีบออกจากถนนสายนี้
บนรถม้าสาธารณะกลับเขตตลาด เสียงระฆังบ่ายสองดังตรงเวลา ลูเมี่ยนหยิบนาฬิกาพกขึ้นมาดูโดยสัญชาตญาณ
เขาตกใจพบว่า นาฬิกาที่เพิ่งปรับเวลาไปเมื่อชั่วโมงก่อน กลับเดินช้าไปอีกแล้ว
ช้าไปหนึ่งนาที
……………………………………………………..