ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 371 หุ่นขี้ผึ้ง
- Home
- All Mangas
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 371 หุ่นขี้ผึ้ง
ตอนที่ 371 หุ่นขี้ผึ้ง
จากแม่น้ำสีเลือด ร่างหนึ่งบรรจงคลานขึ้นมา
ด้วยเหตุผลบางอย่าง ลูเมี่ยนเหมือนถูกข่มขวัญ ความคิดกลายเป็นเชื่องช้า ไม่ยอมโจมตีเข้าไปทันที เอาแต่จ้องร่างดังกล่าวคลานขึ้นฝั่ง
อีกฝ่ายเป็นชายแปลกหน้า ใบหน้าดูแข็ง ดูหม่นหมอง เสื้อผ้าแช่น้ำจนอ่อนตัว ช่วยให้ลูเมี่ยนเห็นว่ามันผสานเป็นเนื้อเดียวกับผิวหนัง
นี่คือหุ่นขี้ผึ้ง หุ่นขี้ผึ้งมีชีวิต!
เลือดสีแดงสดหยดออกจากหุ่น ผสมปนเปกับน้ำที่ไหลโชก กระทบพงหญ้าริมฝั่งไม่ขาดสาย
ท่ามกลางเสียงหยด ดวงตาสีฟ้าอ่อนพื้นขาวของหุ่นขี้ผึ้งกลอกไปมาเล็กน้อย สะท้อนร่างของลูเมี่ยนอย่างพร่าเลือน
เพียงแค่ถูกสายตาดังกล่าวจ้องมอง สมองของลูเมี่ยนก็พลันว่างเปล่า ราวกับหลีกหนีการสบตา ทั้งกายใจถูกข่มขวัญจนไม่กล้าต่อต้าน
แต่ไม่นาน สัญชาตญาณการเอาตัวรอดเริ่มเอ่อล้นในใจลูเมี่ยน ยิ่งเวลาผ่านไปก็ยิ่งเข้มข้น
ในที่สุด มันก็ปะทุเต็มพิกัด ครอบงำอารมณ์และสภาวะอื่นโดยสิ้นเชิง
วิสัยทัศน์ของลูเมี่ยนกลับคืนมาอีกครั้ง
ขณะนี้ ในการมองเห็นของเด็กหนุ่ม ใบหน้าอันแข็งทื่อเจือความหม่นหมองของหุ่นขี้ผึ้ง อยู่ห่างจากตนไม่ถึงหนึ่งเมตร ฝ่ามือสีซีดที่ยังเลือดไหลไม่หยุด กางนิ้วทั้งห้าออก แต่ละนิ้วคมกริบดุจใบมีด พุ่งเข้าใส่ในพริบตา
ลูเมี่ยนตอบสนองอย่างอื่นไม่ทัน สัญชาตญาณสั่งให้ยกมือขวาปัดป้องจากด้านหน้า
เกิดเสียงปะทะดังระงม นิ้วมือสีขาวซีด คมยิ่งกว่ามีดสั้น ถูกป้องกันไว้โดยถุงมือสนับ ‘ทุบตี’ สีดำเหล็ก ประดับหนามสั้น
ในส่วนที่ไม่ถูกถุงมือป้องกัน ปลายนิ้วของหุ่นขี้ผึ้งทะลวงผ่านข้อมือลูเมี่ยน กรีดลงบนใบหน้าเด็กหนุ่มจนทิ้งรอยแผล
หากมิใช่เพราะเขาหลุดจากภาวะถูกข่มขวัญทันเวลา การโจมตีเมื่อครู่คงทะลุกะโหลกเข้าไปถึงสมอง
ความเจ็บปวดที่คุ้นเคยดี กระตุ้นให้ลูเมี่ยนตื่นตัวยิ่งกว่าเก่า หมัดซ้ายกำแน่น ประกายไฟสีแดงฉานลุกโชน กระแทกหมัดเต็มแรงใส่โหนกแก้มหุ่นขี้ผึ้ง
ขณะเดียวกัน เด็กหนุ่มคลี่ยิ้ม มือขวากำเข้าหาลำตัว อาศัยแรงเสียดทานของเนื้อหนัง เหนี่ยวรั้งมือขวาหุ่นขี้ผึ้งไว้ ปิดตายการหลบหนีของมันครู่หนึ่ง
เปรี้ยง!
ถุงมือสนับ ‘ทุบตี’ กระแทกศีรษะหุ่นขี้ผึ้งจนเอียงข้าง หนามสั้นสีดำเหล็กขูดกับใบหน้าแข็งทื่อ สร้างรอยขีดข่วนจากลึกไปตื้น
หุ่นขี้ผึ้งกลับมีเลือดสดสีแดงไหลรินปานคนจริง แต่บาดแผลตรงที่แตก กลับไม่มีร่องรอยเนื้อเยื่อเลย มีเพียงขี้ผึ้งซ้อนทับหลายชั้น แถมยังอ่อนตัวเหมือนกำลังละลายเพราะไฟเผา
จากนั้น ดวงตาสีฟ้าอ่อนของหุ่นขี้ผึ้ง กลับเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยสีแดงปูดโปน ส่งต่อความกระหายเลือดอย่างแรงกล้า จากภายในสู่ภายนอก
นี่ทำให้มันดูมีชีวิตชีวายิ่งกว่าเก่า ใกล้เคียงมนุษย์ยิ่งกว่าเก่า
ที่ลูเมี่ยนเลือกใช้ถุงมือสนับ ‘ทุบตี’ ก็เพราะมันคือสมบัติวิเศษที่ทรงพลังที่สุดของเขา อีกทั้งเทอร์มีโพลอสยังเรียกศัตรูว่าตัวอันตราย เด็กหนุ่มจึงไม่กล้าประมาท แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงคือ ผู้ไล่ล่ากลับมิใช่คน แต่เป็นหุ่นขี้ผึ้ง
กล่าวคือ พลังในการกระตุ้นแรงกระหายหรืออารมณ์ของถุงมือ ‘ทุบตี’ คงไม่แคล้วต้องไร้ผล เป็นได้เพียงอาวุธสำหรับป้องกันตัว
หากมิใช่เพราะเพิ่งถูกข่มขวัญโดยไม่ทันตั้งตัว ลูเมี่ยนคงถอดถุงมือโยนทิ้งไปแล้ว เปลี่ยนไปติดเข็มกลัดมีหน้ามีตาแทน แต่ตอนนี้ ในเมื่อศัตรูอยู่แทบจะกระชั้นชิด ก็จำเป็นต้องใช้ถุงมือต่อไปก่อน โดยเน้นไปที่การ ‘อัดไฟ’ แทน กระทั่งวิชาฮึ่มฮ่าก็ไม่กล้าลอง ด้วยเกรงว่าจะไม่ได้ผลกับตัวประหลาด
สิ่งที่ทำให้ลูเมี่ยนต้องแปลกใจอีกครั้ง คือหมัดเมื่อสักครู่ดันไปกระตุ้นความกระหายเลือดของหุ่นขี้ผึ้งเข้า
ดูเหมือนอีกฝ่ายยังพอมีชีวิตอยู่ ยังพอมีอารมณ์ ยังพอมีแรงกระหายติดตัวอยู่กระผีกหนึ่ง!
“ยังมีชีวิตก็ดีแล้ว!” รอยยิ้มบนใบหน้าลูเมี่ยนชัดเจนยิ่งขึ้น
เด็กหนุ่มกระชากมือขวากลับ กัดฟันทนต่อความเจ็บปวด โดยในเวลาเดียวกัน กำปั้นที่มีไฟลุกท่วม พุ่งกระแทกหัวของหุ่นขี้ผึ้งอีกครั้ง จากที่เอียงกลับไปตั้งตรงตามเดิม
หุ่นขี้ผึ้งที่ถูกขยายความกระหายเลือด ไม่คิดจะถอยห่าง หรือกลับไปใช้พลังข่มขวัญแบบเดิม สัญชาตญาณสั่งให้แลกหมัดกับลูเมี่ยนอย่างบ้าคลั่ง
บังเอิญว่าตรงกับสิ่งที่ลูเมี่ยนต้องการพอดี เด็กหนุ่มอาศัยถุงมือสนับสีดำเหล็กติดหนามสั้น หุ้มด้วยเปลวไฟสีแดงฉาน กระหน่ำชกสั้นความเร็วสูง รัวหมัดใส่แขน กำปั้น ไหล่ ลำตัว และหัวของหุ่นขี้ผึ้งอย่างต่อเนื่อง
แต่ละหมัดมิได้รุนแรงเลย เพียงหวังผลจาก ‘ความถี่’ เท่านั้น!
ปังๆๆ ปักๆๆ ถุงมือ ‘ทุบตี’ ของลูเมี่ยนทั้งสองข้าง สร้างเส้นเปลวไฟสีแดงฉาน รุกหนักใส่หุ่นขี้ผึ้งที่มิได้งุ่มง่าม ค่อนไปทางคล่องแคล่วเสียด้วยซ้ำ ฝีมือหมัดมวยเก่งฉกาจพอตัว จนมันไม่มีโอกาสได้ใช้พลังอื่น
เด็กหนุ่มย่ำเท้าไปข้างหน้าสลับกัน บางคราวก็ชันเข่า ตั้งรับการโจมตีจากเบื้องล่าง
ผ่านไปสักสิบถึงยี่สิบวินาที หุ่นขี้ผึ้งพลันหยุดชะงัก มีเสียงมายาคล้ายระเบิดดังจากภายในร่าง
เส้นเลือดฝอยในดวงตาระเบิดออกทันที ย้อมสีฟ้าอ่อนให้แดงก่ำ ขณะเดียวกัน ศีรษะของมันเริ่มปริแตกจากภายในสู่ภายนอก เชื่อมต่อเป็นเส้นเดียวกับรอยแผลที่ ‘ทุบตี’ สร้าง
จุดระเบิดแรงกระหาย!
ภายใต้การกระหน่ำโจมตีความถี่สูงของลูเมี่ยน คุณสมบัติ ‘จุดระเบิดแรงกระหาย’ จากถุงมือ ‘ทุบตี’ ได้ถูกกระตุ้น!
เห็นภาพดังกล่าว ลูเมี่ยนชักมือกลับ เงียบมองดวงตาสีเลือดของหุ่นขี้ผึ้ง ซึ่งกำลังเผยความเจ็บปวด
น้ำตาสีแดงสองหยดเริ่มคั่งอยู่ตรงหางตา แล้วไหลรินลงมา
หุ่นขี้ผึ้งอ้าปาก ราวกับอยากจะพูดบางสิ่ง แต่ก็ไม่มีเสียงใดเล็ดลอด
บรึม!
เสียงระเบิดทึบๆ ดังจากภายในร่างมัน บาดแผลฉกรรจ์ปรากฏขึ้นทั่วร่างกาย
เปลวไฟแดงฉานลุกโชนจากแผลเหล่านั้น แผดเผาหุ่นขี้ผึ้งจนมอดไหม้
อัดไฟ!
ภายใต้การแผดเผาอันทรงพลัง หุ่นขี้ผึ้งละลายเร็วมาก ทั้งตัวมีแต่หยดเหนียวหนืดเปื้อนเลือด
ตุ้บ!
มันล้มลงไปกับพื้น
นี่มันตัวอะไร? ลูเมี่ยนจ้องอยู่สิบกว่าวินาที อาศัยมุมมองของนักล่า รีบสรุปโดยสัญชาตญาณว่า เหยื่อคงไม่ควบแน่นตะกอนพลังหลังจากเสียชีวิต
ระหว่างนี้ เด็กหนุ่มหยิบกระเป๋าเอกสารขึ้นมา ใส่ถุงมือสนับ ‘ทุบตี’ กลับเข้าไป
ลูเมี่ยนไม่รอช้า หมุนตัวเดินออกจากป่า
ด้านหลังเด็กหนุ่ม เปลวไฟสีแดงลอยละล่อง คอยเผาไหม้เลือดที่หยดจากตัวเขา
ท่ามกลางเปลวไฟลุกโชน หุ่นขี้ผึ้งละลายจนไม่เหลือเค้าโครงมนุษย์แล้ว ส่วนร่างของลูเมี่ยนค่อยๆ จางลง จนกระทั่งหายวับไปในตำแหน่งไม่ไกล
ข้ามโลกวิญญาณ!
เด็กหนุ่ม ‘เทเลพอร์ต’ ไปยังเมืองเล็กเบื้องหน้า เพื่อหลบเลี่ยงสายตาของเทพมาร หลีกหนีตัวอันตรายที่ถุงมือ ‘ทุบตี’ ชักนำมา
สำหรับเมืองนี้ เขาเคยสำรวจล่วงหน้าแล้ว จึงทราบพิกัดในโลกวิญญาณดี
ผ่านไปอีกไม่กี่สิบวินาที บนถนนผ่านป่าที่เหลือเปลวไฟลุกโชนอยู่ไม่มาก ทิวทัศน์รอบข้างพลันกลายเป็นทุ่งร้างแตกระแหง
วัชพืชเริ่มเติบโตจนหนาแน่น ร่างในชุดคลุมยาวสีขาวปรากฏเค้าโครงในพริบตา
ร่างดังกล่าวสวมผ้าคลุมหน้าสีอ่อน ท้องน้อยป่องชัดเจน แผ่ออร่าตัวมารดาจนจับต้องได้ ไม่ใช่ใครนอกจาก ‘มาดามจันทรา’ แห่งชุมนุมท่องราตรี
มาดามจันทราจ้องหุ่นขี้ผึ้งเปื้อนเลือด ซึ่งละลายจนแทบไม่เหลือซากแล้ว มองดูเปลวไฟสีแดง กำลังเต้นระริกอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบงัน
หลังจากใคร่ครวญอยู่สิบกว่าวินาที มาดามท่านนี้ก็หายลับไปพร้อมกับทิวทัศน์ทุ่งร้างแตกระแหง
…………
ในห้องหนึ่งของเรือนหลักปราสาทหงส์แดง
เคานต์ปุยฟ์ในเสื้อเชิ้ตสีแดง กางเกงขายาวรัดรูปสีดำ กำลังนั่งอยู่ตรงโต๊ะรกๆ เอาแต่จ้องศีรษะหุ่นขี้ผึ้งตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชา
เศียรนี้แกะสลักได้เหมือนจริงยิ่งนัก ตาสีฟ้าอ่อน ผมสีดำอมเทา
ท่ามกลางการรอคอยอันเงียบงัน เคานต์ปุยฟ์ดูกระสับกระส่าย คอยกระตุกปกเสื้อเป็นระยะ หรือเปลี่ยนท่านั่ง แกะกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบน ราวกับอากาศเบาบางเหลือเกิน จนเขาหายใจได้ไม่สะดวกนัก
จากวินาทีเป็นนาที จนกระทั่งเศียรหุ่นขี้ผึ้งนั่น ส่งเสียงปริแตกกะทันหัน
มันแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่ละชิ้นละลายจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม
ปุยฟ์ลุกพรวดด้วยท่าทีตกตะลึง รูม่านตาขยายกว้างกะทันหัน
ในดวงตาของเขา เส้นเลือดฝอยทยอยโป่งขึ้น บางเส้นปริแตก ฉาบดวงตาจนแดงฉาน
“ถูกจัดการไปแล้ว?” ปุยฟ์พึมพำด้วยความตกใจปนสงสัย
ชาร์ล·ดูบัวส์ทั้งลึกลับ ทั้งทรงพลังกว่าที่ตนคิดไว้เสียอีก!
หรือต่อให้เขาไม่ทรงพลัง แต่ฝ่ายที่หนุนหลังต้องใช่แน่!
เคานต์ปุยฟ์วนไปเวียนมา สีหน้ายังคงฉาบด้วยความทึ่ง
…………
หลังจาก ‘เทเลพอร์ต’ มาถึงเมืองเล็กเบื้องหน้า ลูเมี่ยนไม่รีบโผล่ตัว เพียงซ่อนอยู่ในความมืด พลางคำนวณเวลา
เมื่อกะเกณฑ์ว่า ‘นักล่า’ ควรวิ่งจากถนนในป่านั่นมาถึงเมืองนี้ได้แล้ว เด็กหนุ่มจึงเดินเข้าเมือง หาคนขับรถม้า พากันกลับบ้านเลขที่ 11 ถนนน้ำพุ เขตหอรำลึก
ในห้องที่เต็มไปด้วยชั้นหนังสือ ลูเมี่ยนมองการ์ดเนอร์·มาร์ตินที่ถือซิการ์ในมือ แล้วพูดอย่างซื่อตรง
“ผมถูกโจมตี”
เรื่องนี้ปิดบังบอสไม่ได้อยู่แล้ว
“หือ?” การ์ดเนอร์·มาร์ตินส่งเสียงขึ้นจมูก แสดงความสงสัย
ลูเมี่ยนเล่าด้วยท่าทางจริงใจ ไล่ตั้งแต่ตอนที่ตนเลือกเค้กพระราชาต่อจากเคานต์ปุยฟ์ แต่กลับสัมผัสได้ว่ามีวิญญาณบ้าคลั่งลอยวนเวียนรอบตัว พยายามรุกล้ำเข้ามา จนถึงตอนที่ใช้ ‘อัดไฟ’ ระเบิดหุ่นขี้ผึ้งจากภายใน จนกระทั่งมันละลาย พร้อมกับแสดงบาดแผลบนมือกับใบหน้า
สิ่งที่ไม่ได้เล่าคือ ‘เขาทราบเหตุผลที่วิญญาณบ้าคลั่งไม่กล้าสิงร่างตน’ รวมถึงการใช้สนับมือทุบตี โดยให้ข้อสรุปว่า ในประเด็นแรก ตนยังเข้าใจมันไม่กระจ่าง
การ์ดเนอร์·มาร์ตินสูบซิการ์ เงียบฟังอย่างตั้งใจ มิได้ประหลาดใจเลยสักนิดที่ลูเมี่ยนไม่ถูกวิญญาณบ้าคลั่งสิงร่าง
แต่ถึงเขาจะเอะใจ หรือเผยข้อสงสัยออกมา ลูเมี่ยนก็แค่ ‘เชิญ’ มิสเตอร์ K ออกมาช่วยถล่มฐานทัพของชุมนุมกางเขนเลือดเหล็กแห่งนี้เสีย
การ์ดเนอร์·มาร์ตินถือซิการ์ที่เหลือครึ่งแท่ง ยิ้มแล้วเอ่ยปาก
“ดูเหมือนว่า สมาชิกหลักของชุมนุมกางเขนเลือดเหล็กเรา ล้วนได้รับความโปรดปรานจากวิญญาณบรรพชนมากกว่าปุยฟ์ ซ้ำยังทำให้มันหวาดกลัวด้วย”
หมายถึง… พวกผู้วิเศษที่เคยถูกบางสิ่งในบ้านเลขที่ 13 ถนนใหญ่ตลาดปนเปื้อน? ต่อให้ไม่มีออร่าจักรพรรดิโลหิตเหมือนเรา วิญญาณบ้าคลั่งนั่นก็ไม่กล้าสิงร่างสมาชิกหลักของชุมนุมกางเขนเลือดเหล็กอยู่ดี? พูดจริงหรือ… บอส คุณไปลองให้ดูหน่อยได้ไหม? ลูเมี่ยนนึกครึ้มอยากยั่วยุการ์ดเนอร์·มาร์ติน ให้ไปเล่นเกมเค้กพระราชากับเคานต์ปุยฟ์ดูบ้าง
“ตอนนี้ผมยืนยันได้เรื่องหนึ่งแล้ว” สีหน้าของการ์ดเนอร์·มาร์ตินเปลี่ยนเป็นขึงขัง “บรรพชนของตระกูลเซารอน… ฟอม็องดา·เซารอนคนนั้น มิได้ตายไปอย่างแท้จริง แต่ยังมีชีวิตอยู่ในสภาพที่พวกเราไม่อาจทำความเข้าใจ อย่างน้อยก็ในตอนนี้”
……………………………………………………..