ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 370 ไล่ไป
- Home
- All Mangas
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 370 ไล่ไป
ตอนที่ 370 ไล่ไป
เสียงร้องโหยหวนเจือความหวาดหวั่น สอดแทรกเข้ามาในโสตประสาทของแขกเหรื่อในห้องรับรองใหญ่ สั่นสะท้านจิตใจ ก่อให้เกิดความกลัวที่ไม่อาจข่มกลั้น
จิตรกรมาเลนค่อนข้างอ่อนไหว ใบหน้ากลายเป็นซีดเซียวเหมือนคนป่วย รีบหันไปมองเคานต์ปุยฟ์แล้วถามอย่างกังวล
“เกิดอะไรขึ้น?”
ขณะนี้ เคานต์ปุยฟ์กำลังขมวดคิ้ว ดูมึนงงไปบ้าง
ได้ยินคำถามของมาเลน เขาได้สติ หัวเราะอย่างผ่อนคลาย อย่างเป็นธรรมชาติ
“คงมีอุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะ เดี๋ยวผมส่งคนรับใช้ไปถามให้ ไม่ต้องกังวล เรื่องนี้ไม่ส่งผลกับเรา คิดว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นได้ล่ะ?”
พูดจบ เคานต์ปุยฟ์ก็บอกให้บุรุษรับใช้ที่ยืนตรงมุมห้อง เดินไปตามเสียงร้องโหยหวน
แล้วก็หันมาพูดกับแขกเหรื่อ
“ต่อเลย ต่อเลย”
ขณะพูด สมาชิกตระกูลเซารอนคนนี้ก็จ้องลูเมี่ยน
นับตั้งแต่ส่งทองคำให้ เขาก็คอยเก็บรายละเอียดสีหน้าท่าทางของ ‘จักรพรรดิ’ ผู้นี้ตลอด อยากรู้เหตุผลที่อีกฝ่ายได้กินเค้กพระราชาชิ้นที่มีเหรียญ มิใช่ตน
ลูเมี่ยนอดทนต่อความบ้าคลั่งเล็กๆ ที่แผ่ซ่านในกาย มองไปทางจิตรกรมาเลนแล้วพูด
“ใช้ก้นของคุณวาดมาสักภาพ”
ในฐานะราชานักแกล้งแห่งหมู่บ้านกอร์ตู เด็กหนุ่มมีอาวุธมากมายในคลังแสง เพียงพอต่อการแจกจ่ายภารกิจที่ผู้ร่วมเกมทุกคนจะ ‘ไม่มีวันลืม’
แต่นั่นมิใช่ปัญหาที่เขาใส่ใจหรือกังวลที่สุด วิญญาณเลือดที่ลอยวนเวียนอยู่ด้านบน กำลังทำให้เด็กหนุ่มพะว้าพะวัง
สิ่งประหลาด สิ่งน่ากลัวนี้มิได้จากไปเพียงเพราะมิอาจสิงร่างลูเมี่ยน ยังคงวนเวียนอยู่บนเพดาน ไม่อ่อนแอลงเลย ยิ่งกระจายความหงุดหงิด ความกระหายเลือด ความฉุนเฉียวไปทั่วอีกด้วย
ลูเมี่ยนเชื่อว่า เสียงร้องโหยหวนเมื่อครู่ ต้องเกี่ยวพันกับวิญญาณบ้าคลั่งที่ลอยวนเวียนไม่จากไปไหนนี้แน่
จิตรกรมาเลนหน้าตาหล่อเหลาแต่ซีดเหมือนคนป่วย พอได้ยินว่าต้องใช้ก้นวาดรูป ก็ตะลึงงันไปชั่วครู่ ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร
นักเขียนนิยายอาร์โนลี รวมถึงคนอื่นที่ผ่านภารกิจมาแล้ว ต่างก็ไม่อยากให้ใครรอดพ้น ไม่เพียงรบเร้าให้คนรับใช้ใกล้ๆ ไปนำสีกับกระดาษวาดเขียนมา แต่ยังออกตัว ‘ช่วย’ มาเลนปลดเข็มขัดด้วย
มาเลนหนีไม่พ้น ได้แต่ทาสีลงบนก้น พิมพ์ลงบนกระดาษวาดเขียนหลายครั้ง ให้กำเนิดผลงานคล้ายภาพวาดเล่นของเด็กอย่างทุลักทุเล
เห็นฉากดังกล่าว นักเขียนนิยายอาร์โนลีก็บรรเจิดไอเดีย
“ใส่กรอบส่งให้พวกนักวิจารณ์ศิลปะดีไหม? ผมอยากรู้ว่าพวกเขาจะวิจารณ์มันอย่างไร”
“เซ็นชื่อผู้วาดไว้แค่ ‘จักรพรรดิ’ ก็พอ ส่วนชื่อภาพ… อา… มาเลน คุณมีไอเดียบ้างไหม”
มาเลนเดินหลบสายตาทุกคน เช็ดก้นตัวเองไปพลาง คิดแล้วก็ตอบ
“เรียกมันว่า ‘ร้านกาแฟ’ ก็แล้วกัน”
“หมายถึงอะไร?” กอร์เนล บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ ‘เลอเปอตีทรีอาเรียง’ ถามด้วยความสงสัย
“ไม่มีความหมายอะไรหรอก แค่คำมันผุดขึ้นมาพอดี” มาเลนส่ายหน้า โยนผ้ากับกระดาษเนื้อนุ่มที่เปื้อนสีทิ้ง แล้วสวมกางเกงกลับไปใหม่ “ตัวภาพวาดมันก็ไม่มีความหมายอะไรอยู่แล้ว”
ขณะพูดคุยกัน บุรุษรับใช้ของเคานต์ปุยฟ์ก็เดินกลับมายังห้องรับแขกใหญ่ กระซิบข้างหูเจ้านายสองสามคำ
ได้รับอิทธิพลจากออร่าซ่อนเร้นอันบ้าคลั่งของจักรพรรดิโลหิต แม้ลูเมี่ยนจะเพ่งสมาธิ แต่ก็ยังได้ยินคำพูดอีกฝ่ายไม่ชัด จับใจความได้เพียงสองสามคำอย่างเต็มกลืน
“สูญเสีย… บาดเจ็บ… อันตราย…”
เคานต์ปุยฟ์ทำหน้าขรึมกว่าปกติ เจือความหนักใจอยู่หลายส่วน
เขาผงกศีรษะเบาๆ หนึ่งครั้ง ส่งสัญญาณให้บุรุษรับใช้กลับไปยืนประจำตำแหน่ง ส่วนตัวเองทำหน้าเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่
ลูเมี่ยนสังเกตสีหน้าท่าทางของสมาชิกตระกูลเซารอนคนนี้ไปพลาง คิดหาวิธีขับไล่วิญญาณบ้าคลั่งไปพลาง
จะให้รอจนทุกคนทำตามคำสั่งครบก็คงไม่ไหว… จริงสิ ยังขาดอีกหนึ่งขั้นตอน ในเกมเค้กพระราชาเมื่อคราวก่อน พอเล่นจบแล้ว ชิ้นเค้กที่ถวายแด่ฟอม็องดา·เซารอน ถูกเคานต์ปุยฟ์กินเข้าไป…
คิดได้ดังนั้น ลูเมี่ยนหันไปมองชิ้นเค้กเครื่องเซ่นที่ยังเหลือบนจาน แล้วโน้มตัวเข้าใกล้ ยื่นมือขวาออกไปหยิบ
เคานต์ปุยฟ์ไม่มีข้อสงสัยในเรื่องนี้เลย
ตามความคิดของเขา ถ้า ‘ชาร์ล’ ไม่หยิบเครื่องเซ่นจะยิ่งแปลกเสียกว่า!
แทบจะในเวลาเดียวกัน วิญญาณบ้าคลั่งที่ลอยวนเวียนบนเพดาน พลางแพร่กระจายอิทธิพลเชิงลบ คล้ายกับถูกท้าทาย พลันตรึงค้างอยู่เหนือศีรษะลูเมี่ยน
มันแผ่อารมณ์ด้านลบคละคลุ้ง ประหนึ่งกำลังสาปแช่งมนุษย์ตัวจ้อยที่ริอ่านกินเครื่องเซ่นของตน
ลูเมี่ยนสัมผัสถึงความโกรธเกลียด ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน อยากฉีกดวงวิญญาณให้เป็นชิ้นๆ
เด็กหนุ่มไม่เพียงไม่กลัว ยังยิ้มออกมาด้วยซ้ำ
สิ่งนี้บ่งบอกว่าเขามาถูกทางแล้ว!
หากตนหยิบเครื่องเซ่น แล้ววิญญาณบ้าคลั่งนั่นยังไม่ตอบสนองอีก เขาก็จนปัญญาจะหาทางหยุดยั้งมิให้มันบินวนเวียนเหนือศีรษะผู้คน
มันอาจไม่ใช่ความสำเร็จ หรืออาจอันตรายยิ่งกว่าเก่า แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าปล่อยให้ผู้ร่วมเกมพระราชาหงุดหงิดมากขึ้น กระหายเลือดมากขึ้น จนสุดท้ายก็ฆ่ากันเอง
เมื่อถึงตอนนั้น ลูเมี่ยนยัง ‘เทเลพอร์ต’ หนีไปได้ ส่วนคนอื่นนอกจากเคานต์ปุยฟ์ คงไม่มีใครรอดแน่นอน
แน่นอน เด็กหนุ่มมิอาจคาดเดาได้ว่า หลังจากกินเครื่องเซ่นเข้าไป จะเกิดความแปลงเปลี่ยนในทางที่แย่ลงหรือไม่ นำมาซึ่งอันตรายใหม่หรือไม่ แต่สำหรับสถานการณ์ตรงหน้า ได้ลองทำอะไรสักอย่าง ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
หากลูเมี่ยนปล่อยผ่าน เอาแต่นิ่งเฉย ทุกคนที่เข้าร่วมเกมเค้กพระราชาคงไม่รอดแน่ แต่ถ้าลองทำอะไรดู ก็ยังมีความหวังพอสมควร
ลูเมี่ยนนำชิ้นเค้กเครื่องเซ่นใส่ปาก กัดคำใหญ่
วิญญาณบ้าคลั่งยิ่งดูเดือดดาล ยิ่งเกรี้ยวกราด
มันเลิกวนเวียนเหนือศีรษะคนอื่น เอาแต่ตรึงอยู่เหนือศีรษะลูเมี่ยน บ้างก็ดูเหมือนอยากโฉบลงมา อยากฉีกเป้าหมายให้ขาดวิ่น แต่สัญชาตญาณก็คอยสั่งห้าม ด้วยความยำเกรงที่มีต่อออร่าของอลิสต้า·ทูดอร์
ทันใดนั้น เสียงร้องโหยหวนรอบใหม่ดังขึ้น
ดังมาจากที่ใดสักแห่งในปราสาทหงส์แดง เจ้าของเสียงเป็นคนละคนกับเสียงร้องโหยหวนครั้งก่อนหน้า
ครั้งแรกเป็นของผู้ชาย เมื่อครู่เป็นของผู้หญิง
เปลือกตาเคานต์ปุยฟ์กระตุกทันที รีบกล่าวพลางยิ้ม
“พวกคนรับใช้ที่กำลังเก็บกวาดที่เกิดเหตุ คงตกใจกับภาพที่ค่อนข้างน่ากลัวน่ะครับ”
แขกอย่างนักวิจารณ์วรรณกรรมเอินส์ รวมถึงคนอื่นๆ ต่างก็ยอมรับคำอธิบาย
แง่หนึ่ง พวกเขาเป็นแขก ไม่มีสิทธิ์ตั้งคำถามกับเรื่องที่เกิดในปราสาท ส่วนอีกแง่หนึ่ง ทุกคนกำลังเคลิบเคลิ้มอยู่กับเกมพระราชา กำลังคลั่งไคล้ ร้อนรนกระวนกระวาย เลิกใส่ใจกับเรื่องอื่น ไม่เหมือนกับในตอนแรก
ลูเมี่ยนบรรจงกินเค้กพระราชาเครื่องเซ่นทีละคำสองคำ พลางคิดเสียว่า ความเดือดดาลและคำสาปแช่งที่มองไม่เห็นของวิญญาณบ้าคลั่งนั่น เป็นดนตรีที่คอยบรรเลงข้างหู
เทียบกับเสียงเพรียกอันน่าพรั่นพรึง ซึ่งตนได้ฟังทุกครั้งในยามรับ ‘พร’ นี่ก็เหมือนการบรรเลงเพลงสุดไพเราะจากวงออร์เคสตรา
ภายใต้เงื่อนไขที่ส่งเสียงไม่ได้ จะสิงร่างก็ไม่กล้า วิญญาณบ้าคลั่งทำได้เพียงรบกวนอารมณ์กับจิตใจของเด็กหนุ่มทางอ้อมเท่านั้น
ระหว่างนี้ แม้สมาธิจะกึ่งล่องลอย ลูเมี่ยนก็ยังคอยมอบคำสั่งให้ผู้เข้าร่วมทีละคน โดยพบว่าในแววตาของผู้ร่วมเล่นเกม ทุกคนสนใจเพียงแค่เกม
เสียงโหยหวนดังขึ้นในปราสาทเป็นระยะ ทำเอาขนลุกซู่ สันหลังเย็นเฉียบ
ในที่สุดลูเมี่ยนก็กินเครื่องเซ่นจนหมด วิญญาณบ้าคลั่งที่ลอยเหนือศีรษะก็พลันหยุดเคลื่อนไหว
วินาทีถัดมา มันอันตรธานหายไปอย่างลึกลับ ดุจดังระเหิดหายไปในอากาศ
ผู้ร่วมเล่นเกมเค้กพระราชายังคงมีอาการคลั่งไคล้ แต่ไม่หงุดหงิดหรือฉุนเฉียวเท่าเก่า
ลูเมี่ยนถอนหายใจเงียบ หันไปพูดกับเอโลอีสข้างๆ
“เต้นทวิสต์สักเพลงหนึ่ง ถ้าไม่เป็นก็ให้คนอื่นสอน”
เมื่อเทียบกับระบำแคนแคนที่แฝงนัยทางเพศ การเต้นทวิสต์จะดูเบากว่าหากไม่ใช่คู่ชายหญิง อย่างมากก็ดูน่าขบขัน
เอโลอีสผ่อนคลายร่างกาย ลุกขึ้นจากที่นั่ง แล้วเริ่มบิดร่างกายอย่างไม่คล่องนัก
ท่ามกลางเสียงหัวเราะของทุกคน ลูเมี่ยนทยอยออกคำสั่งกับผู้ร่วมเกมที่ยังเหลือ
จนกระทั่งทำตามคำสั่งครบคนละครั้ง เด็กหนุ่มยืนตัวตรง เอ่ยปากด้วยท่าทางเหมือนกำลังมองต่ำใส่ทุกคน
“คำสั่งสุดท้าย”
“ปิดเป็นความลับ ห้ามนำสถานการณ์ในเกมวันนี้ไปบอกใคร”
“ขอรับ องค์จักรพรรดิ!” เอโลอีสกับพวกโลรองต์ที่ยังคงติดอยู่ในบรรยากาศของเกม ช่วยกันขานรับเป็นเสียงเดียว ด้วยท่าทางเคารพนอบน้อม
แน่นอน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอิทธิพลของออร่าจักรพรรดิโลหิตที่ยังหลงเหลือบนตัวลูเมี่ยน
เมื่อเห็นว่าผู้ร่วมเกมทุกคนเชื่อฟังแต่โดยดี ลูเมี่ยนถอนหายใจเงียบ ยิ้มแล้วพูดว่า
“ถือเป็นอันสิ้นสุดเกมในวันนี้”
เคานต์ปุยฟ์จึงลุกขึ้นยืนตาม ยิ้มพร้อมกับทำท่าทางเชื้อเชิญ
“ขอเชิญทุกคนไปที่ห้องอาหาร”
การเดินจากห้องรับแขกไปถึงห้องอาหาร จำเป็นต้องผ่านโถงหลักของปราสาท ลูเมี่ยนซึ่งกลับเป็นปกติแล้ว เหล่มองคนรับใช้ชายหญิงสองสามคน กำลังก้มหน้าก้มตาทำงานใกล้ๆ ทางเดิน
พวกเขากำลังใช้ไม้ถูพื้นเช็ดทำความสะอาดรอยน้ำที่ออกไปทางสีแดง
สีแดง… เปลือกตาลูเมี่ยนกระตุกแผ่วเบา ก่อนจะถอนสายตากลับ
เมื่อสิ้นสุดมื้ออาหารค่ำ ทุกคนก็เริ่มทยอยกลับ ลูเมี่ยนเดินไปหาเคานต์ปุยฟ์ ยิ้มแย้มหยิบทองคำหนักๆ ห้าแท่งออกมา
เคานต์ปุยฟ์ส่ายหน้า
“ในเมื่อเป็นเกมที่ผมเสนอ ก็ย่อมต้องทำตามกติกา คิดจะดูแคลนกันหรือไร คิดว่าผมขาดทองสามหมื่นเฟลคินพวกนี้หรือ”
“ก็แค่มารยาทน่ะ” ลูเมี่ยนตอบพลางยิ้ม แล้วรีบสอดแท่งทองคำใส่กระเป๋าเสื้ออย่างคล่องมือ ปราศจากความเกรงใจใดๆ
ตามที่สัญญาไว้ เด็กหนุ่มให้กวีอีแลตขึ้นรถม้าสี่ล้อสี่เบาะของตน โดยอ้างว่าพกเงินสดติดตัวไม่พอ จึงสนับสนุนอีกฝ่ายไปเพียงสามพันเฟลคิน
อีแลตไม่ถือสาเลยสักนิด รีบเก็บเงินให้เรียบร้อย แล้วเริ่มชวนคุยเกี่ยวกับแนวคิดทางสุนทรียะของตน
พอรถม้าเริ่มออกตัว ลูเมี่ยนเอ่ยปากถาม
“คุณจะให้ไปส่งเขตไหน”
“ส่งที่อารามพระหฤทัยก็พอครับ” อีแลตพูดด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า “ผมจะแวะไปหาเพื่อน กวีที่ถูกอุปถัมภ์มักไปหาสหายเพื่อดื่มหนักเสมอ”
อารามพระหฤทัยสินะ… ลูเมี่ยนพยักหน้ารับ แล้วเพิ่มระดับเสียง ออกคำสั่งกับสารถีไปคำหนึ่ง
เพียงครู่เดียว รถม้าก็แล่นมาถึงอารามสุดวิจิตร งดงามราวกับภาพสีน้ำมัน กระทั่งในยามราตรีกาล สีทองบนผิวกำแพงยังคงสะท้อนแสงจันทร์แดงฉาน ชวนให้เคลิบเคลิ้มยิ่งนัก
ขณะมองส่งอีแลตเดินเข้าไปในอาราม ลูเมี่ยนสั่งให้สารถีขับกลับถนนน้ำพุ เขตหอรำลึก
เสียงกีบม้ากระทบพื้น ดังกรุบกรับท่ามกลางแนวป่าสลับกับทุ่งนาที่ถูกทิ้งไว้ด้านหลัง ผืนแล้วผืนเล่า
ทันใดนั้น เสียงก้องกังวานของเทอร์มีโพลอส ดังสะท้อนในโสตประสาทของลูเมี่ยน
“มีตัวอันตรายแอบตามเจ้ามา ตั้งแต่ปราสาทหงส์แดงแล้ว”
“มันไม่เป็นมิตร ใกล้จะโจมตีแล้ว”
ตัวอันตราย… ลูเมี่ยนหรี่ตาลงไม่มาก เปิดประตูห้องโดยสารรถม้าอย่างใจเย็น แล้วกระโดดลงด้วยท่าทีสบายๆ
เด็กหนุ่มหันไปทางสารถี ออกคำสั่งด้วยบรรยากาศน่าเกรงขาม ซึ่งยังหลงเหลือจากการแสดงเป็นจักรพรรดิ
“ไปรอผมที่เมืองเล็กๆ ข้างหน้า”
คนขับรถลังเลอยู่สองวินาที แต่สุดท้ายก็ทำตามคำสั่ง
โดยไม่รีบร้อน ลูเมี่ยนมองส่งรถม้า พลางหยิบถุงมือ ‘ทุบตี’ ออกจากกระเป๋าเอกสารที่ถือมาด้วย สวมวัตถุสีเหล็กดำใส่กำปั้นด้วยท่าทางผ่อนคลาย
ป่าใกล้เคียงมืดลงกะทันหัน ลำธารสายเล็กที่ไหลผ่านแถวนี้ ราวกับถูกย้อมให้แดงฉานปานเลือดสด
……………………………………………………..