ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 369 พระราชา ไม่สิ จักรพรรดิ!
- Home
- All Mangas
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 369 พระราชา ไม่สิ จักรพรรดิ!
ตอนที่ 369 พระราชา? ไม่สิ จักรพรรดิ!
เทียบกับฝันร้ายคราวก่อน ตอนนี้ลูเมี่ยน ‘เห็น’ ได้คมชัดยิ่งกว่าเดิม ใบหน้าของชายผมสีแดงเข้มด้านหลังหน้าต่างแคบ ดูคล้ายเคานต์ปุยฟ์เจ็ดถึงแปดส่วน
อีกฝ่ายยกมือขวาขึ้น ขณะควักลูกตาตัวเอง กล้ามเนื้อใบหน้าก็เริ่มบิดเบี้ยว เปลี่ยนรูปร่างเค้าโครง กลายเป็นลูเมี่ยนในพริบตา
เหมือนกับลูเมี่ยน·ลีจากหมู่บ้านกอร์ตูไปทุกกระเบียดนิ้ว มิใช่ชาร์ล·ดูบัวส์ ณ ปัจจุบัน!
เมื่อชายผมสีแดงเข้ม ผู้มีใบหน้าเดียวกับลูเมี่ยน ใช้มือควักลูกตาชุ่มเลือดออกมา ลูเมี่ยนก็พลันเจ็บแปลบตรงเบ้าตา วิสัยทัศน์ดำมืดไปทันที
ขณะเดียวกัน เสียงหัวเราะ ‘ฮ่าๆๆ’ อันบ้าคลั่งก็ดังก้องในโสตประสาท ราวกับจะปลุกเร้าให้เด็กหนุ่มระบายความหงุดหงิด ความอำมหิต ความกระหายเลือดออกมา
ทันใดนั้น ฝ่ามือขวาของเขาพลันอุ่นวาบขึ้นมา ความบ้าคลั่งที่ไม่มีอื่นเจือปน ล้นทะลักเข้าไปในสมอง
ความหงุดหงิด อำมหิต กระหายเลือดที่บอกต้นตอไม่ได้ ถูกขับออกจากร่างในทันที เสียงหัวเราะ ‘ฮ่าๆๆ’ อันบ้าคลั่งอันตรธานหายในพริบตา
วิสัยทัศน์ของลูเมี่ยนกลับเป็นปกติ เบื้องหน้าคือนักเขียนนิยายอาร์โนลี ด้านข้างคือเคานต์ปุยฟ์
พวกเขาอมยิ้ม ตามองผู้เข้าร่วมคนอื่นเลือกเค้กพระราชา โดยไม่สังเกตเห็นความปกติที่เกิดกับลูเมี่ยน
เด็กหนุ่มนับชิ้นเค้กพระราชาที่ถูกหยิบออก พลางมองโลรองต์ที่กำลังเลือก พบว่าเวลาเพิ่งผ่านไปเพียงไม่กี่วินาที แต่ตัวเขากลับรู้สึกเหมือนยาวนานนับชั่วโมง
เขาอาศัยพลังของภิกษุบิณฑบาต ข่มกลั้นอารมณ์ที่ถูกกระตุ้นจากออร่าจักรพรรดิโลหิตภายในกาย ขณะเดียวกันก็สังเกตเห็นวิญญาณประหลาด บ้าคลั่ง อำมหิต ป่าเถื่อน กำลังลอยวนเวียนอยู่เหนือศีรษะตน
วิญญาณดังกล่าว ซึ่งเห็นแล้วชวนให้ตัวสั่น กระสันอยากสิงร่างลูเมี่ยน แต่ถูกออร่าของอลิสต้า·ทูดอร์ที่ซุกซ่อนอยู่ ข่มขวัญจนไม่กล้าลงมา ได้แต่วนเวียนเหนือห้องรับแขก เหมือนอีแร้งที่อยากกินซากศพ แต่กลัวว่ารอบๆ จะมีศัตรู
ผู้เข้าร่วมเกมเค้กพระราชาทุกคน ไม่มีใครเฉลียวใจว่าเหนือศีรษะของพวกตน มีวิญญาณบ้าคลั่งกำลังมองลงมาอย่างดุร้าย เอาแต่หัวร่อต่อกระซิกเลือกเค้กพระราชากัน
“ก็มาสิ ลงมาเต้นรำกับจักรพรรดิโลหิตดูสักตั้ง! มาดูกันว่าแกจะบ้าก่อน หรืออลิสต้า·ทูดอร์จะบ้าก่อน!” ลูเมี่ยนที่อารมณ์ไม่มั่นคงนัก รำพันเย้ยหยันในใจ
แน่นอน เด็กหนุ่มทราบดี ออร่าของจักรพรรดิโลหิตในกายตนเป็นเพียงเปลือกเปล่า หากวิญญาณนั่นฝืนรุกล้ำเข้ามา เขาก็จนปัญญาจะขวาง ได้แต่ภาวนาให้ผนึกของมิสเตอร์ฟูลถูกกระตุ้นจนแสดงอภินิหาร
ยามนี้ ดูเหมือนวิญญาณบ้าคลั่งป่าเถื่อนนั่น จะยังขาดสติสัมปชัญญะ ไม่มีหัวคิดวิเคราะห์ มิอาจระบุได้ว่าออร่าของอลิสต้า·ทูดอร์มีฤทธิ์แบบใด แค่หวาดกลัวไปตามสัญชาตญาณเท่านั้น
ลูเมี่ยนข่มใจให้นิ่ง พลางมองพวกเอโลอีสทยอยเลือกเค้กพระราชาทีละชิ้น ขณะยังคงไม่ประมาทวิญญาณบ้าคลั่งที่บินวนเวียนด้านบน เด็กหนุ่มพยายามไตร่ตรองถึงปัญหา:
“นี่คงเป็นแก่นของเกมเค้กพระราชาของตระกูลเซารอน…”
“ปุยฟ์ใช้ประโยชน์จากสายเลือด จัดพิธีกรรมแบบย่อเพื่ออัญเชิญวิญญาณตกค้างของบรรพชน ปล่อยให้มันสิงร่างคนที่กินเค้ก ‘มีเครื่องหมาย’ จนได้เป็นพระราชา…”
“ถ้าถูกวิญญาณที่บ้าคลั่งป่าเถื่อนระดับนี้สิงร่าง กัดกร่อนจิตใจไป เราคงได้คลุ้มคลั่งคาที่เป็นแน่แท้ ส่วนคนธรรมดาก็ไม่มีทางไม่เป็นบ้า… แล้วเคานต์ปุยฟ์ใช้วิธีใดรักษาความปกติไว้? อย่างน้อยเขาก็ดูปกติ ทั้งที่เคยเป็นพระราชามาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว…”
“คราวก่อนเทอร์มีโพลอสถึงบอกให้เราเปลี่ยนเค้ก ถ้าเราคลุ้มคลั่งไป พระองค์ก็ไม่มีทางสภาพดีไปกว่ากัน…”
“ไอ้ลูกหมูเอ๊ย! ทำไมวันนี้ถึงไม่เตือนฉัน! พอรู้ว่าฉันมีออร่าของจักรพรรดิโลหิต ก็ไม่ห่วงว่าจะถูกวิญญาณบ้าคลั่งนั่นเข้าสิง เลยอมพะนำเอาไว้?”
“วิญญาณบ้าคลั่งนั่นมาจากไหน… ผ่านมาสองสามร้อยปีแล้ว ทำไมยังคงสภาพไว้ได้?”
“ตระกูลเซารอนมีเทคนิคลับในการเก็บรักษาดวงวิญญาณของคนใหญ่คนโต สะสมกันมาทุกยุคทุกสมัย หรือว่าอันที่จริง ฟอม็องดา·เซารอนยังไม่ตาย หรือไม่ก็ ตะกอนพลังที่เขาทิ้งไว้มีมลทินรุนแรงเกินไป ตระกูลเซารอนจึงต้องใช้วิธีนี้ค่อยๆ บรรเทามันลง? แต่นี่ก็ผ่านมาตั้งสองสามร้อยปีแล้วนะ!”
“การ์ดเนอร์·มาร์ตินต้องการยืนยันสถานะของฟอม็องดา…”
“อึก… วิญญาณบ้าคลั่งนี่เอาแต่วนเวียนอยู่ด้านบน ไม่ยอมลงมาสักที… หลังจากนี้มันจะจางหายไปเอง หรือเปลี่ยนเป้า หรือสร้างปรากฏการณ์ประหลาดๆ แบบอื่นอีก?”
ลูเมี่ยนเครียดจนจิตตึงแน่น หมั่นสังเกตวิญญาณบ้าคลั่งที่ลอยวนเวียนบนเพดานเป็นระยะ
หากมันทำท่าว่าจะบุกรุกเข้ามาโดยไม่สนใจปราการออร่าของจักรพรรดิโลหิต หรือสร้างปรากฏการณ์ไม่ดีแบบอื่น ลูเมี่ยนจะ ‘เทเลพอร์ต’ หนีทันที
อาร์โนลี มาเลน อีแลต กับคนที่เหลือ ต่างผลัดกันเลือกเค้กพระราชาจนครบจำนวน ในจานเหลือเพียงชิ้นที่ถวายแด่ฟอม็องดา·เซารอน
เคานต์ปุยฟ์ยิ้มพลางมองรอบตัว แล้วเอ่ยปาก
“ทุกคนเริ่มกินได้ ใครกัดเจอเหรียญทอง วันนี้จะได้เป็นพระราชา”
พูดจบ เขาก็กัดเค้กพระราชาในมืออย่างสง่างาม ตามด้วยกัดอีกหลายคำ สีหน้าเริ่มงุนงงระคนตื่นตระหนก
ไม่มีเหรียญทอง!
เคานต์ปุยฟ์มองผู้เข้าร่วมคนอื่นด้วยสายตาตกตะลึง ความมั่นใจราวกับว่าทุกสิ่งอยู่ในการควบคุม หายวับไปกับตาทันที
วินาทีนี้ ในหัวของเขามีเพียงเรื่องเดียว:
“ไม่ เป็นไปไม่ได้! ฉันน่ะเหมือนท่านบรรพชนมากกว่าใคร!”
เขารีบจ้องเอโลอีส แขกในงานคนเดียวที่มีสายเลือดตระกูลเซารอน
แม้เอโลอีสจะกังขาในสายตาตื่นตระหนกปนดุร้ายที่ลูกพี่ลูกน้องจ้องมองมา ราวกับอีกฝ่ายอยากจะฉีกเธอเป็นชิ้นๆ แต่ก็ยังคงกินเค้กพระราชาต่อไปอีกหลายคำ
ก็ยังไม่มีเหรียญทองอยู่ดี
เคานต์ปุยฟ์ยิ่งทวีความสับสน ดวงตากลอกไปมาไม่หยุด ในใจผุดความคิด ผุดการคาดเดาเป็นระลอก:
“ในนี้ไม่น่าจะมีลูกนอกสมรสของตระกูลเซารอน…”
“ไม่สิ ต่อให้มี ฉันก็ยังใกล้เคียงท่านบรรพชนมากกว่าอยู่ดี!”
“มีนักล่าลำดับสูงอยู่ในงานเลี้ยงนี้?”
“ไม่มีทาง!”
“หรือว่า ใครบางคนเคยปนเปื้อนมลทินจากใต้ดิน?”
ลูเมี่ยนเห็นเคานต์ปุยฟ์เริ่มเกาหัวอย่างเป็นทุกข์ ส่วนผู้ร่วมเกมส่วนใหญ่ต่างกัดเค้กพระราชาไปหลายคำแล้ว เด็กหนุ่มจึงบรรจงยกมือขวา กัดเข้าไปเบาๆ
ไม่ผิดจากที่คาด ฟันของเขาสัมผัสกับโลหะแข็งๆ
เขารีบคายมันใส่ฝ่ามือซ้ายตัวเอง แล้วก็เป็นเหรียญทองสิบเฟลคินอย่างที่คิด
รูม่านตาของเคานต์ปุยฟ์พลันขยายกว้าง จ้องหน้าลูเมี่ยนเขม็ง ราวกับอยากจะแงะเนื้อทุกชิ้นออกมาตรวจดูอย่างละเอียด
นักเขียนนิยายอาร์โนลีพูดยิ้มๆ
“โฮ่ ในที่สุดก็มีพระราชาคนใหม่สักที ก่อนหน้านี้เป็นปุยฟ์มาตลอด จนสุนทรียภาพของฉันชักจะเริ่มเอียนแล้ว เขาหมดมุกแกล้งคนใหม่ๆ แล้วด้วย”
ลูเมี่ยนยกเหรียญทองขึ้น เหลือบมองอาร์โนลีด้วยแววตาเย็นชา แล้วเอ่ยปาก
“ใครอนุญาตให้คุณพูด”
อาร์โนลีตัวสั่นเทิ้มทันที สัญชาตญาณสั่งให้ปิดปากตัวเอง
ลูเมี่ยนฝืนข่มอารมณ์จากออร่าจักรพรรดิโลหิตไว้ได้ จึงค้นพบว่าวิญญาณบ้าคลั่งเหนือศีรษะ ยิ่งนานไปก็ยิ่งวนเวียนเร็วขึ้น ราวกับร้อนใจกว่าเดิม ดุร้ายกว่าเดิม
เด็กหนุ่มมองไปรอบตัวอย่างไม่รีบ พูดพลางยิ้ม
“นับแต่นี้ไป ผมคือพระราชา หรืออยากเรียกว่า ‘จักรพรรดิ’ มากกว่า?”
ไม่รู้ทำไม ผู้เข้าร่วมทุกคน รวมถึงเคานต์ปุยฟ์กับมิสเอโลอีส ต่างรู้สึกหวั่นไหว อยากเชื่อฟังคำสั่งของชาร์ลขึ้นมา
แน่นอน มันเป็นเพียงอาการหวั่นไหวชั่ววูบ เกิดจากอิทธิพลของคำพูดกับบุคลิกภาพผสานกัน
ในหมู่พวกเขา กวีอีแลตที่ชาร์ล·ดูบัวส์เพิ่งจะรับปากอุดหนุน ลุกยืนอย่างไม่ยี่หระ วางมือทาบอกแล้วคำนับ:
“ขอรับ องค์จักรพรรดิ!”
สำหรับคนอื่น บ้างก็ไหลไปตามกฎของเกม บ้างก็ถูกโน้มน้าวเพราะใจหวั่นไหว ต่างก็ลุกขึ้นยืนตาม ทำความเคารพในแบบของตัวเอง
“ขอรับ องค์จักรพรรดิ”
ลูเมี่ยนยิ้มมุมปาก ยกมือขวาเล็กน้อย ส่งสัญญาณบอกให้ทุกคนนั่งลงได้
เด็กหนุ่มหันไปมองเคานต์ปุยฟ์ กล่าวพลางเชิดคางนิดๆ
“ผมขอสั่งให้คุณถวายทองคำมูลค่าสามหมื่นเฟลคิน”
เคานต์ปุยฟ์ชะงักงันชั่วครู่ ใจเกิดปั่นป่วน อารมณ์สับสนซับซ้อน
นี่คือครั้งแรกที่เขาถูกออกคำสั่งในเกมเค้กพระราชา
ทีแรกเขาคิดจะโต้แย้งติดตลก แต่ก็พลันนึกขึ้นได้ว่า ในเกมศาสตร์เร้นลับชนิดนี้ เมื่อเริ่มขึ้นแล้ว ไม่ว่าใครก็มิอาจฝ่าฝืนคำสั่งของพระราชา มิเช่นนั้นจะมีจุดจบอันน่าสังเวช
เคานต์ปุยฟ์ขบฟันกรอด ลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยปาก
“ขอรับ องค์จักรพรรดิ”
เขาเดินออกจากห้องรับแขก ท่ามกลางการรอคอยอย่างเงียบสงบจากทุกฝ่าย เคานต์ปุยฟ์เดินขึ้นชั้นบนของเรือนหลักในปราสาท นำทองคำแท่งหนักๆ ห้าแท่งออกจากตู้นิรภัย
สำหรับเขา สามหมื่นเฟลคินมิได้มากมายอะไร
พอเห็นเคานต์ปุยฟ์ยอมจ่ายทองคำแท่งมูลค่าสามหมื่นเฟลคินตามคำขอ ในใจลูเมี่ยนพลันนึกเสียดาย
ถ้ารู้แต่แรกว่าจะเชื่องแบบนี้ ก็คงขอให้มากกว่านี้แล้ว!
“ตอนนี้ปัญหาคือ จะนำทองคำกลับไปยังไง… ปกติเล่นเกมพรรค์นี้ ถึงจะรับทองคำมูลค่าสามหมื่นต่อหน้าทุกคน แต่ลับหลังก็ต้องคืนอยู่ดี ไม่อย่างนั้นจะบาดหมางกันเสียเปล่าๆ … แล้วอีกอย่าง เราต้องอธิบายกับการ์ดเนอร์·มาร์ตินอย่างไร ว่ามีโอกาสได้เป็นพระราชาแล้ว แต่ดันไม่เกิดความผิดปกติขึ้น?” ลูเมี่ยนคิดไปพลางยัดทองคำห้าแท่งแยกใส่กระเป๋าเสื้อทั้งสองข้าง
แล้วก็หันไปมองนักเขียนนิยายอาร์โนลี
“คุณต้องจูบกับใครสักคนในงาน… คนที่ว่าคือ…”
ขณะอาร์โนลีมองไปทางหญิงงามด้วยความคาดหวัง ลูเมี่ยนชี้ไปหากวีอีแลตที่เพิ่งสูบกล้องยาอันเขื่องไป
“กวีของเรานั่นเอง”
เมื่อผ่านช่วงเวลาอันเงียบสงัด แขกบางคนก็ผิวปาก บางคนตะโกนรบเร้า
อาร์โนลีลุกยืนอย่างไม่เต็มใจ พลางบ่นกระปอดกระแปด
“ผมล่ะไม่อยากจูบกับไอ้คนปากเหม็นนี่เลย ถ้าเป็นมาเลนยังพอว่า…”
อีแลตไม่แยแส เพียงหัวเราะ ‘ฮ่าๆ’ แล้วเอ่ยปาก
“คุณดูเกร็งๆ นะ อาร์โนลี สงบจิตใจหน่อย อย่าทำตัวเหมือนไอ้บ้านนอกไม่เคยเห็นโลกสิ”
ลูเมี่ยนมองกับฟังด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ สมาธิส่วนใหญ่จดจ่ออยู่กับวิญญาณบ้าคลั่งที่ยังคงวนเวียน
แม้มันจะยังไม่พยายามรุกล้ำร่างของใครในงาน แต่ด้วยอิทธิพลของวิญญาณ ทุกคนดูกระสับกระส่าย ส่งสัญญาณของความไม่มั่นคงทางอารมณ์
นักเขียนนิยายอาร์โนลี ซึ่งทุกทีชอบเล่นมุกตลก และยินดีให้ทุกคนเล่นมุกใส่ตน พอได้ยินคำเย้าแหย่ของอีแลต สีหน้าก็พลันเย็นชาลง ประหนึ่งอยากหยิบมีดบนโต๊ะขึ้นมาสวบใส่อีกฝ่ายสักแผล
แต่สุดท้ายก็ข่มอารมณ์ดังกล่าวไว้ได้
ลูเมี่ยนเชื่อว่า หากกลิ่นอายอันบ้าคลั่งยังไม่สลายไป หรือจางลงบ้าง ยิ่งเกมดำเนินต่อไป ผู้เข้าร่วมก็จะยิ่งหงุดหงิด ความอดทนต่ำ กระหายเลือดมากขึ้นทุกขณะ
ทันใดนั้นเอง เสียงกรีดร้องอันโหยหวน หวีดแหลม น่าหวาดหวั่น ดังมาจากที่ใดสักแห่งในปราสาท
……………………………………………………..