ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 368 นักเดิมพัน
- Home
- All Mangas
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 368 นักเดิมพัน
ตอนที่ 368 นักเดิมพัน
ลูเมี่ยนดึงเก้าอี้มีพนักตัวหนึ่งมานั่ง ยิ้มแล้วพูดกับเคานต์ปุยฟ์
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ”
พูดจบ เด็กหนุ่มทำท่าจะไปเชิญมิสเอโลอีส
เคานต์ปุยฟ์ในเสื้อเชิ้ตสีแดงโบกมือ
“รอให้เธอเล่นท่อนนี้จบก่อน”
ลูเมี่ยนหมุนตัวกลับหลัง มองไปทางเปียโน จนกระทั่งเห็นโฉมหน้าของมิสเอโลอีสเต็มสองตา
คิ้วสีน้ำตาลแดงอ่อนนุ่ม นัยน์ตาสีน้ำตาลอมเทาสว่างสดใส แก้มป่องเล็กน้อย โครงหน้านุ่มนวล เป็นสาวน้อยอายุไม่ถึงยี่สิบ ดูไม่เหมือนคนของตระกูลเซารอนสักเท่าไร
อ้างอิงจากคำแนะนำของปุยฟ์เมื่อสักครู่ เอโลอีสคงสืบเชื้อสายมาจากฝั่งแม่ของตระกูลเซารอน
ลูเมี่ยนหันหลังกลับ หยิบแก้วลิเคอร์สามสี ‘แดงขาวน้ำเงิน’ บนโต๊ะกาแฟขึ้นมา แล้วเริ่มสนทนากับเคานต์ปุยฟ์และพวกอาร์โนลี เกี่ยวกับกระแสนิยมในช่วงหลัง รวมถึงข่าวซุบซิบวงใน
ไม่กี่วันมานี้ เด็กหนุ่มได้ซื้อหนังสือพิมพ์อย่าง ‘บันเทิงคดีรายสัปดาห์’ ‘เดบาต์’ ‘หนุ่มสาวชาวทรีอาร์’ และนิตยสาร ‘หน้าทะเล้น’ เพื่อเพิ่มพูนองค์ความรู้ให้ตัวเอง เตรียมความพร้อมสำหรับรับมือกับสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกัน
คุณนายผมดำที่เพิ่งนั่งยองๆ ข้างเคานต์ปุยฟ์ ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปยังบริเวณอื่น เพื่อดูพวกบรรณาธิการจากสำนักพิมพ์เล่นบิลเลียด
ลูเมี่ยนมั่นใจว่าเธอไม่ใช่ภรรยาของเคานต์ปุยฟ์ เพราะโอลัวร์เคยเล่าให้ฟังว่า ในกรุงทรีอาร์ งานซาลอนหรืองานเลี้ยงเต้นรำเล็กๆ ทำนองนี้ ตามธรรมเนียม เจ้าบ้านผู้ชายกับคุณผู้หญิงจะไม่ออกงานพร้อมกัน มิเช่นนั้นจะทำให้แขกรู้สึกไม่ดี มองว่าพวกเขากำลังโอ้อวดความรักด้วยวิธีตื้นเขิน ซึ่งถ้าข่าวแพร่ออกไปจะทำให้เสื่อมเสียเกียรติ ดังนั้น เมื่อเจ้าบ้านชายหรือหญิงจัดงานซาลอน คู่ของพวกเขาจะไปร่วมงานซาลอนอื่นแทน
ตอนที่ลูเมี่ยนได้ฟังครั้งแรก เขายังอายุไม่ถึงสิบห้า จึงมองว่าชาวทรีอาร์ช่างมากเรื่อง กฎเกณฑ์หยุมหยิม แต่ตอนนี้พอลองนึกย้อนกลับไป เด็กหนุ่มมีเพียงความคิดเดียว:
พวกชาวทรีอาร์นี่นะ เพียงเพื่อให้นอกใจได้สะดวก ถึงกับคิดค้น ‘กฎปากเปล่า’ สุดเหลวไหลและชวนหัวร่อขึ้นมา แล้วทุกคนก็ดันเต็มใจปฏิบัติตามอีก!
เมื่อบทเพลงจบลงไปหนึ่งท่อน เอโลอีสก็ลุกออกจากเปียโน เดินมายังบริเวณโซฟา ถึงตรงนี้ ลูกพี่ลูกน้องของเธอช่วยแนะนำลูเมี่ยนให้รู้จัก เอโลอีสฟังจบก็ดึงเก้าอี้สตูลมานั่งหุบขาเรียบร้อย ฟังทุกคนสนทนากันโดยไม่พูดไม่จา
เมื่อเวลาผ่านไป คนอื่นๆ ก็ทยอยกันมารวมตัวบริเวณโซฟา โลรองต์มากับชายวัยกลางคนหน้าตาดี หนวดเคราสวยงาม สวมชุดลำลองที่ดูเป็นทางการ
“ทางนี้คือกอร์เนล บรรณาธิการของ ‘เลอเปอตีทรีอาเรียง’” เคานต์ปุยฟ์แนะนำให้ลูเมี่ยนรู้จัก
ลูเมี่ยนเคยอ่านหนังสือพิมพ์หัวดังกล่าว โดยเฉพาะโฆษณา ‘สะพานดวงดาวสู่พระจันทร์สีแดง’
ตอนนี้เมื่อนึกถึงโฆษณาดังกล่าว นอกจากจะมองว่ามันคือกลอุบายฉ้อโกง หรือไม่ก็เป็นศิลปะอย่างหนึ่งของชาวทรีอาร์ เด็กหนุ่มยังสงสัยด้วยว่า อีกฝ่ายอาจเกี่ยวข้องกับกลุ่มสาวกเทพมาร
“ทางนี้คือชาร์ล·ดูบัวส์ ผู้จัดการทั่วไปของบริษัทนำเข้าส่งออกชายฝั่ง” ปุยฟ์เอ่ยถึงตัวตนปลอมที่การ์ดเนอร์·มาร์ตินสร้างให้ลูเมี่ยน
กอร์เนลยื่นมือขวาออกมาด้วยท่าทีประหลาดใจเล็กๆ
“ยังหนุ่มมากเลย”
ลูเมี่ยนยื่นมือไปจับทักทาย พลางตอบยิ้มๆ
“นี่เป็นผลตอบแทนจากการใฝ่เรียนและการทำงานหนักของผม”
กวีอีแลตเตรียมตัดพ้อทำนองว่า คนส่วนใหญ่ที่นี่ต่างก็ใฝ่เรียนและทำงานหนัก แต่ก็ไม่เห็นใครได้เป็นผู้จัดการทั่วไปของบริษัทใหญ่ตั้งแต่อายุยังน้อย ทันใดนั้น ลูเมี่ยนชิงพูดเสริมด้วยน้ำเสียงจิกกัดตัวเอง
“ก็เพราะว่าผมทำทั้งสองเรื่องได้ดี คุณพ่อจึงแต่งตั้งให้ผมเป็นผู้จัดการทั่วไปของบริษัทนำเข้าส่งออก”
ทุกคนในงานชะงักไปครู่หนึ่ง แต่พอเริ่มเข้าใจความนัยแฝงจากประโยคดังกล่าว ก็ทยอยหัวเราะเป็นระยะๆ
พวกเขายิ่งประทับใจในตัวชาร์ล·ดูบัวส์มากขึ้นไปอีก
ในกลุ่มคนเหล่านี้ ไม่ขาดคนที่พึ่งพาอาศัยใบบุญรุ่นพ่อรุ่นแม่ จนได้นั่งในตำแหน่งสำคัญตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ส่วนมากจะอ่อนไหวเมื่อมีคนพูดถึงพ่อแม่หรือญาติๆ ต่อหน้า จะต้องพยายามแสดงฝีมือสักเรื่องหนึ่ง แต่บางคนก็ขาดความมั่นใจเกินเหตุ หรือยังไม่โต พูดมาแต่ละทีก็มีแค่ พ่อแม่ของฉันเป็นอย่างนั้น ลุงป้าน้าอาของฉันเป็นอย่างนี้ ยากที่จะหาคนที่ใจกว้าง ตรงไปตรงมา มีอารมณ์ขัน ไม่คุยโวเหมือนอย่างลูเมี่ยน เมื่อก่อนก็มีเคานต์ปุยฟ์คนหนึ่งซึ่งถือว่าพอได้
หลังจากใช้มุกตลกที่ลักจำมาจากพี่สาวสร้างเสียงหัวเราะให้กับงาน ลูเมี่ยนก็แกล้งมองไปทางโลรองต์แล้วถาม
ตึกตัก! หัวใจโลรองต์เต้นระรัวกะทันหัน
แม้ทั้งสองฝ่ายตกลงกันแล้วว่า จะไม่เปิดโปงตัวจริงของกันและกัน แต่เขาก็แทบไม่รู้จักชาร์ล·ดูบัวส์ หัวหน้าหน่วยแก๊งอันธพาลรายนี้เลย จึงหวาดหวั่นว่าอีกฝ่ายอาจเปลี่ยนใจกลางคัน
กอร์เนล บรรณาธิการของ ‘เลอเปอตีทรีอาเรียง’ ชี้ไปยังคนหนุ่มข้างตัวเขา
“โลรองต์ มีพรสวรรค์ไม่เบา วิสัยทัศน์กว้างไกล อีกทั้งยังมารยาทดี ผมจับตาดูเขามาเกือบสามเดือนแล้ว ตั้งใจจะจ้างมาเป็นผู้ช่วย รับตำแหน่งรองบรรณาธิการ… โลรองต์ คุณคิดว่าอย่างไรบ้าง มันอาจกะทันหันไปสักหน่อย คุณอยากรับตำแหน่งนี้ไหม?”
โลรองต์ตกใจไปครู่หนึ่ง แต่ไม่นาน ความยินดีปรีดาก็ถาโถมอย่างท่วมท้น จนรู้สึกเหมือนชาไปทั้งตัว
เขาต้องกล้ำกลืนความเจ็บปวด ฝืนทนความไม่สบายใจ ทนฟังเสียงร้องไห้ของแม่ ทนฟังคำดูแคลนจากเพื่อนบ้าน ก็เพื่อวันแบบนี้มิใช่หรือ?
เขาเชื่อมาตลอด ด้วยพรสวรรค์โดยกำเนิด ตนไม่ควรจมปลักอยู่ในชนชั้นล่าง จึงตามหาโอกาสเรื่อยมา แม้ต้องรีดไถมารดาเพื่อรักษาเกียรติเอาไว้ก็ตาม
โลรองต์มิได้ออกอาการตื่นเต้นจนเกินงาม ยิ้มไปพลางมอบคำตอบให้บรรณาธิการกอร์เนล:
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ”
ไม่เลว… การเดิมพันแม้จะมีความเสี่ยงสูง แต่ก็มอบผลตอบแทนมหาศาล แต่ก็นะ ถ้าไม่เปลี่ยนทัศนคติตั้งแต่ตอนนี้ ไม่คิดจะตั้งตัวจากโอกาสตรงหน้า ยังหวังเลื่อนชั้นทางสังคมด้วยการเดิมพันต่อไป ไม่นานคงสูญเสียทุกอย่างไป… ลูเมี่ยนนึกถึงคำของพี่สาวในยาม ‘เจ๊งหุ้น’ แล้วเทียบกับสถานการณ์ปัจจุบัน พลางวิจารณ์กลยุทธ์ของโลรองต์ไปหนึ่งชุด
ลูเมี่ยนไม่เหมือนชาร์ลีหรือผู้เช่าคนอื่น ที่ดูถูกโลรองต์ผู้เดิมพันอนาคตด้วยการไถเงินจากมารดา ขอเพียงแม่ของโลรองต์ยอมรับได้ มิได้อ้อนวอนให้ใครช่วยกระทืบลูกชาย ไม่เคยแสดงเจตจำนงต่อต้านอย่างแข็งกร้าว ลูเมี่ยนก็ไม่คิดว่าเป็นปัญหา
เมื่อกอร์เนลกับคนอื่นๆ นั่งลง ลูเมี่ยนก็ถามอย่างสงสัย
“คุณกับโลรองต์เจอกันที่ไหนหรือ”
“ที่ร้านกาแฟวีชี” กอร์เนลตอบยิ้มๆ “เขาแวะมาบ่อย สนทนากับเราเกี่ยวกับเรื่องราวในทรีอาร์ แสดงทรรศนะของตัวเอง”
ร้านกาแฟวีชีนั่นน่ะหรือ? ร้านที่เงินห้าเฟลคินกินได้แค่น้ำเปล่าครึ่งขวด กับไข่ต้มสองฟอง? แม่ของโลรองต์ คุณนายลาคาซานทำงานเต็มวันยังได้ไม่ถึงสามเฟลคินเลย… แต่การลงทุนก็ผลิดอกออกผลแล้ว ได้นั่งตำแหน่งดีๆ ในหนังสือพิมพ์อย่าง ‘เลอเปอตีทรีอาเรียง’ แม้จะแค่รองบรรณาธิการ แม้เพิ่งเริ่มงาน รายได้ต่อปีก็ใกล้ห้าพันเฟลคินแล้ว นี่ยังแค่จำนวนที่ถูกเปิดเผย… ลูเมี่ยนเปรียบเทียบชีวิตสมัยก่อนของโลรองต์กับปัจจุบัน พบว่ากลยุทธ์ในการเดิมพันเพื่อสร้างเส้นสาย ก็พอมีเหตุผลให้ยึดมั่นได้
ทว่า ทำแบบนี้สักร้อยคน สำเร็จหนึ่งคนก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
ลูเมี่ยนมองโลรองต์ที่กำลังเหล่มองตนอย่างหวาดระแวง ยิ้มแล้วเปลี่ยนเรื่องคุย
“คุณกอร์เนล เมื่อเดือนก่อน หรืออาจจะก่อนหน้านั้นเล็กน้อย ผมเห็นโฆษณา ‘สะพานดวงดาว’ ในหนังสือพิมพ์เลอเปอตีทรีอาเรียง อ่านแล้วก็น่าสนใจดี คุณพอรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างไหม”
กอร์เนลสูบกล้องยาพร้อมกับหัวเราะในคอ
“ผมคิดว่าคงเป็นกลุ่มผู้ป่วยโรคหลงผิด แต่ในเมื่อจ่ายเงินมา ผมก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ลงโฆษณาให้ แม้ว่ามันอาจล่อลวงพวกคลั่งวิทยาศาสตร์จักรกลได้ก็ตาม”
“แล้วตอนนี้ไปถึงไหนแล้ว พอจะมีข่าวคราวบ้างไหมครับ?” ลูเมี่ยนหัวเราะตาม “ผมอยากลงทุนกับพวกเขาสักหน่อย อยากดูว่าจะต้มตุ๋นอย่างไร หรือทำอะไรออกมาได้บ้าง”
กวีอีแลตหยิบกล้องยาอันเขื่องขึ้นมาสูบ พลางบ่นตัดพ้อ
“สู้เอาเงินมาลงทุนกับผมดีกว่า อย่างน้อยคุณก็ยังได้ด่าผลงานของผมว่าเหมือนก้อนขี้หมา ซ้ำยังจะไม่ตอบโต้ด้วย”
“ไม่มีปัญหา สักห้าพันเฟลคินเป็นไง?” ลูเมี่ยนทำตัวประหนึ่งไม่ยี่หระกับการจับจ่าย
เขาวางแผนว่า ในภายหลังจะอ้างเงินสดไม่พอ แล้วจ่ายอีแลตแค่สามพันเฟลคิน
อีแลตวางกล้องยาอันเขื่องลง กางแขนกว้าง
“สุริยันจงเจริญ! ขอให้เจตนาชั่วร้ายของชาร์ลรุนแรงยิ่งกว่านี้ด้วยเถิด!”
“ฮ่าๆ … ไว้ซาลอนนี้จบ เรากลับเขตเมืองเก่าด้วยกัน” ลูเมี่ยนสื่อเป็นนัยว่าจะให้เงินอุดหนุนแน่ ที่ยังไม่ควักให้เดี๋ยวนี้เลย ก็เพราะอยากสงวนท่าทีไว้บ้าง
หลังจากแทรกด้วยเหตุการณ์ดังกล่าว กอร์เนลก็เปิดใจกับลูเมี่ยนมากขึ้น
“ผมไม่ทราบเลยว่าตอนนี้พวกเขาเป็นอย่างไร ทางนั้นลงโฆษณากับเราแค่เดือนเดียว”
คุยกันไปอีกพักหนึ่ง เคานต์ปุยฟ์เห็นว่าพระอาทิตย์ใกล้ตกดิน ก็มองไปรอบๆ แล้วเสนอด้วยรอยยิ้ม
“มาเล่นเกมเค้กพระราชากันเถอะ อุ่นเครื่องก่อนมื้อเย็น”
รู้จักอยู่เกมเดียวหรือไง เคยมีวัยเด็กกับเขาบ้างไหม? ลูเมี่ยนรำพันในใจ แต่มิได้คัดค้าน
เมื่อคนที่เหลือทยอยเห็นด้วยเป็นทอดๆ เคานต์ปุยฟ์ก็สั่งให้คนรับใช้นำเค้กพระราชาก้อนโต ซึ่งเตรียมไว้ในครัวแล้ว ยกออกมาวางทันที
มองเผินๆ ดูเหมือนฝาหม้อตุ๋น วางคว่ำบนจานสีเงิน ส่งกลิ่นสีชวนน้ำลายสอ
“ให้ใครรับหน้าที่ตัดแบ่งดีนะ…” เคานต์ปุยฟ์มองกวาดจนทั่วผู้ร่วมเล่นทุกคน
เขาครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วกล่าว
“เอโลอีส ให้เป็นหน้าที่เธอก็แล้วกัน ในฐานะสุภาพสตรีอายุน้อยที่สุด งดงามที่สุดในนี้”
เอโลอีส นั่งบนเก้าอี้สตูลสูงข้างลูเมี่ยน กระโดดลงอย่างคล่องแคล่ว หยิบมีดตัดอาหาร เริ่มหั่นเค้กพระราชา
ลูกพี่ลูกน้องสั่งอะไรก็ทำแฮะ… จำเป็นต้องพึ่งพาตระกูลเซารอน ต้องพึ่งพาเคานต์ปุยฟ์เพื่อความอยู่รอด? ลูเมี่ยนพบว่าเอโลอีสชำนาญไม่เบา คงเคยใช้มีดหั่นอาหารมาไม่น้อย
ผ่านไปครู่เดียว เค้กพระราชาก้อนโตก็ถูกแบ่งหยาบๆ ออกเป็นยี่สิบเก้าส่วน
เฉกเช่นครั้งก่อน เคานต์ปุยฟ์เสนอให้นำเค้กชิ้นเกินถวายแด่ฟอม็องดา·เซารอน บรรพชนของตน ซึ่งก็ไม่มีใครคัดค้าน
จบพิธีดังกล่าว บรรยากาศในห้องรับแขกก็พลันเงียบสงัด กระทั่งด้านนอกปราสาทก็ดูเหมือนเวลาหยุดนิ่ง
“โลรองต์ คุณกับชาร์ลเพิ่งเข้าร่วมซาลอนวันเสาร์ของผมเป็นครั้งแรก เชิญพวกคุณเลือกก่อน” เคานต์ปุยฟ์มองมาทางลูเมี่ยนกับโลรองต์
ลูเมี่ยนหัวเราะ ‘ฮ่าๆ’
“เจ้าบ้านต้องเลือกก่อนถึงจะเหมาะ พวกคุณคิดเหมือนกันไหมครับ?”
ภายใต้การปลุกระดมของเด็กหนุ่ม แขกคนอื่นๆ ก็เห็นด้วยว่าควรให้เจ้าบ้านเริ่มก่อน
เคานต์ปุยฟ์เลิกปฏิเสธ หยิบเค้กพระราชามาหนึ่งชิ้น กล่าวกับทุกคนว่า
“ใครกัดโดนเหรียญทองได้เป็นพระราชา”
เห็นว่าสมาชิกตระกูลเซารอนคนนี้เลือกเสร็จแล้ว ลูเมี่ยนจึงค่อยโน้มตัวไปเลือก ความกังวลคลายลงหลายส่วน
เด็กหนุ่มมีหลักประกันสองชั้น — ปล่อยให้เคานต์ปุยฟ์เลือกก่อน ในกรณีที่เค้กยังเหลืออีกมาก ก็อาศัยความที่เทอร์มีโพลอสค่อนข้างรังเกียจเรื่องนี้ เลือกเค้กที่ปราศจากเหรียญทอง
ยังไม่ทันได้นั่งดี หัวสมองก็เริ่มมึนงงทันที เหมือนจะเห็นหน้าต่างบานแคบนั่นอีกครั้ง เห็นชายผมสีแดงเข้มที่ควักลูกตาตัวเองคนนั้น
……………………………………………………..