ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 367 ซาลอน
- Home
- All Mangas
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 367 ซาลอน
ตอนที่ 367 ซาลอน
ลูเมี่ยนเข้าใจความกังวลของฟรังก้า จึงยิ้มแล้วกล่าว
“มีสองทางเลือก”
“ทางแรกคือ ถามไพ่อาร์คาน่าใหญ่ของคุณว่าควรฉวยโอกาสนี้ติดต่อกับนิกายนางมารหรือไม่ ในเมื่อเดิมทีคุณก็เป็นผู้ชาย ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกกำจัด ขอเพียงผ่านการสืบประวัติเบื้องต้น คุณก็จะมีโอกาสพัฒนาตัวเองด้วยทรัพยากรของนิกาย และหากวันใดเสแสร้งต่อไปไม่ไหว ก็ให้ไพ่อาร์คาน่าใหญ่ของคุณมอบหมายภารกิจไกลๆ จากกรุงทรีอาร์ แล้วก็ชิ่งหนีไปเสีย”
“ลองคิดดูนะ ตอนนี้คุณก็ลำดับ 6 แล้ว ทรัพยากรลำดับสูงกว่านี้ส่วนใหญ่อยู่ในมือนิกายนางมาร การแทรกซึมเข้านิกายแล้วใช้ทรัพยากรจากภายใน ย่อมง่ายและปลอดภัยกว่าการเป็นศัตรูกับพวกเธอ แถมยังไม่ต้องเสี่ยงชีวิตล่านางมาร แต่แน่นอน เงื่อนไขสำคัญคือ ไพ่อาร์คาน่าใหญ่ของคุณต้องมีวิธีในการหลบสายตาของ ‘นางมารต้นกำเนิด’”
ฟรังก้าฟังแล้วตกใจ ถึงกับพึมพำออกมา
“ทำไมคุณดูชำนาญเรื่องแบบนี้นัก…”
ลูเมี่ยนเยาะหยัน
“คุณความจำเสื่อมหรือไง ตอนนี้ผมกำลังทำสิ่งที่คล้ายกันอยู่ เป็นตัวแทนของชุมนุมทาโรต์ แฝงตัวเข้าไปในชุมนุมกางเขนเลือดเหล็ก”
“รู้ไหมว่ามันเจ๋งตรงไหน? เมื่อผมทำภารกิจของชุมนุมกางเขนเลือดเหล็กสำเร็จ แน่นอนว่าการ์ดเนอร์·มาร์ตินต้องตกรางวัลให้ แต่ผมยังสามารถรายงานให้ไพ่อาร์คาน่าใหญ่ทราบ แล้วเบิกรางวัลจากเธอด้วยเหตุผลว่า ‘ภารกิจแฝงตัวมีความคืบหน้า’ … หนึ่งภารกิจ สองรางวัล… ไม่อย่างนั้น คุณไม่สงสัยบ้างหรือว่าทำไมผมถึงมีสมบัติวิเศษเยอะนัก?”
แน่นอน ผู้สนับสนุนรายใหญ่ที่สุดคือมิสเตอร์ K แต่ไม่มีความจำเป็นต้องบอกฟรังก้า
“หนึ่งภารกิจ สองรางวัล…” ฟรังก้าทวนประโยคซ้ำ แต่ทันใดนั้นก็ฉุกคิดบางอย่างได้ “แต่ฉันก็ต้องช่วยคุณทำภารกิจเกี่ยวกับชุมนุมกางเขนเลือดเหล็กด้วย มันจะไม่ขัดแย้งกับการ ‘ติดต่อ’ นิกายนางมารหรือ?”
ลูเมี่ยนทำหน้าทำนองว่า ‘เธอนี่อ่อนต่อโลกจังนะ’
“ไม่นะ มันจะขัดแย้งกันยังไง? คุณก็แค่บอกกับนิกายนางมารไปว่า พอลำดับ 4 แล้วอยากสลับไปเส้นทาง ‘นักล่า’ เพื่อกลับเพศเดิม จึงกำลังสืบหาเบาะแสของชุมนุมกางเขนเลือดเหล็กอยู่ ซึ่งปัจจุบันสืบไปได้พอสมควรแล้ว”
“ตามที่คุณเล่ามา พวกนางมารนั่นล้วนเคยเป็นชายมาก่อน ผมไม่เชื่อหรอกว่าพวกเธอไม่เคยคิดจะกลับเพศเดิมด้วยวิธีสลับเส้นทาง เหตุผลข้างต้นจึงเพียงพอที่จะโน้มน้าวแล้ว”
“นอกจากนี้ นางมารกับนักล่าเป็นเส้นทางใกล้เคียงกัน พวกเธอย่อมต้องคิดหรือมีแผนเกี่ยวกับชุมนุมกางเขนเลือดเหล็กอยู่ในใจแล้ว หากคุณมีโอกาสแฝงตัวเข้าร่วมฝ่ายหลัง พวกนางมารก็คงไม่ขัดขวาง ซ้ำยังจะมองคุณเป็นคนสำคัญมากขึ้นด้วย”
“อีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือ ในภายหลัง คุณจะกลายเป็นคนของนิกายนางมารที่คุมเขตตลาด และรับผิดชอบภารกิจเกี่ยวกับชุมนุมกางเขนเลือดเหล็ก… อะไรเกิดขึ้นที่นี่ ถ้าคุณอยากให้นางมารเบื้องบนรับรู้ พวกเธอก็จะรับรู้ แต่ถ้าคุณไม่อยาก พวกเธอก็จะไม่ ยกตัวอย่างเช่น… การมีอยู่ของ ‘นักลอบสังหารหญิง’ จินนา”
พูดถึงตรงนี้ ลูเมี่ยนคลี่ยิ้ม
“คุณยังสามารถ ‘ไถ’ ทรัพยากรของนิกายมาปลุกปั้นจินนาได้ด้วย ถึงตอนนั้น เมื่อนางมารเบื้องบนพบว่านางมารที่แข็งแกร่งคนหนึ่งซึ่งพวกตนบ่มเพาะมานาน ความจริงแล้วเป็นผู้หญิงแท้ๆ คงได้โมโหจนถึงกับคลุ้มคลั่งเป็นแน่”
แค่คิดก็น่าสนุกแล้ว ถือได้ว่าเป็นการยั่วยุและเย้ยหยันในระดับสูงสุด
ฟรังก้าพยักหน้าเบาๆ จนแทบไม่สังเกตเห็น
“เด็กอย่างคุณนี่ ถ้าดื่มโอสถนักกระตุ้น คงย่อยหมดในสัปดาห์เดียว”
“ผมก็แค่จุดไฟในใจคุณเท่านั้นเอง” ลูเมี่ยนเอนหลังพิงพนักโซฟา
ฟรังก้าพ่นเสียง ‘เฮอะ’ แล้วพูดครึ่งเยาะเย้ย ครึ่งล้อเล่น:
“ถ้าฉันเข้าร่วมนิกายนางมารจริงๆ แล้วคุณก้าวไปถึงจุดเปลี่ยนเชิงคุณภาพของลำดับ 5 แต่หาสูตรโอสถลำดับ 4 กับวัตถุหลักไม่ได้เลย ชุมนุมกางเขนเหล็กก็ช่วยไม่ได้ คุณจะพิจารณาสลับมาเป็นนางมารไหม?”
ลูเมี่ยนคิดจริงจังสักพักก่อนจะตอบ
“ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ถ้าต้องพึ่งพาพลังอำนาจของลำดับ 4 อย่างเร่งด่วนเพื่อบรรลุผลบางอย่าง การสลับเส้นทางก็ใช่ว่าจะเกิดขึ้นไม่ได้ ทางไหนง่ายกว่าผมก็เลือกอันนั้น”
“…” ฟรังก้าฟังแล้วก็ได้แต่อึ้ง “ค…คุณไม่มีกำแพงทางใจบ้างเลยหรือ?”
การตัดสินใจครั้งสำคัญระดับนี้ กลับพูดเหมือนกำลังเลือกว่าคืนนี้จะดื่มอัปแซ็งต์หรือแลงติร้อนแรง
ลูเมี่ยนยืมคำพูดพี่สาวมาตอบ
“ผมไม่เลือกวิธีการ”
จากนั้นก็เสริม
“ขอแค่บรรลุเป้าหมายเป็นพอ”
“แล้วก็ พอถึงลำดับ 3 แค่สลับกลับมาก็จบแล้วนี่?”
“มันจะง่ายขนาดนั้นได้ยังไง? อย่าว่าแต่ลำดับ 3 เลย ผู้วิเศษส่วนมากทั้งชีวิตก็ไม่มีปัญญาเลื่อนเป็นลำดับ 4… ยิ่งสูงก็ยิ่งยาก ไม่ว่าจะเป็นโอกาสคลุ้มคลั่ง หรือการได้มาซึ่งทรัพยากร” ฟรังก้ารู้สึกว่าลูเมี่ยนมองโลกง่ายเกินไป
ลูเมี่ยนหัวเราะในคอ
“ยังไงตอนนี้เราก็ได้แค่จินตนาการอยู่แล้ว อย่างน้อยมันก็ยังพอเป็นไปได้ในทางทฤษฎี”
ฟรังก้าเถียงไม่ออก จึงเปลี่ยนเรื่องถาม
“คุณบอกใช่ไหมว่ามีสองทาง อีกทางคืออะไร”
“หาวิธีล่านางมารจากนิกายคนนั้น เค้นข้อมูลงานเลี้ยงรื่นเริงของสตรีจากเธอให้ได้ แล้วพุ่งเป้าไปยังผู้เข้าร่วมที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นคนของสมาคมเสียวซ่าน… ภายในเวลาอันสั้น เราต้องรีบล็อกเป้าแล้วไล่เชือดสมาชิกหลักที่สนิทชิดเชื้อกับซูซานน่า·มาติสให้หมด ถอนรากถอนโคนภัยซ่อนเร้นให้สิ้นซาก” ลูเมี่ยนกล่าวอย่างรวบรัด
“ก็ฟังดูเป็นไปได้ แต่ถ้าคนของสมาคมเสียวซ่านไม่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงรื่นเริงนั่นโดยตรง เพียงแต่ติดต่อกับแขกผู้เข้าร่วมงานสักคน ลำพังการล่านางมารคนนั้นอาจไม่ช่วยให้เราได้ข้อมูลที่ต้องการ… มิหนำซ้ำ ในภายหลัง คนใหญ่คนโตในนิกายนางมารจะต้องหันมาสนใจแน่ ปิดประตูการสืบสวนของพวกเราไปทันที” ฟรังก้าคิดวิเคราะห์ทุกซอกทุกมุม “ฉันจะลองปรึกษากับไพ่อาร์คาน่าใหญ่ดูก่อน รอฟังความเห็นของเธอเกี่ยวกับแผนติดต่อกับนิกายนางมาร”
เธอถูกคำพูดของลูเมี่ยนโน้มน้าวไปไม่น้อย
เด็กหนุ่ม ‘อืม’ หนึ่งคำโดยไม่เร่งรัดฟรังก้า เพราะอย่างไรเสีย ตามแผนเดิม กว่าฟรังก้าจะแวะไปร้านเรือนแดงในเมืองชาโยอีกรอบ ก็ต้องรอสักสองสามวันก่อน
ก่อนหน้านั้น เขาต้องไปตามคำเชิญร่วมงานซาลอนของเคานต์ปุยฟ์
…………
สามวันหลังจากเริ่มสำรวจรอบๆ ปราสาทหงส์แดง โดยระหว่างนั้นก็แจ้งให้มิสเตอร์ K กับมาดามเมจิกเชี่ยนทราบเกี่ยวกับบัตรเชิญ ลูเมี่ยนได้นั่งรถม้าสี่ล้อสี่เบาะ ซึ่งการ์ดเนอร์·มาร์ตินจัดเตรียมไว้ให้ จนมาถึงปราสาทสีเบจอันเก่าแก่นั่น
เด็กหนุ่มแต่งตัวไม่ทางการมากนัก มิได้ใส่สูทหางนก มิได้สวมหมวกทรงสูง ไม่มีกระทั่งไม้ตะพดที่เป็นสัญลักษณ์ของสุภาพบุรุษ
เขาสวมชุดล่าสัตว์บางๆ สีน้ำตาลอ่อน กางเกงขายาวสีขาวครีม รองเท้าบูตสีน้ำตาล ในมือถือหมวกล่ากวางสไตล์โลเอ็น พลางปล่อยให้เรือนผมสีทองปนดำปลิวไสวตามแรงลม
อิงจากเกร็ดความรู้ที่โอลัวร์เคยเล่าให้ฟังตอนคุยเล่น ลูเมี่ยนรู้มาว่าในงานซาลอนเชิงวรรณกรรมและศิลปะ หากแต่งกายหรูหราเกินไปอาจทำให้ดูไม่กลมกลืนกับแขกคนอื่น กลายเป็นตัวตลกไปเสียอย่างนั้น
แน่นอน ชุดนี้ก็จ่ายด้วยเงินทุนสำหรับภารกิจจำนวน 10,000 เฟลคินที่การ์ดเนอร์·มาร์ตินเพิ่งให้มาใหม่ โดยหมดไปถึงหนึ่งพันเฟลคินเต็ม
ลูเมี่ยนถือเทียบเชิญ ยอมให้บอดี้การ์ดตรวจสอบ แล้วจึงเดินผ่านประตูใหญ่หนักๆ ที่สูงหลายเมตรเข้าไป
ด้านในเป็นห้องโถงใหญ่ แต่ตกแต่งค่อนข้างเรียบง่าย คงเป็นเรือนนอนของพ่อบ้าน คนรับใช้ชายหญิง และบอดี้การ์ดของแขกที่เดินทางมาร่วมงานเลี้ยงใหญ่
ลูเมี่ยนกวาดตาไปรอบตัว เพื่อยืนยันว่าตรงนี้ไม่ใช่ห้องโถงในฝันร้าย
เดินผ่านตรงนี้ไป ด้านหลังเป็นลานกลาง และตรงข้ามลานกลางคืออาคารหลักของปราสาทหงส์แดง
อาคารหลังดังกล่าวสูงหกเจ็ดชั้น มีหอคอยล้อมไว้อีกชั้น
อาศัยสัญชาตญาณ ลูเมี่ยนเงยหน้ามองหน้าต่างแคบๆ สักบานบนชั้นสาม
ในฝันร้ายของเด็กหนุ่ม ชายผมสีแดงสดจะยืนอยู่หลังหน้าต่างบานดังกล่าว คอยควักดวงตาสีน้ำตาลแดงของตัวเอง
ตอนนี้ไม่มีสิ่งใดอยู่หลังหน้าต่างกระจกใส มีเพียงภาพสะท้อนของผนังสีอ่อนที่ดูเก่ากระดำกระด่างเล็กน้อย
กระดำกระด่าง… เจ้าของไม่เคยทาสีผนังห้องเลยหรือ? จำได้ว่าโอลัวร์เคยเล่าให้ฟัง ปราสาทโบราณแบบนี้จะมีค่าบำรุงรักษาประจำปีแพงหูฉี่… ลูเมี่ยนถอนสายตากลับ เดินเข้าไปในตัวอาคาร
เพิ่งจะผ่านประตูบานคู่เข้าไป ก็พลันหรี่ตาลง จิตใจเริ่มหนักอึ้งเล็กน้อย
ห้องโถงนี้เหมือนกับในฝันร้ายทุกประการ!
ทั้งโคมระย้าคริสตัลที่แขวนไว้สูง หรือบันไดวนสีทองที่นำไปสู่ชั้นสอง ก็แทบจะเหมือนกับในฝันทุกประการ
แม้ลูเมี่ยนจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่เมื่อได้เห็นของจริง อารมณ์ก็เริ่มผสมปนเปอย่างมิอาจเลี่ยง
คนรับใช้ชายทุกคนในห้องโถง แต่งกายด้วยเครื่องแบบสีแดงสดขลิบทอง เรียงสองแถวอย่างเป็นระเบียบ คอยต้อนรับแขกเหรื่อที่มาเยือน
ลูเมี่ยนมองจนตาเริ่มกระตุก พบว่าสีแดงนั่นฉูดฉาดราวกับเลือดกำลังไหล
งานซาลอนจัดในห้องรับแขกใหญ่บนชั้นหนึ่ง ภายในตกแต่งอย่างมีรสนิยม ปูพรมหนาลายดอกสีแดงเข้ม ตรงริมหน้าต่างวางโซฟาไว้ชุดหนึ่ง มีเก้าอี้สตูลขาสูง รวมถึงเก้าอี้พนักพิงกระจายตัวล้อมรอบโซฟา
อีกด้านหนึ่งของห้องรับแขก เด็กสาวตัวสูงโปร่งกำลังนั่งอยู่ตรงเปียโนสีน้ำตาล แต่งกายในชุดกระโปรงยาวสีขาวเรียบหรู ลายดอกสีฟ้าอ่อน เรือนผมสีน้ำตาลแดงปล่อยทิ้งตัวตามธรรมชาติบนแผ่นหลัง
ขณะลูเมี่ยนเดินเข้ามาในห้องรับแขกใหญ่ มือทั้งสองข้างของเด็กสาวก็เลื่อนไปมาบนคีย์เปียโน สร้างท่วงทำนองอันไพเราะดุจดังเสียงน้ำพุไหลริน
เคานต์ปุยฟ์นั่งอยู่บนโซฟาเดี่ยว ด้านข้างมีสุภาพสตรีผมดำตาสีน้ำเงิน บุคลิกสำรวมสง่างาม กำลังนั่งยองเอนตัวพิงที่วางแขนโซฟา กระซิบกระซาบกับเคานต์ปุยฟ์เสียงเบา
ทั้งนักเขียนนิยายอาร์โนลี จิตรกรมาเลน นักวิจารณ์เอินส์ และกวีอีแลต ต่างก็พาคู่ควงมาด้วย บางคนจับกลุ่มคุยเล่นกันแถวโซฟา บางคนเดินวนเวียนใกล้ๆ โต๊ะวางของหวานกับเนื้อย่าง
นอกจากพวกเขายังมีแขกคนอื่นอยู่ด้วย ลูเมี่ยนกวาดตาไปรอบๆ จนกระทั่งพบอีกหนึ่งใบหน้าคุ้นเคย
นั่นคือโลรองต์ ผู้เช่าของโรงแรมระกาทอง ซึ่งนำเงินที่มารดาอย่างนางลาคาซานหามาอย่างยากลำบาก ไปใช้จ่ายในร้านกาแฟหรูหราเพื่อคบค้าสมาคมกับชนชั้นสูง นับได้ว่าเป็นไอ้บ้าตัวหนึ่ง
โลรองต์ยังคงใส่สูทหางนกสีดำสุดเนี้ยบ ผมสีน้ำตาลเหลืองหวีเสยไปด้านหลังเป็นทรงสามเจ็ด ดูขัดแย้งกับนักเขียน จิตรกร กวี และนักวิจารณ์รอบข้างที่แต่งตัวสบายๆ
เขาดูไม่อึดอัดแต่อย่างใด นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มยังคงเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ริมฝีปากบางๆ รัวคำทักทายไม่หยุด
วินาทีถัดมา โลรองต์มองเห็นลูเมี่ยนบ้าง รูม่านตาจึงเบิกกว้างทันใด ราวกับได้พานพบอสุรกาย
น…นี่มัน…เถ้าแก่คนปัจจุบันของโรงแรมระกาทอง ชาร์ล·ดูบัวส์ หัวหน้าหน่วยแก๊งอันธพาลคนดังไม่ใช่หรือไร?
เพียงพริบตา ความหวาดหวั่นอย่างแรงกล้าพลันเอ่อล้นภายในใจโลรองต์
เขากังวลว่าอีกฝ่ายจะเปิดโปงธาตุแท้ของตน จนสูญเสียเครือข่ายสายสัมพันธ์ที่อุตส่าห์สร้างขึ้นมาอย่างยากลำบาก!
อีกแค่ก้าวเดียวเขาก็จะทำสำเร็จแล้ว!
โฮ่ ดูเหมือนจะไปได้สวยเลยนี่ ถึงกับถูกเชิญมาในซาลอนระดับนี้… ลูเมี่ยนยิ้มให้โลรองต์ พลางชี้เข้าหาตัวเอง สื่อว่าเราลงเรือลำเดียวกัน แค่แกล้งทำเป็นไม่รู้จักกันก็พอ
ขณะโลรองต์ถอนหายใจโล่งอก ลูเมี่ยนก็เดินเข้าใกล้เคานต์ปุยฟ์
เด็กหนุ่มบ่นอย่างสนิทสนม ด้วยท่าทางที่เป็นธรรมชาติ
“ไม่เห็นบอกกันเลยว่าต้องพาคู่ควงมาด้วย พวกคุณกำลังทำให้ผมดูแย่!”
“ฮ่าๆ” พวกเคานต์ปุยฟ์หัวเราะชอบใจ ท่าทางเหมือนคนแกล้งน้องใหม่สำเร็จ
หัวเราะเสร็จ เคานต์ปุยฟ์ก็ชี้ไปทางเด็กสาวที่กำลังเล่นเปียโน
“ถ้าคุณไม่รังเกียจ จะชักชวนหลานสาวของผมก็ได้นะ มิสเอโลอีสน่ะ”
……………………………………………………..