ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 363 การเรียนรู้นำไปสู่ความก้าวหน้า
- Home
- All Mangas
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 363 การเรียนรู้นำไปสู่ความก้าวหน้า
ตอนที่ 363 การเรียนรู้นำไปสู่ความก้าวหน้า
ลูเมี่ยนยังไม่ลืมว่า ในคืนวันที่เล่นเกมเค้กพระราชา ตนฝันร้ายอยู่หลายหน ทุกครั้งจะฝันถึงปราสาทโบราณสีเบจ ผิวปราสาทเปื้อนคราบเลือดหลายยุคสมัย ด้านในปราสาทมีแต่เหตุการณ์อันโหดร้ายบ้าคลั่ง
เห็นเด็กหนุ่มนิ่งไปครู่หนึ่ง การ์ดเนอร์·มาร์ตินจึงเสริมด้วยรอยยิ้ม
“เพียงแค่คุณจำไว้ว่า ในสถานการณ์ที่คล้ายๆ กับเกมเค้กพระราชา ปล่อยให้ปุยฟ์เลือกก่อน แค่นี้ก็ไม่มีปัญหาแล้ว”
แต่ช่วงสองสามวันมานี้ ฉันไม่ใช่ฉันคนเดิมแล้วน่ะสิ มือขวาถูกครอบงำด้วยออร่าจักรพรรดิโลหิต ลำพังการเลือกเป็นคนสุดท้ายจะหลีกหนีปัญหาได้จริงหรือ? ลูเมี่ยนรำพันเงียบพลางกล่าวออกไป
“ครับ ผู้การ”
จากนั้นเขาก็ถาม
“ปราสาทหงส์แดงอยู่ที่ไหนครับ”
ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากสำรวจพื้นที่ล่วงหน้า อย่างน้อยก็ต้องหาให้ได้ว่าวิหารใหญ่ที่ใกล้ที่สุดอยู่ตรงไหน
“เขตเอราโต ใกล้กับพระราชวังฤดูร้อนที่สร้างโดยจักรพรรดิโรซายล์ ใกล้กับป่าโลเนส์ประจิม” การ์ดเนอร์·มาร์ตินตอบกระชับ
เขตเอราโต หรือเขต 17 สมัยยุคโรซายล์ยังเป็นเพียงชานเมือง เป็นสถานที่พักผ่อนฤดูร้อนของบรรดาขุนนางและเชื้อพระวงศ์ ปัจจุบันถูกนับรวมอยู่ในกำแพงเมืองด้วย ถือเป็นหนึ่งในเขตที่กว้างที่สุดของทรีอาร์ เนื่องจากเป็นที่ตั้งของกองทัพ จึงมีอีกชื่อหนึ่งคือเขตค่ายทหาร
เขตนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ประกอบด้วยอุทยานแห่งชาติ ป่าโลเนส์ประจิม ศูนย์ประชุม โรงงานผลิตอาวุธจำนวนมาก รวมถึงวิหารใหญ่สุดของศาสนจักรสุริยันเจิดจรัสในกรุงทรีอาร์ นั่นคืออารามศักดิ์สิทธิ์
ลูเมี่ยนทบทวนแผนที่กรุงทรีอาร์ในความทรงจำ แล้วพยักหน้าเบาๆ พลางกล่าว
“ใกล้กับเขตจัตุรัสเลย”
พระราชวังฤดูร้อนของจักรพรรดิโรซายล์มิได้อยู่ในเขตเอราโต แต่เป็นเขตจัตุรัส ตั้งอยู่ระหว่างป่าโลเนส์ประจิมกับป่าโลเนส์บูรพา
การ์ดเนอร์·มาร์ตินชำเลืองมือซ้ายลูเมี่ยน
“มือไปโดนอะไรมา”
ลูเมี่ยนหัวเราะซื่อๆ
“ก่อนหน้านี้ผมลงไปสำรวจสุสานใต้ดินลึกๆ กับเพื่อนที่รู้จักจากชุมนุมศาสตร์เร้นลับน่ะครับ เลยได้แผลมานิดหน่อย”
เด็กหนุ่มเชื่อว่า ด้วยความที่ชุมนุมกางเขนเลือดเหล็กสนใจและให้ความสำคัญกับใต้ดินทรีอาร์มาก บริเวณรอบๆ ทางลงสุสานอาจมีการวางกำลังสายลับไว้ จึงควรเลือกโกหกในประเด็นอื่นมากกว่า อย่างเช่น สมาคมวิจัยลิงบาบูนขนหยิกก็ถือเป็นชุมนุมศาสตร์เร้นลับเหมือนกัน
การ์ดเนอร์·มาร์ตินพยักหน้าเหมือนพึงพอใจ
“การสำรวจหรือผจญภัยที่ไม่จำเป็นเช่นนี้ ต่อไปทำให้น้อยลงหน่อย ไม่เพียงมันจะไม่มอบความรู้ทางศาสตร์เร้นลับที่คุณต้องการ กระทั่งของมีค่าก็ยังหาไม่พบ มีเพียงอันตราย อันตราย และอันตรายเท่านั้น”
จริงหรือ น้ำจากบ่อสตรีซามาเรียไม่ถือเป็นของมีค่าหรอกหรือ? ลูเมี่ยนรำพันเงียบ ก่อนจะรับปากด้วยความจริงใจ
“ครับ ผู้การ”
หากมิใช่เพราะมาดามจัสติสมอบหมาย เขาก็ไม่คิดจะลงไปสุสานใต้ดินชั้นสี่อยู่แล้ว
ตอนนี้ยิ่งไม่คิดจะลง เพราะอาจเดินผ่านห้องฝังศพของตระกูลอามุนด์สักคนอีกก็ได้!
หลังจากบอกลาการ์ดเนอร์·มาร์ติน ลูเมี่ยนก็นั่งรถม้าสาธารณะกลับไปยังถนนใหญ่ตลาด
เด็กหนุ่มพิงหลังกับผนังตู้รถ สมองครุ่นคิดไปเรื่อยเปื่อย เป็นทั้งการผ่อนคลายหัวสมอง รวมถึงทบทวนปัญหาที่อาจมองข้ามไป
ท่ามกลางเสียงฝีก้าวของม้าและเสียงล้อรถหมุน ลูเมี่ยนพลันฉุกคิดบางอย่างได้
“หลังจากที่โรงเรียนกุหลาบโดนการ์ดเนอร์·มาร์ตินย้อนเกล็ดไป พวกมันอาจใจเย็นลง แล้วหันไปเพ่งเล็งคนอื่นในเหตุการณ์ ‘พฤกษาเงา’ แทนก็ได้”
“สมาคมเสียวซ่านสูญเสียไปแค่สองสมาชิกหลักอย่างชาร์ล็อตต์·คัลวิโน กับนักบวชใหญ่ซูซานน่า·มาติส แต่คนอื่นยังอยู่ครบ เช่นอดีตผู้จัดการโรงละครกรงพิราบเก่า ไมป์·ไมเออร์ หรือพวก ‘นักแสดง’ ที่เคยรับบทนำในกรงพิราบเก่าแล้วสุดท้ายก็หนีไป…”
“ไม่รู้ว่าซูซานน่า·มาติสเคยเปิดเผยเรื่องของ ‘พฤกษาเงา’ ให้สมาชิกคนอื่นฟังบ้างไหม… ถ้าเคย พวกนั้นก็ต้องรู้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของนักบวชใหญ่คือเรา ชาร์ล·ดูบัวส์ หรือก็คือลูเมี่ยน·ลี…”
“ถ้าเป็นแบบนั้น โรงเรียนกุหลาบกับสมาคมเสียวซ่านก็คงปรับเป้าหมาย หันมาเพ่งเล็งเราแทน แค่คิดก็ปวดหัวแล้ว…”
“น่ารำคาญจริงๆ อยากฆ่าพวกโรงเรียนกุหลาบกับสมาคมเสียวซ่านทิ้งให้หมด…”
คิดไปคิดมา ภายใต้อิทธิพลจากผลข้างเคียงเชิงลบต่างๆ ในตัว ลูเมี่ยนสบถด่าในใจ ก่อนจะดึงความสุขุมเยือกเย็นกลับมา
หากมิใช่เพราะพวก ‘นักแสดง’ นั่นถนัดการปลอมตัวอย่างแนบเนียน เด็กหนุ่มคงวางแผนไล่เชือดสมาคมเสียวซ่านทุกคนเพื่อกำจัดภัยซ่อนเร้นไปแล้ว
เขาเชื่อว่าถุงมือสนับ ‘ทุบตี’ จะต้องได้ผลดีกับพวกที่มีแรงกระหายบิดเบี้ยวเหล่านี้แน่
“จะไปหาพวกมันที่ไหนดีนะ” ลูเมี่ยนครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง
ทันใดนั้น รถม้าสาธารณะแล่นจอดป้ายระหว่างทาง ผู้โดยสารคนหนึ่งเดินขึ้นมา
เป็นเด็กชายอายุเจ็บแปดขวบ สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว สูทสีดำสำหรับเด็ก กางเกงขาสั้นสีเดียวกัน สวมถุงเท้าสีขาว รองเท้าสีดำ ผมสีบลอนด์ค่อนข้างสั้น นัยน์ตาสีน้ำตาลดูเด็ดเดี่ยว ใบหน้ายังคงมีความอวบอิ่มของเด็ก
เฮ้ยๆ นี่มันลุดวิก ลูกบุญธรรมของบารอนบรินิแยร์ไม่ใช่หรือไง? ลูเมี่ยนอารมณ์ดีขึ้นทันใด จนถึงกับยิ้มออก
แทบจะพร้อมกัน ลุดวิกก็เห็นเขาด้วย
ดวงตาสีน้ำตาลอันเด็ดเดี่ยวของเด็กชายฉายแววตื่นตระหนกชั่วครู่ ก่อนจะหมุนตัวแล้วก้าวลงจากรถม้าไป
เขายังคงสะพายกระเป๋านักเรียนหนังสีแดงเข้มที่ดูหนักอึ้งเช่นเคย
หนีออกจากบ้านอีกแล้ว? ลูเมี่ยนยิ้มพลางลุกขึ้นยืน แล้วเดินลงจากรถม้าก่อนถึงป้ายปลายทางตัวเอง
ใกล้กับป้ายรถม้า เงาของเด็กชายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
วิ่งเร็วไม่เบา… ลูเมี่ยนสังเกตรอยเท้าใกล้เคียง แล้วเลือกทิศทางหนึ่งอย่างไม่รีบร้อน
ในสถานการณ์ที่ไม่มีเวลาลบร่องรอย การหนีให้พ้นจากการดมกลิ่นของ ‘นักล่า’ คือสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้!
หลังจากเดินตามมาสองถนน ลูเมี่ยนเลี้ยวเข้าตรอกเปลี่ยวแห่งหนึ่ง เดินไปถึงเครื่องกีดขวางชำรุดที่สูงระดับเอว แล้วก็พูดพลางหัวเราะเบาๆ
“ออกมาเถอะ”
ลุดวิกชะโงกหน้าเด็กๆ ออกจากหลังเครื่องกีดขวาง กล่าวอย่างเดือดดาลด้วยน้ำเสียงและใบหน้าตึงเครียดเล็กๆ
“ไอ้คนโกหก! อย่าเข้ามานะ!”
“ถ้าคุณเข้ามาอีก… ผ…ผมกินคุณแน่!”
ลูเมี่ยนยกมือขวาลูบคางพลางพูด
“ทำไมถึงหนีออกจากบ้านอีกแล้วล่ะ”
ลุดวิกตอบอย่างโกรธขึ้ง
“ก็เพราะไอ้พวกการบ้านเวรตะไลนั่นไง!”
“โฮ่… พูดคำหยาบได้แล้ว พัฒนาขึ้นจากคราวก่อนไม่เบาเลย” ลูเมี่ยนเย้าแหย่ด้วยรอยยิ้ม
เมื่อครั้งก่อน ต่อให้ไม่ดูปริมาณอาหารหรือนิสัยการกิน เขาก็ยังตงิดใจอยู่ดีว่าอีกฝ่ายต้องไม่ธรรมดา แต่ตอนนี้กลับเริ่มเหมือนเด็กจริงๆ แล้ว
คิดถึงตรงนี้ ลูเมี่ยนก็พูดข้อสรุปออกมาตรงๆ
“เห็นไหม การเรียนก็มีประโยชน์เหมือนกัน”
ลุดวิกได้ยินแล้วก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ลืมโต้แย้งไปเสียสนิท
ลูเมี่ยนมองขึ้นลงอยู่สองสามครั้ง ก่อนจะพูดด้วยความจริงใจ
“สติปัญญาของเธอไม่ได้ดีแต่กำเนิด ค่อนไปทางสมองทึบ ถ้าไม่อ่านหนังสือทำการบ้านทุกวัน หมั่นทำข้อสอบเป็นระยะเพื่อพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ ฉันรับประกันได้เลยว่า แค่เธอก้าวเท้าออกจากบ้าน ก็จะถูกคนอย่างฉันต้มตุ๋นแล้ว ไม่มีทางรู้เลยว่าจะเผชิญวิบากกรรมใดบ้าง”
ลุดวิกพึมพำด้วยเสียงเหม่อลอย
“ผมพัฒนาขึ้นจริงหรือ? การอ่านหนังสือ ทำการบ้าน ทำแบบฝึกหัด มันมีประโยชน์จริงๆ …”
ไม่ใช่โง่โดยกำเนิด แบบนี้เรียกว่าสมองพังแล้วกระมัง? พูดแค่นี้ก็เชื่อแล้วหรือ ด้วยความไร้เดียงสาระดับนี้ ถ้าถูกทิ้งไว้หน้าคาบาเร่ต์แกะดำ ไม่อยากคิดเลยว่าจะลงเอยแบบไหน… ลูเมี่ยนรำพันในใจ แต่ใบหน้ายังคงสวมรอยยิ้ม
“ถูกต้อง ถ้าเธอรู้สึกว่ามันหนักหนาเกินไป ก็ควรไปคุยกับบรินิแยร์โดยตรง ขอให้เขาช่วยลดจำนวนการบ้านลง ไม่ใช่หนีออกจากบ้าน ถ้าเธอทิ้งการเรียนเมื่อไร ความโง่ก็จะยิ่งทับถมไปเรื่อยๆ”
สำหรับตอนนี้ ลูเมี่ยนมีเพียงความคิดเดียว
มนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตคล้ายมนุษย์ที่ผิดปกติชัดเจนขนาดนี้ สมองทึบระดับนี้ ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของศาสนาจารีตเท่านั้น
แต่พูดก็พูดเถอะ ศาสนจักรเทพแห่งปัญญาความรู้ย่ามใจไปหน่อยไหม ถึงได้มั่นใจว่าบารอนบรินิแยร์จะรับมือกับไอ้ตัวที่ ‘กินทุกอย่างที่ขวางหน้า’ แบบนี้ได้?
นี่ก็หนีมาได้ตั้งสองครั้งแล้ว!
ถ้าไม่ใช่ว่าเราเป็นคนเจอทุกครั้ง ป่านนี้คงเกิดเรื่องอึกทึกครึกโครมแล้ว!
ลุดวิกเงียบไปสองสามวินาทีก่อนจะพูด
“คุณช่วยผมเจรจาได้ไหม”
“ไม่มีปัญหา” ลูเมี่ยนรับปากโดยไม่ลังเล
ในแง่นี้ ตัวเขาถือว่ามีประสบการณ์โชกโชนมาก สามารถชักแม่น้ำทั้งห้ามาต่อรองกับพี่สาวได้เสมอ
“งั้นผมจะเชื่อใจคุณอีกสักครั้ง” ลุดวิกลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเด็ดเดี่ยวด้วยสีหน้าขึงขัง
เด็กชายปีนข้ามเครื่องกีดขวางโทรมๆ ทันที
อย่าพูดแบบนี้สิ พอได้ยินแล้วมันยิ่งอยากแกล้งเอ็งอีกสักครั้ง… ลูเมี่ยนรำพันเงียบ ก่อนจะพาลุดวิกเดินไปยังป้ายรถม้า
ระหว่างทาง เขาชำเลืองมองเสื้อผ้าที่เปรอะเปื้อนของเด็กชาย แล้วพูดว่า
“มีชุดสำรองเปลี่ยนไหม”
“ไม่มี” ลุดวิกส่ายหน้า
หนีออกจากบ้าน แต่ไม่เอาเสื้อผ้าสำรองมาเปลี่ยนสักตัว? ลูเมี่ยนถามต่ออย่างขำขัน
“งั้นในกระเป๋าสะพายใส่อะไรไว้ล่ะ ของกิน?”
ลุดวิกส่ายหน้าอีกครั้ง ท่าทางดูซื่อสัตย์มาก
ไม่ใช่ของกิน ไม่ใช่เสื้อผ้า… ด้วยความสงสัย ลูเมี่ยนหันไปมองกระเป๋านักเรียนหนังสีแดงเข้ม
“ไม่ใช่หนังสือกับแบบฝึกหัดด้วยสินะ”
“ไม่ใช่…” ลุดวิกปิดปากสนิท
แล้วมันคืออะไร… ลูเมี่ยนหรี่ตาเล็กน้อย
ทันใดนั้น ลุดวิกถามด้วยใบหน้าไร้เดียงสา
“มีของกินไหม”
“ไม่มี กลับไปถึงถนนใหญ่ตลาดค่อยกิน” ลูเมี่ยนตอบอย่างไร้ความปรานี
ล้อเล่นกันหรือไง ด้วยปริมาณการเขมือบของเอ็ง ใครมันจะโง่เลี้ยงด้วยเงินตัวเอง?
ลุดวิกถอนหายใจอย่างผิดหวัง ดูดนิ้วตัวเองปานจะกัดเข้าไปสักคำ
โชคดีที่ทั้งสองอยู่ไม่ไกลจากถนนใหญ่ตลาดมากนัก นั่งรถม้าแค่ป้ายเดียวก็มาถึงจุดหมาย
ลูเมี่ยนเห็นบารอนบรินิแยร์ที่หน้าบริษัทปล่อยเงินกู้ และเมื่อ ‘สุภาพบุรุษ’ รายนี้เห็นลุดวิก ก็พลันถอนหายใจโล่งอก
“คุณทำอะไรสักอย่างบ้างเถอะ” ลูเมี่ยนชิงพูดก่อนที่อีกฝ่ายจะเปิดปาก “หรือคิดว่าผมจะเจอเขาได้ทุกครั้ง? ลดการบ้านกับแบบฝึกหัดลงสักครึ่งหนึ่งดีไหม”
บารอนบรินิแยร์ชั่งใจเล็กน้อย
“ตกลง”
ลุดวิกแทรกขึ้นมาเบาๆ
“เพิ่มของหวานด้วย”
เห็นพ่อลูกบุญธรรมคู่นี้กลับมาญาติดีกันตามเดิม ลูเมี่ยนโบกมือลาไปพลาง นึกสงสัยไปพลาง:
“ศาสนจักรเทพแห่งปัญญาความรู้ส่งเด็กไม่ปกติแบบนี้มาที่ทรีอาร์ เบื้องหลังวางแผนอะไรไว้กันแน่…”
…………
เขตเนินเขา เมืองในหุบเขาลึก เบื้องหน้าตึกเก่าสีเทาขาวสองชั้น
วาเลนไทน์กับอิมเร ซึ่งได้กุญแจทองเหลืองมาจากเชเลีย·เบลโล ยืนอยู่ด้านหลังสังฆานุกรอ็องกูแลม ใบหน้าทั้งคู่ดูเคร่งเครียดอยู่บ้าง
จาก ‘ผลตอบรับ’ ของสมบัติปิดผนึกบางชิ้น กุญแจทองเหลืองที่ยึดมาจากผู้ว่าจ้างในคดีการหายตัวไปของผู้ดูแลประตู บ่งชี้มายังอาคารหลังนี้
……………………………………………………..