ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 359 เทพแห่งโรค
- Home
- All Mangas
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 359 เทพแห่งโรค
ตอนที่ 359 เทพแห่งโรค
ลูเมี่ยนมองแวบเดียวก็พบว่า ฟรังก้าในเสื้อเชิ้ตสตรีกำลังเคาะกระจก
เด็กหนุ่มเปิดหน้าต่าง ถามไปพลางขำ
“ทำไมไม่เข้าทางประตูหน้า”
“คุณก็ปีนหน้าต่างบ่อยไม่ใช่หรือไง” ฟรังก้ากระโดดเข้ามาในห้องอย่างคล่องแคล่ว ตามมาด้วยจินนา
จินนาสำรวจสักพักแล้วชี้มือซ้ายลูเมี่ยน
“คุณบาดเจ็บ?”
ทำไมถึงต้องพันแผล?
ลูเมี่ยนหัวเราะ
“ผมลงไปสุสานใต้ดินชั้นสี่มา เผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดที่น่าจะเป็นวิญญาณมาร ต่อสู้กันอย่างดุเดือด แล้วได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย”
“จริงหรือ? สุสานใต้ดินชั้นสี่…” ฟรังก้าอุทานด้วยความกังขา พลางมองมือซ้ายของลูเมี่ยน
“ถ้าเชื่อก็คือจริง ไม่เชื่อก็คือเท็จ” ลูเมี่ยนอมยิ้ม
ฟรังก้าเข้าใจแล้ว จึงมิได้ถามต่อ
“ฉันว่ามีทั้งจริงและเท็จนะ…” จินนาพึมพำเสียงเล็กเสียงน้อย
ลูเมี่ยนไม่สนใจเธอ เพียงถามกลับไป
“พวกคุณก็ไปเจออะไรมาเหมือนกันหรือ”
“อื้อ” ฟรังก้าเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเธอให้ฟัง พลางยื่นกุญแจทองเหลืองออกมาข้างหน้าแล้วพูด “มาทำนายกันไหมว่ามันใช้ไขประตูบานไหน? คนที่มีปัญญาจ่ายค่าจ้างห้าหมื่นเฟลคิน ไม่มีทางไม่ร่ำรวยอยู่แล้ว!”
ลูเมี่ยนเยาะหยัน
“คุณนี่ชอบลองของแปลกใหม่จังนะ”
“เรื่องชั่วร้ายแบบนี้ควรส่งให้ ‘ผู้ชำระ’ ตรวจสอบแทน มิหนำซ้ำ มันยังพัวพันกับนักบวชศาสนาเทพจักรกลไอน้ำสักคนที่ถลำลึกด้วย อย่าบอกนะว่าคุณคิดจะแอบเข้าไปสำรวจเหมืองหินหุบเขาลึกด้วยตัวเองจริงๆ?”
“สารภาพตามตรง ฉันก็อยากลองอยู่เหมือนกัน” ฟรังก้ายิ้มแหยๆ “ทั้งการยืดอายุด้วยเครื่องจักร และการมอบชีวิตให้เครื่องจักร ต่างก็เป็นสิ่งที่ฉันสนใจมาก แต่แน่นอน สติปัญญาของฉันไม่อนุญาตให้เข้าไปสำรวจหรอก”
จินนาไม่พูดอะไร ดูเหมือนระหว่างทางเธอได้คุยเรื่องนี้กับฟรังก้าไปแล้ว
หลังจากระบายความอยากรู้อยากเห็นของตัวเอง ฟรังก้าเห็นด้วยที่จินนาจะหาโอกาสส่งกุญแจดอกนั้นให้ ‘ผู้ชำระ’ พร้อมกับรายการสิ่งที่เกิดขึ้น
เธอหันไปมองจินนา
“ฉันกำลังจะไปถนนน้ำพุ แล้วเธอล่ะ”
จินนามีแผนอยู่แล้ว จึงหันไปทางลูเมี่ยน
“คุณเคยบอกสินะ ว่าให้ฉันไปสืบหาที่อยู่ของเจ้าของโรงงานนั่นมา? ฉันสะกดรอยตามไปแล้ว ได้ข้อมูลกลับมาเพียบเลย… เราแวะไปหาครอบครัวที่กำลังรอเงินชดเชยกันเถอะ แล้วชักนำพวกเขาให้ไปเรียกร้องด้วยกัน”
“ฉันไม่ได้บอก แต่เป็นเธออยากทำเอง” ลูเมี่ยนตอบพลางยิ้ม
ฟรังก้าส่งเสียง ‘เอ่อ’ อยู่ในคอ แต่สุดท้ายก็ต้องเดินทางไปถนนน้ำพุตามกำหนดการเดิม
…………
เขตสวนพฤกษศาสตร์ จุดเชื่อมระหว่างถนนปลาสเตอร์กับถนนอีฟลิน (อีฟ-ลิน)
แต่ละตึกต่อเติมส่วนขยายที่ไม่สอดคล้องกับดั้งเดิม ราวกับตัวต่อที่เด็กๆ ประกอบเล่นอย่างไร้แบบแผน มอบความรู้สึกเหมือนป่าที่งอกเงยอย่างดิบเถื่อน แต่ใกล้จะพังทลายเต็มที
จินนาชี้ไปทางสตรีที่กำลังนั่งยองๆ ซักผ้าอยู่ริมถนน
“นางมอร์กานา สามีก็ตายในอุบัติเหตุเมื่อหลายปีก่อนเหมือนกัน”
นางมอร์กานาสวมชุดกระโปรงยาวสีเทาเก่าๆ ที่เต็มไปด้วยรอยปะชุน ใบหน้ามีริ้วรอยชัดเจน อายุภายนอกเกินห้าสิบปี
“อันนี้ให้เธอจัดการก็แล้วกัน” ลูเมี่ยนไม่รีบร้อนเท่าไร เนื่องจากย่อยโอสถไปได้พอประมาณแล้วจากการจุดไฟเผา ‘ขวดเสกสรร’
จินนามองนางมอร์กานาเจ้าของใบหน้าซูบผอมโหนกแก้มสูง เงียบไปสองสามวินาทีก่อนจะกล่าว
“ทำไม” ลูเมี่ยนค่อนข้างอยากรู้
จินนาถอนหายใจ
“เธอร้ายมาก เป็นคนที่ถ้าตัวเองย่ำแย่ก็พลอยอยากให้เพื่อนบ้านซวยไปด้วย ชอบทำตัวน่ารังเกียจ ถึงแม้ตัวเองจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยก็ตาม”
“คุณก็รู้ว่าแม่ฉันเคยเป็นนักแสดง เคยเรียนหนังสือมาบ้าง เมื่อก่อนทำงานเป็นครูสอนพิเศษให้ครอบครัวชนชั้นกลาง รายได้ค่อนข้างดี แถมยังมีเกียรติ แต่พอนางมอร์กานารู้เข้า ก็แอบตามแม่ฉันไปจนพบบ้านหลังนั้น แล้วบอกกับคนรับใช้ที่ออกมาซื้อของว่า แม่ฉันขายตัวเป็นงานเสริม นิสัยสำส่อน แถมยังจ้องจะจับนายจ้างผู้ชาย… หลังจากนั้นไม่นานแม่ฉันก็ถูกไล่ออก ต้องระหกระเหินไปทำงานแม่บ้าน เด็กล้างจาน คนงานโรงงานเคมี”
“นางมอร์กานาไม่รู้หนังสือ ก็เลยไม่ได้เสียบตำแหน่งแม่ฉัน แต่ตัวเองกลับมีความสุขเฉยเลย”
“ความริษยา… หนึ่งในบาปต้นกำเนิดของมนุษย์” ลูเมี่ยนพยักหน้าเบาๆ “แล้วทำไมเธอไม่แก้แค้นล่ะ?”
“ผ่านมานานแล้วน่ะ” จินนาหัวเราะในคอ “อีกอย่าง ถ้าอาศัยอยู่ในย่านแบบนี้ ยังไงก็หนีเรื่องทำนองนี้ไม่พ้น ดีที่ตอนพ่อฉันตาย พี่ชายโตเป็นหนุ่มกำยำแล้ว ไม่อย่างนั้นครอบครัวคงแย่กว่านี้มาก ถ้าเกิดมีแค่แม่หม้ายกับลูกสาวย้ายเข้ามา สักหนึ่งวันให้หลัง ใครบางคนจะมายืนตะโกนด่าอยู่หน้าประตูบ้าน ว่าสามีของนางจ้องแม่คุณนานเกินเหตุ ส่วนเพื่อนบ้านก็จะแสร้งทำดีด้วย ช่วยแนะนำญาติผู้ชายให้รู้จัก”
“ถ้าคุณไม่ตอบตกลง ญาติที่ว่านั่นก็จะมานั่งดื่มเหล้าหน้าบ้าน วันแล้ววันเล่า แบบนั้นทุกวัน เรื่องแบบนี้ตำรวจไม่มายุ่งด้วยหรอก ไม่มีใครอยากช่วย วันดีคืนดีถ้ามันเมาจนกล้าพอ… จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง คงไม่ต้องเล่ากระมัง?”
“บางครั้งตำรวจก็ช่วยจับมันไป แต่จับไปหนึ่ง ก็มีตัวที่สองตัวที่สามมาใหม่ จนญาติของมันเริ่มโมโห ทุบหน้าต่างคุณทุกคืน กองอุจจาระไว้หน้าประตูบ้านคุณ หาเด็กโตมาซ้อมลูกสาวคุณ”
“แต่นี่ยังเด็ก แย่ที่สุดเลยคือถูกพวกแก๊งอันธพาลจับตามอง”
“ถ้าอยากมีชีวิตรอดในสภาพแวดล้อมแบบนี้ ในบ้านคุณต้องมีชายฉกรรจ์เยอะๆ หรือไม่คุณก็ต้องมีความดุดันระดับ ‘ถึงฉันตายก็จะไม่ปล่อยให้พวกแกสบาย’ แล้วต้องแสดงให้เห็นด้วย… โชคดีที่สัญญาเช่าหมดอายุลง แม่ตัดสินใจย้ายไปอยู่ท้ายถนนแทน สภาพแวดล้อมดีกว่ากันมากโข”
จินนาเล่าอย่างละเอียด ราวกับเห็นด้วยตาตัวเองหลายต่อหลายหน
ลูเมี่ยนเคยมีชีวิตที่แย่กว่าจินนา แต่ไม่เคยมีประสบการณ์ที่คล้ายกัน ความขัดแย้งและการปะทะระหว่างคนเร่ร่อนจะตรงไปตรงมากว่า ถ้าไม่ถูกซ้อมจนยอมจำนน หรือเป็นฝ่ายซ้อมให้ยอมจำนน ก็ต้องเตร็ดเตร่อยู่ชายขอบเหมือนหมาจรจัด รอเก็บเศษเดนจากคนอื่น จนกระทั่งย้ายมาอยู่หมู่บ้านกอร์ตู มีพี่สาวซึ่งเป็นผู้วิเศษคอยคุ้มกะลาหัว เขาถึงสามารถเล่นซนได้โดยไม่ต้องเกรงกลัว ส่วนชาวบ้านคนอื่นต้องทนถูกครอบครัวของหลวงพ่ออธิการโบสถ์กดขี่
เด็กหนุ่มมองจินนาผู้กำลังหวนระลึกถึงอดีต แล้วถามด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“คุณเคยพูดไว้ไม่ใช่หรือ ว่าทุกคนต่างก็ต้องดิ้นรนเพื่อให้ตัวเองรอด?”
“แม่ง! แล้วฉันพูดผิดตรงไหน? คนที่ดิ้นรนมันก็มีทั้งดีและไม่ดีนั่นแหละ” จินนาสบถ พลางใช้คางชี้สตรีที่กำลังซักผ้าอยู่ไม่ไกล “อย่างนางมอร์กานาไง เธอทำงานเสริมวันละสามงานเพื่อให้ลูกชายได้ย้ายออกจากละแวกนี้… หึๆ คุณอาจไม่เชื่อ แต่ผู้หญิงที่ชอบใส่ร้ายแม่ฉันคนนี้ บางครั้งก็ยกชิ้นขนมปังให้ฉันที่กำลังหิวท้องกิ่วรอแม่กลับบ้าน”
ลูเมี่ยนหันไปมองนางมอร์กานาตามเธอ
“คนแบบนี้โน้มน้าวง่ายมาก”
“ก็จริง” จินนาพยักหน้าเบาๆ แล้วก้าวออกไป
เธอเปลี่ยนท่าทีจากเมื่อครู่ ตะโกนคำหยาบใส่สตรีที่กำลังซักผ้า:
“นางมอร์กานา คุณรู้หรือยัง? ไอ้ห่าอัลฟองส์หักหลังพวกเราแล้ว!”
“ไอ้ขี้หมาตัวนั้นเอาแต่พูดว่า รอก่อน รอก่อน อ้างว่าในเมื่อศาลตัดสินแล้ว ไอ้แก่เอ็ดมุนด์จะต้องจ่ายค่าชดเชยแน่ๆ … แต่ไอ้ลูกหมูสารเลวนั่นกำลังจะหนีไป ไม่ยอมจ่ายให้เราสักโกเปต์เดียว!”
“ไอ้หมูอัลฟองส์ต้องได้รับส่วนแบ่งไปแล้วแน่ ถึงได้พูดแบบนั้นออกมา!”
นางมอร์กานาลุกพรวดในทันที ตามมือหยาบกร้านมีหยดน้ำไหลติ๋งๆ
ใบหน้าของเธอบิดเบี้ยวเล็กๆ ขณะถาม
“จริงหรือ? ฉันสู้กับไอ้หมูนั่นเอง!”
จินนาเองก็ทำหน้าเดือดดาล
“ตอนนี้อย่าเพิ่งสนใจมัน ไอ้แก่เอ็ดมุนด์กำลังจะหนีแล้ว!”
“พวกเราต้องรีบไปขวางมันก่อน ฉันรู้ว่าครอบครัวของมันอาศัยอยู่ที่ไหน!”
ขณะฟังจินนาปลุกระดมครอบครัวที่กำลังรอค่าชดเชยในละแวกนี้ ลูเมี่ยนยืนห่างออกไปราวๆ ห้าหกเมตร สอดส่ายสายตาไปรอบๆ แล้วพบว่า ที่นี่คล้ายคลึงกับถนนอลเวงไม่น้อย มีพ่อค้าแม่ค้าหาบเร่ เด็ก ผู้หญิง และผู้ชายจำนวนไม่มากปะปนกันไป เบียดเสียดอยู่บนถนน รถม้าธรรมดาที่วิ่งผ่านมาเป็นครั้งคราว เมื่อถึงหัวถนนก็จะหยุดมองสักพัก แล้วส่วนมากก็เลือกที่จะเลี้ยวอ้อมไป
ในบรรดาฝูงชน มีชายวัยกลางคนที่ดูค่อนข้างแปลกตา แค่มองผ่านๆ ก็จะโดดเด่นขึ้นมาทันที
เขาสวมเสื้อเชิ้ตลินินไม่เก่ามาก กางเกงขายาวสีเข้ม ใบหน้าค่อนข้างสะอาดเกลี้ยงเกลา ผมหวีเป็นระเบียบเรียบร้อย แตกต่างจากชาวบ้านกับพ่อค้าแม่ค้ารอบๆ อย่างสิ้นเชิง
ขณะนี้ ชายคนดังกล่าวกำลังสนทนากับสตรีกลุ่มหนึ่งที่กำลังยืนกอดขนมปังไรย์บาแก็ต (baguettes)
เขาหยิบปึกธนบัตรที่ไม่หนาไม่บางออกมา แล้วเริ่มนับทีละใบ
“195, 200… พวกคุณก็เห็นแล้วใช่ไหมว่ามันมี 200 เฟลคิน?”
“ถ้าไม่เชื่อ จะลองนับเองดูก็ได้นะ”
ธนบัตรมูลค่าต่ำสุดคือห้าเฟลคิน
สตรีเหล่านั้นไม่เคยจับเงินสดมากเท่านี้มาก่อนในชีวิต จึงนับด้วยความระมัดระวัง เพื่อยืนยันว่ามันมี 200 เฟลคินจริงๆ
ชายคนดังกล่าวรับธนบัตรคืนมา แล้วเริ่มนับใหม่อีกครั้ง
“195, 200, 205… พวกคุณเห็นไหม เพียงแค่สวดนามของพระองค์ท่านด้วยใจจริง ทุกครั้งที่นับธนบัตร ก็จะมีเพิ่มมาอีกหนึ่งใบ!”
ฝีมือมายากลไม่เลว… พวกนักต้มตุ๋นหรือเปล่า? ตอนนี้ทุกครั้งที่ลูเมี่ยนเห็นนักต้มตุ๋น ก็จะพาลนึกไปถึงโมไนต์กับคาบาเร่ต์แกะดำ จนทำให้โทสะพุ่งทะลุหลอด
กลุ่มสตรีนับธนบัตรอีกครั้ง พบว่ามันกลายเป็นสี่สิบเอ็ดใบแล้ว เพิ่มมาหนึ่งใบจากเมื่อครู่ เพิ่มมาอีกห้าเฟลคิน!
พอเห็นดังนั้น ชายวัยกลางคนจึงกล่าวเสียงขรึม
“พระองค์ที่ผมศรัทธาคือผู้ปกครองเหนือโรคภัยทั้งปวง หากพวกคุณศรัทธาในพระองค์ ก็จะไม่กลับไปป่วยอีกเลย หรือต่อให้ป่วย ก็จะหายเป็นปกติเร็วมาก”
“โรคภัยไข้เจ็บคือการลงทัณฑ์จากเทพแห่งโรค พวกคุณเพียงศรัทธาในเทพแห่งโรคด้วยใจ หมั่นสักการบูชาพระองค์ พระองค์ก็จะจากไปเอง…”
ฟังถึงตรงนี้ ลูเมี่ยนหรี่ตาลงพลางเดินไปหาอีกฝ่ายทันที
เด็กหนุ่มชักปืนลูกโม่ออกมา หันด้ามปืนออก แล้วทุบหัวชายวัยกลางคนอย่างแรง
ปึก!
ชายวัยกลางคนย่อตัวลงตามสัญชาตญาณ สองมือกุมหัว ไม่มีเสียงร้องถูกเปล่งออกมา
จากซอกนิ้วของเขา เลือดสีแดงสดเริ่มไหลซึมออกมา
ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของคนรอบข้าง ลูเมี่ยนนั่งยองลง สะบัดลำกล้องปืน แล้วยิ้มให้ชายวัยกลางคนนั่น
“เอาเลย ให้ผมดูหน่อยว่าเทพแห่งโรคจะรักษาคุณอย่างไร”
ชายวัยกลางคนแหกปากด้วยความตกใจ หวาดกลัว และเดือดดาล
“เทพแห่งโรค… ฮึ่ย… เทพแห่งโรคจะลงทัณฑ์คุณ!”
ลูเมี่ยนเก็บธนบัตรที่อีกฝ่ายทำหล่นพื้น ยื่นให้พร้อมกับกล่าว
“วันนี้ถ้าคุณนับจนมันมีหนึ่งแสนเฟลคินไม่ได้ ก็อย่าหวังจะได้ไปไหน”
พูดจบ เด็กหนุ่มเงื้อปืนลูกโม่อีกครั้ง แล้วทุบใส่โหนกแก้มของชายคนนั้นเสียงดังปั่ก เลือดสดสาดกระเซ็น ใบหน้ายุบเข้าไป ซี่ฟันหลุดกระจาย
……………………………………………………..