ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 357 ตัวจริงของโมไนต์
- Home
- All Mangas
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 357 ตัวจริงของโมไนต์
ตอนที่ 357 ตัวจริงของโมไนต์
การเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน รวมถึงออร่าอันความบ้าคลั่งที่ส่งอิทธิพลกับร่างกาย ทำเอาลูเมี่ยนรีบถอนจิตที่แผ่ไปยังแผลเป็นบนมือขวากลับมา
ความผิดปกติทั้งหลายหยุดลงทันที ทุกสิ่งกลับคืนสู่ปกติ
ลูเมี่ยนมองไปรอบห้อง กังวลว่าออร่าเมื่อสักครู่จะดึงดูดความสนใจที่ไม่พึงประสงค์
ตอนนี้ห้องเงียบจนผิดวิสัย สภาพแวดล้อมมืดสลัวกว่าปกติเล็กน้อย เหมือนมีกระจกสีเข้มถูกเพิ่มเข้ามาเป็นชั้นกันเสียง
ลูเมี่ยนคลายความกังวลลง พลางหันไปมองมาดามเมจิกเชี่ยน
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“ร่องรอยที่มาพร้อมกับออร่าของอลิสต้า·ทูดอร์ แต่ไม่มีผลจริง ไม่สามารถใช้ข่มขวัญผู้อื่น” มาดามเมจิกเชี่ยนยิ้มขณะถือแก้วไวน์แดงอ่อน “ร่วมกันกับใบหน้าของไนเซอร์ เธอสามารถไปแสดงเป็นจักรพรรดิโลหิตที่กรงพิราบเก่าได้”
ใช้ได้เฉพาะการแสดง หรือขู่ให้คนอื่นกลัวในบางโอกาส? ลูเมี่ยนพยักหน้าครุ่นคิด
“มันจะส่งผลข้างเคียงเชิงลบแบบไหน?”
มาดามเมจิกเชี่ยนหัวเราะในคอ
“บ้าบิ่นขึ้นเล็กน้อย เกรี้ยวกราดขึ้นเล็กน้อย หุนหันพลันแล่นขึ้นเล็กน้อย แต่ของเดิมก็ใช่เล่นที่ไหนกัน”
ความหมายของเธอคือ ในตัวคุณเต็มไปด้วยผลข้างเคียงเชิงลบที่คล้ายคลึงกัน ตราบใดที่ไม่มากจนเกินพอดี ปัญหาก็จะไม่เกิด หรือไม่ก็ คุณคุ้นชินกับมันมานานแล้ว คงไม่แย่ไปกว่านี้แล้ว
“ถ้าแบบนั้นยังพอไหว” ลูเมี่ยนถอนหายใจเบาๆ
มาดามเมจิกเชี่ยนจิบไวน์แดงอ่อนพลางย้ำเตือน
“ตอนนี้หลักๆ เธอพึ่งพาความอดทนอดกลั้นของตัวเองกับภิกษุบิณฑบาต เพื่อคงสภาพจิตใจและสะกดอิทธิพลด้านลบเอาไว้ แต่เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมก็ต้องระบายออกมาบ้าง เฉกเช่นอ่างเก็บน้ำ จะตะบี้ตะบันเก็บน้ำอย่างเดียวไม่ได้ ต้องหาโอกาสปล่อยน้ำออกมาบ้าง ไม่อย่างนั้น หากปล่อยให้สะสมวันแล้ววันเล่า ถ้าเขื่อนไม่แตก น้ำก็ต้องล้นออกจากอ่าง ทิ้งปัญหาทางจิตเอาไว้”
ก็จริง ลำดับถัดไปของภิกษุบิณฑบาตคือ ‘นักพรต’ ซึ่งเน้นย้ำความอดทนและการสะสมเป็นหลัก แต่ขณะเดียวกันก็มีแง่มุมที่ต้องระเบิดออกมา… ลูเมี่ยนเข้าใจที่มาดามเมจิกเชี่ยนต้องการจะสื่อ
ขณะเดียวกัน เด็กหนุ่มนึกถึงบางสิ่ง
หลังจากเข้าร่วมชุมนุมกางเขนเลือดเหล็กแล้ว เขาย่อมต้องสำรวจใต้ดินทรีอาร์อย่างไม่อาจเลี่ยง ถึงจะมีคุณสมบัติพิเศษในการผ่านเข้าออกบางสถานที่ รวมถึงเปิดขุมทรัพย์บางอย่างโดยอาศัย ‘ออร่าจักรพรรดิโลหิต’ ได้ แต่ในมุมกลับ มันก็จะยิ่งกระตุ้นความผิดปกติและอันตรายไม่ใช่หรือ?
ลูเมี่ยนแสดงความกังวลของตนออกมา มาดามเมจิกเชี่ยนฟังแล้วก็พยักหน้าอ่อนโยน
“มีความเป็นไปได้มากทีเดียว”
“เหมือนกับ… เอ่อ ที่คนชอบพูดกัน… มันเป็นทั้งพรและคำสาป”
“หากเธอไม่อยากเสี่ยง ให้รออีกสองสามวันแล้วสวดวิงวอนถึงมิสเตอร์ฟูลอีกครั้ง เพื่อขอให้พระองค์ท่านช่วยลบออร่าของอลิสต้า·ทูดอร์ออกไป… ที่ห้ามลืมเด็ดขาดคือ ต้องระบุให้ชัดเจนว่าเป็นออร่าของตัวตนลำดับสูงแห่งเส้นทางนักล่า… ลดความเข้าใจผิดที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงป้องกันไม่ให้กระบวนการ ‘ผ่าตัด’ เผลอลบอย่างอื่นออกไปด้วย”
“แล้วการรีเซตทุกหกโมงเช้าจะช่วยขจัดมันออกไปได้ไหม?” ลูเมี่ยนถามตามความเคยชิน
มาดามเมจิกเชี่ยนส่ายหน้า
“ออร่าของตัวตนระดับนั้นจะไม่ถูกรีเซต”
ลูเมี่ยนครุ่นคิดเคร่งเครียดทันที สองจิตสองใจว่าจะเก็บออร่าสายเลือดของอลิสต้า·ทูดอร์ไว้ หรือลบมันด้วยพิธีกรรมดี
นึกขึ้นได้ว่าการลงใต้ดินเพื่อค้นหาทางเข้าทรีอาร์ยุคที่สี่ คือภารกิจที่จะถูกชุมนุมกางเขนเลือดเหล็กมอบหมายในอนาคตแน่นอน ผนวกกับโอกาสกระตุ้นความผิดปกติที่ไม่ต่ำเลย เด็กหนุ่มตัดสินใจยอมเก็บแผลเป็นสีแดงสดบนมือขวาไว้
แตกต่างจากสมาชิกของชุมนุมกางเขนเลือดเหล็กคนอื่น เด็กหนุ่มไม่ถูกปนเปื้อนจากบ้านเลขที่ 13 ถนนใหญ่ตลาด ออร่าของอลิสต้า·ทูดอร์จึงเป็นสิ่งเดียวที่จะช่วยให้เขา ‘ถูกปฏิบัติ’ แบบเดียวกับที่กลุ่มคนเปื้อนมลทินได้รับขณะอยู่ใต้ดิน หรืออย่างน้อยก็ไม่ใช่ว่าคนอื่นยังปลอดภัยดี แต่ตนต้องเสียหัวไปโดยไม่รู้ตัว
สำหรับภัยซ่อนเร้นที่อาจเกิดขึ้นตามมา มิใช่ว่าเด็กหนุ่มไม่กังวล เพียงแต่ตอนนี้ทำได้แค่เลือกเส้นทางที่เจ็บตัวน้อยกว่า
อย่างไรเสีย ภารกิจสำรวจหาทางเข้าทรีอาร์ยุคที่สี่ย่อมมิใช่งานเดี่ยว เมื่อถึงตอนนั้น ชุมนุมกางเขนเลือดเหล็กคงไม่แคล้วระดมพลมาช่วยกัน ผู้นำอาจเป็นการ์ดเนอร์·มาร์ตินเองเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นต่อให้ฟ้าจะถล่ม แต่ทุกคนก็จะช่วยแบกรับไว้!
เห็นลูเมี่ยนทำท่าเหมือนตัดสินใจได้แล้ว มาดามเมจิกเชี่ยนไม่กล่าวเพิ่มเติม เอาแต่จิบไวน์แดงเงียบงัน
เด็กหนุ่มจึงเปลี่ยนเรื่องถาม
“โมไนต์ นักต้มตุ๋นชาวหมู่เกาะนั่น หรือพวกคาบาเร่ต์แกะดำ ต้องการให้ผมทำอะไรกันแน่? อยากให้ผมมีออร่าของสายเลือดอลิสต้า·ทูดอร์เพื่อเปิดขุมทรัพย์ในอนาคต? แล้วทำไมพวกมันถึงไม่เข้าไปในตาน้ำเอง ได้รับออร่าเอง ในเมื่อแร่เลือดธรณีก็มี ทางเข้าบ่อน้ำสตรีซามาเรียก็หาเจอแล้ว”
“คงจะอันตรายกับตัวเองเกินไป… ถ้าเธอล้มเหลว ทางนั้นก็จะได้ต้อนรับการกลับมาของเศษเสี้ยววิญญาณจักรพรรดิโลหิต แต่ถ้าเธอทำสำเร็จ ทางนั้นก็แค่รอให้เธอไปเจอขุมทรัพย์” มาดามเมจิกเชี่ยนพูดยิ้มๆ
“ต้อนรับการกลับมาของเศษเสี้ยววิญญาณจักรพรรดิโลหิต?” ลูเมี่ยนฉงนกับคำอธิบาย “ผมมีลางสังหรณ์ว่า หากสัมผัสกับน้ำสีซีดนั่น ตัวผมจะตายในทันที ตายแบบถอนรากถอนโคน จะคิดมุมไหนก็คงเป็นสื่อกลางสำหรับคืนชีพให้จักรพรรดิโลหิตไม่ไหว”
มาดามเมจิกเชี่ยนคิดไปพลางพูด
“ตามปกติแล้วคงไม่ได้ แต่เธอคือนักล่า แถมยังมีรอยประทับของมิสเตอร์ฟูลกับเทวทูตขอบเขตชะตากรรมอยู่ในตัว เมื่อเธอถูกลากเข้าไปในบ่อน้ำ แล้วผสานเข้ากับวิญญาณตกค้างของจักรพรรดิโลหิต ก็ย่อมมีโอกาสกระตุ้นให้เกิดการระเบิดที่คาดเดาผลลัพธ์ไม่ได้ เปิดทางให้ร่างของอลิสต้า·ทูดอร์ฉวยโอกาสทำลายพันธนาการ หลุดพ้นจากการถูกจองจำโดยความตาย”
ลูเมี่ยนลองไตร่ตรองคำพูดของมาดามเมจิกเชี่ยนดู พบว่ายิ่งตนคิดให้ลึก ก็ยิ่งเกิดความค้างคาใจ ยิ่งค้นพบความน่าสะพรึงกลัว
มาดามเมจิกเชี่ยนแกว่งแก้วไวน์อย่างเบามือ
“เมื่อสักครู่เป็นเพียงการคาดเดาของฉัน เรายังยืนยันเป้าหมายที่แท้จริงของคาบาเร่ต์แกะดำไม่ได้ บางที นี่อาจเป็นเพียงการเล่นสนุกที่หวังมอบอันตรายถึงแก่ชีวิตให้เธอ เพื่อแทรกแซงการคิดวิเคราะห์ของพวกเราในประเด็นอื่น”
“สรุปก็คือ เธอต้องรอบคอบอยู่เสมอ อย่าชะล่าใจว่าอีกฝ่ายบรรลุเป้าหมายแล้ว จนเผลอทำตัวหย่อนยาน”
ลูเมี่ยน ‘อืม’ หนึ่งคำ สื่อว่าตนไม่มีทางประมาท
อันที่จริง ต่อให้มาดามเมจิกเชี่ยนไม่เอ่ยถึง เขาก็จะระวังตัวจากนักต้มตุ๋นชาวหมู่เกาะนั่น ที่มักปรากฏตัวใต้ดินในช่วงเวลาสำคัญทุกครั้ง
อีกฝ่ายเกือบทำให้เขาป่วยเป็นโรคทางจิตแล้ว
“ควรรายงานความผิดปกติของคาบาเร่ต์แกะดำให้สองศาสนจักรใหญ่ไหมครับ?” ลูเมี่ยนถามหยั่งเชิง
มาดามเมจิกเชี่ยนตอบด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างแปลก
“ฉันเฝ้าสังเกตคาบาเร่ต์นั่นมาสักพักแล้ว พบว่าคนส่วนใหญ่ที่สวมแว่นเลนส์เดี่ยวตรงตาขวายังปกติดีอยู่ มีเพียงส่วนน้อยที่มีปัญหา และในส่วนน้อยนั่นก็เอาแน่เอานอนไม่ได้ วันนี้เป็นคนนี้ พรุ่งนี้เป็นอีกคน ยากที่จะระบุตัวให้ถูก”
“เหนือสิ่งอื่นใด ไม่มีใครรู้ว่าในบรรดาคนธรรมดาซึ่งมิได้สวมแว่นเลนส์เดี่ยวไว้ตรงตาขวา จะมีพระองค์แฝงตัวอยู่ด้วยหรือไม่ หากคิดจะถอนรากถอนโคนอย่างสิ้นซาก เห็นทีต้องจับกุม หรือสังหาร หรือชำระล้างทุกคนบนถนนเส้นนั้น รวมถึงคนที่เคยแวะไปคาบาเร่ต์”
“แต่ถึงทำแบบนั้นไปก็ไม่จบปัญหา อย่างมากก็ได้แค่ผลักไสท่านเข้าสู่เงามืด”
“เทวทูตกาลเวลาของมิสเตอร์ฟูลกำลังจับตาดูเรื่องนี้อยู่ โดยหวังว่าจะจำแนกร่างที่สำคัญที่สุดของพระองค์ได้ แล้วประเคนหมัดฮุคเข้าไป จนพระองค์ต้องสงบเสงี่ยมเจียมตัวไปสักระยะหนึ่ง”
ลูเมี่ยนฟังด้วยความสับสนยิ่ง ก่อนจะถามอย่างสงสัย
“พระองค์อาจแฝงตัวอยู่ในคนธรรมดา?”
มาดามเมจิกเชี่ยนพูดยังกับว่า พวกที่ผิดปกติทั้งหมดคือบุคคลเดียวกัน
เธออธิบายหลังจากครุ่นคิดสักพัก
“นั่นสินะ พระองค์มาหาเธอหลายครั้งแล้ว เธอจำเป็นต้องรู้จักพระองค์ไว้บ้าง”
“พระองค์คืออามุนด์ ขุนนางใหญ่แห่งจักรวรรดิทูดอร์ในยุคที่สี่ และยังเป็นบุตรแห่งเทพสุริยันบรรพกาลผู้ปกครองทั้งโลกในยุคที่สาม”
“พระองค์คืออามุนด์?” ลูเมี่ยนนึกได้ว่าโมไนต์ นักต้มตุ๋นชาวหมู่เกาะ คลานออกจากห้องฝังศพของสมาชิกตระกูลอามุนด์สักคน
ที่แท้คนที่คอยหนุนหลังหมอนั่นคือเทวทูตจากยุคโบราณ!
ไม่แปลกใจเลยที่รู้เกี่ยวกับห้องฝังศพจากยุคที่สี่ดีนัก!
มาดามเมจิกเชี่ยนพยักหน้า
“ครั้งหนึ่งพระองค์เคยเป็นถึงราชาเทวทูต มีสิทธิ์เถลิงบัลลังก์แห่งเทพ แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้กับมิสเตอร์ฟูล ปัจจุบันเป็นเพียงเทวทูตธรรมดา”
“พระองค์อยู่บนเส้นทาง ‘นักโจรกรรม’ ซึ่งลำดับสูงทุกคนของเส้นทางนี้จะมีพลังที่ชื่อว่า ‘ปรสิต’ หมายถึงการแบ่งตัวเองออกไปเป็นปรสิตในร่างกายผู้อื่น มีทั้งปรสิตแบบตื้นและแบบลึก อย่างหลังสามารถเปลี่ยนโฮสต์ให้เป็นร่างแบ่งภาคของตัวเองได้”
“ยิ่งลำดับสูง ก็ยิ่งเพิ่มเป้าหมายในการปรสิต”
ลูเมี่ยนฟังแล้วก็ทั้งตกใจระคนหวาดกลัว ก่อนจะโพล่งออกมา
“โมไนต์ นักต้มตุ๋นชาวหมู่เกาะนั่น ก็ถูกปรสิตโดยอามุนด์? กลายเป็นหนึ่งในร่างแบ่งภาคไปแล้ว?”
อีกฝ่ายคือคนใหญ่คนโตที่ครั้งหนึ่งเคยแข่งขันกับมิสเตอร์ฟูล!
มาดามเมจิกเชี่ยนช่วยยืนยันการคาดเดาของลูเมี่ยน
“ใช่ ทุกคนในตระกูลอามุนด์แห่งยุคที่สี่คืออามุนด์ ทุกคนที่ผิดปกติในคาบาเร่ต์แกะดำคืออามุนด์ และคนที่ยังไม่แสดงอาการผิดปกติคือคนที่อาจเป็นอามุนด์ หรืออาจเป็นสาวกของอามุนด์”
ลูเมี่ยนฟังแล้วพูดไม่ออก
เด็กหนุ่มพบว่า เป็นเรื่องถูกต้องแล้วที่ตนเปรียบชายที่สวมแว่นตาเลนส์เดี่ยวตรงตาขวาให้เป็นตัวเรือดในโรงแรมระกาทอง หรือไม่ก็เป็นแมลงสาบในกองขยะ
เหมือนกันมาก!
หมายความว่า ก่อนหน้านี้โมไนต์ก็ไม่ต่างอะไรกับคลานขึ้นมาจากหลุมศพตัวเอง
“พระองค์มีร่างแบ่งภาคอยู่เท่าไรกันแน่” สักพักลูเมี่ยนก็ถามขึ้นมา
มาดามเมจิกเชี่ยนส่ายหัวตอบ
“นับตั้งแต่ยุคที่สี่ พระองค์ก็ล่าผู้วิเศษเส้นทางนักโจรกรรมมาตลอด รวบรวมตะกอนพลังเอาไว้นับไม่ถ้วน ไม่มีใครทราบจำนวนของร่างแบ่งภาคที่แท้จริง สิ่งเดียวที่เธอต้องจำไว้คือ ‘เมื่อพบหนึ่งอามุนด์ เท่ากับว่ารอบๆ ยังมีอามุนด์อีกมหาศาล’ อาจเป็นหนู เป็นตัวเรือด หรือแม้กระทั่งสิ่งมีชีวิตที่เล็กกว่านั้น”
“เหมาะกับการสอดแนมชะมัด” ลูเมี่ยนฟังแล้วขนลุกซู่
เด็กหนุ่มพอเข้าใจแล้วว่า เหตุใดอามุนด์ถึงทราบเรื่องที่ตนมีแร่เลือดธรณี เหตุใดถึงตีกรอบการเคลื่อนไหวของตนได้ รวมถึงต้นตอของอาการ ‘หลอน’ ที่คล้ายกับมีใครบางคนคอยจ้องมองอยู่ตลอดเวลา ระหว่างการสวดวิงวอนเพื่อขอ ‘พร’ ในคราวก่อน
“ร่างแบ่งภาคของอามุนด์มีลำดับประมาณไหนครับ” ลูเมี่ยนถามด้วยความหวาดกลัวเล็กๆ เมื่อนึกขึ้นได้ว่า ตนเคยวางแผนจะจัดการกับโมไนต์ในสุสานใต้ดินชั้นสี่
มาดามเมจิกเชี่ยนดื่มไวน์แดงอ่อนที่เหลือจนหมด แล้วโยนกลับเข้าไปในมิติตรงหน้าตัวเอง
“พระองค์มีวิธีทำให้ร่างแบ่งภาคอ่อนแอลง แต่ศักดิ์ยังคงเป็นเทวทูตอยู่เสมอ เป็นเหตุผลที่ไม่ควรดูแคลนร่างแบ่งภาค อา… แต่ถ้าเป็นสภาพแวดล้อมพิเศษ อย่างเช่นในสุสานใต้ดินชั้นสามลงไป เธอสามารถลองพิจารณาเป็นกรณีไป”
ลูเมี่ยนนวดขมับอย่างปวดหัว ได้ข้อสรุปว่าหากตนยังไม่เข้าใจเจตนาของอามุนด์อย่างถ่องแท้ การลงใต้ดินทรีอาร์จะถือว่ามีความเสี่ยงสูง
เด็กหนุ่มเปลี่ยนเรื่อง
“น้ำในบ่อสตรีซามาเรียมีผลแบบใดกันแน่?”
……………………………………………………..