ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 356 แผลเป็น
- Home
- All Mangas
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 356 แผลเป็น
ตอนที่ 356 แผลเป็น
ยิ่งเวลาผ่านไป ลูเมี่ยนยิ่งรู้สึกว่าอุณหภูมิร่างกายตนลดลงอย่างต่อเนื่อง แม้แต่แสงแดดเจิดจ้านอกหน้าต่างรถม้าสาธารณะก็มิอาจยับยั้งการเปลี่ยนแปลงนี้
ความคิดของเด็กหนุ่มยิ่งเฉื่อยชา ผิวหนังหลังมือยิ่งซีดจาง
ในที่สุดลูเมี่ยนก็อดทนมาจนถึงเขตตลาด
มือเท้าของเขาเริ่มแข็งขณะกระโดดลงจากรถม้า
เด็กหนุ่มเพิ่งเลี้ยวเข้าถนนเสื้อนอกขาว สุภาพบุรุษที่เดินสวนมาก็พลันผงะ พลางอุทานเสียงต่ำด้วยแววตาหวาดกลัว
ลูเมี่ยนเหลือบมองด้านข้างตามความเคยชิน สำรวจตัวเองที่สะท้อนบนกระจกหน้าต่างร้านกาแฟ
เรือนผมสีดำทองดูเหมือนไม่ได้สระมาหลายวัน ใบหน้าซีดอมเขียว ลำคอมีจุดม่วงแดงและร่องรอยการเน่าเปื่อย แววตาเย็นชาว่างเปล่า ราวกับศพที่ตายมาหลายวันแล้ว
ลูเมี่ยนยิ้มให้สุภาพบุรุษนั่น
“เป็นยังไงบ้างครับ ผมแต่งเป็นซอมบี้เหมือนไหม?”
เด็กหนุ่มได้ยินเสียงตัวเองเข้าใกล้ความเย็นชาแบบเฮล่า
สุภาพบุรุษคนนั้นสบถเงียบงัน เดินอ้อมชายที่ดูเหมือนเตรียมจะไปร่วมงานเลี้ยงหน้ากาก
ตระหนักว่ามลทินในร่างรุนแรงขึ้นทุกที ลูเมี่ยนเร่งฝีเท้าวิ่งกลับบ้านลับที่ยังไม่หมดสัญญา ด้วยท่าทางที่ไม่สมประกอบเท่าไรนัก
เด็กหนุ่มรีบจัดแท่นบูชา คลี่กระดาษ แล้วเขียนจดหมายฉบับสั้นหามาดามเมจิกเชี่ยน
“ผมทำภารกิจของมาดามจัสติสเสร็จแล้ว ได้น้ำจากบ่อสตรีซามาเรียมาแล้วหนึ่งในสามขวด แต่ก็ได้ของแถมเป็นมลทินด้วย ซึ่งอาการแย่ลงทุกที ผมต้องทำอย่างไรจึงจะขจัดมันออก?”
พับกระดาษจดหมายให้เรียบร้อย ลูเมี่ยนอัญเชิญผู้ส่งสารของมาดามเมจิกเชี่ยนออกมา
ผู้ส่งสารตุ๊กตาลอยอยู่เหนือเปลวเทียนไขสีฟ้า มองมาทางลูเมี่ยนพลางพยักหน้าอย่างชื่นชม
“ข้าชอบบรรยากาศของเจ้าตอนนี้มาก ยกเว้นผมที่มันเยิ้มไปหน่อย”
หลังจากมองตุ๊กตาผู้ส่งสารจากไป เด็กหนุ่มตั้งเป้าว่าจะรอแค่สิบห้านาที หากเกินกว่านี้ ถ้ามาดามเมจิกเชี่ยนยังไม่ตอบจดหมาย เขาจะมองหาวิธีขจัดมลทินด้วยตัวเอง เช่นการจัดพิธีอ้อนวอนมิสเตอร์ฟูลโดยตรง
ติ๊ก ติ๊ก เข็มนาฬิกาพกที่ ‘ยืม’ มาจากคาบาเร่ต์ลมเอื่อยเดินตามจังหวะปกติ แต่ลูเมี่ยนสังเกตเห็นก่อนแล้วว่ามันบอกเวลาช้ากว่าความจริงเกือบสิบนาที ราวกับยิ่งเข้าใกล้บ่อน้ำสตรีซามาเรีย มันก็ยิ่งเดินช้าลง!
ทันใดนั้น ประกายแสงดาวลอยออกจากความว่างเปล่า ประกอบกันเป็นบานประตูลึกลับชวนฝัน
บานประตูเปิดออก มาดามเมจิกเชี่ยนในชุดกระโปรงยาวสีน้ำตาลอ่อนก้าวออกมา ด้านหลังประตูอันมืดมิดพร่างพราวด้วยแสงดาวระยิบระยับ
ผู้ถือไพ่อาร์คาน่าใหญ่แห่งชุมนุมทาโรต์มองลูเมี่ยนพร้อมกับผงกศีรษะอ่อนโยน
“สวดวิงวอนถึงมิสเตอร์ฟูลเพื่อขอการชำระล้างจากเทวทูต”
ยังต้องอ้อนวอนมิสเตอร์ฟูลอีกหรือ? โดยมิได้ถามมากความ ลูเมี่ยนเริ่มประกอบพิธีกรรมกับแท่นบูชาซึ่งตระเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว
จุดเทียนตามลำดับที่ถูกต้อง หยดสารสกัดดอกไม้ แล้วเผาสมุนไพร เด็กหนุ่มก้าวถอยหลัง จ้องเปลวเทียน พลางสวดคาถาเสียงขรึม
“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย ผู้ปกครองลึกลับเหนือห้วงสายหมอกสีเทา ราชันเหลืองดำผู้ครองพลังโชคลาภ…”
“ข้าวิงวอนท่าน”
“ขอให้ท่านช่วยชำระล้างสิ่งมลทินในร่างกายข้า…”
เมื่อพิธีกรรมเสร็จสมบูรณ์ ลูเมี่ยนเห็นเทวทูตที่ประกอบจากแสงสว่างอีกครั้ง ถูกโอบกอดโดยปีกแห่งแสงสิบสองคู่อีกครั้ง
เมื่อในดวงตาเหลือเพียงแสงสว่าง เด็กหนุ่มสัมผัสได้ว่าความเย็นยะเยือกอันน่าขนลุกกำลังระเหยออกจากร่างกาย อุณหภูมิกลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
ไม่นานเทวทูตก็กลับไป ลูเมี่ยนมองไปทางกระจกเต็มตัวในห้อง พบว่าใบหน้า เรือนผม และดวงตาของตนกลับสู่สภาพเดิมโดยสมบูรณ์แล้ว จุดสีม่วงแดงเหมือนศพก็หายไปด้วย เหลือเพียงร่องรอยการเน่าเปื่อย แต่ก็ไม่ลุกลามแล้ว รออีกสักพักก็คงจะหายไปเอง
ลูเมี่ยนขอบคุณมิสเตอร์ฟูลจากก้นบึ้งของหัวใจพร้อมกับยุติพิธีกรรม
เด็กหนุ่มเตรียมจะหันไปทางมาดามเมจิกเชี่ยน แต่ทันใดนั้นก็ฉุกคิดได้ จึงยกมือขวาขึ้นมาก้มมอง
การกัดกร่อนจากแร่เลือดธรณียังคงอยู่ แม้จะไม่แดงก่ำเหมือนตอนที่ผสานกับ ‘สนิม’ ใหม่ๆ แต่ก็มิได้จางลงเช่นกัน ราวกับจะทิ้งรอยแผลเป็นสีเลือดเอาไว้
สัมผัสถึงความบ้าคลั่งและเกรี้ยวกราดอ่อนๆ จากมือขวา ลูเมี่ยนขมวดคิ้วฉงน
“ไอ้นี่ชำระล้างไม่ได้หรือ”
มาดามเมจิกเชี่ยนจ้องมือขวาของเขาสองสามวินาทีโดยไม่รีบตอบ แต่กลับพูดว่า
“เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังหน่อย”
เธอลากเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่งเอง ไม่มีความคิดที่จะยืนคุยกัน
ลูเมี่ยนนั่งตาม หย่อนก้นลงบนเก้าอี้ข้างโต๊ะไม้ แล้วเริ่มเล่าจากภารกิจของมาดามจัสติส จนกระทั่งตนกับเฮล่าตักน้ำ ‘บ่อสตรีซามาเรีย’ ออกมาคนละหนึ่งในสามของขวด
ในเรื่องราว เขาเน้นอธิบายความบ้าคลั่งและน่าสะพรึงกลัวของร่างมหึมา รวมถึงพลังประหลาดที่ลากอีกฝ่ายกลับไป โดยไม่ลืมเล่าการปรากฏตัวของโมไนต์กับพฤติกรรมประหลาด รวมถึง ‘การกลับมา’ ของแร่เลือดธรณี
มาดามเมจิกเชี่ยนเงียบฟังจนจบแล้วหัวเราะในคอ
“ผู้ยิ่งใหญ่แท้จริงนั้นยากที่จะร่วงหล่นโดยสมบูรณ์ ต่อให้ไม่มีตะกอนพลัง ไม่มีกายเนื้อ ไม่มีดวงวิญญาณ แต่ก็ยังหลงเหลือรอยประทับทางจิต รอยประทับความตาย ออร่าตกค้าง และอื่นๆ อีกมาก… หากเงื่อนไขเอื้ออำนวย พระองค์ก็อาจกลับมายังโลกความจริงได้อีก ผ่านการยืมกายเนื้อที่เหมาะสม”
“เหมือนพระผู้สร้างต้นกำเนิดน่ะหรือ?” ลูเมี่ยนเข้าใจสิ่งที่มาดามเมจิกเชี่ยนต้องการจะสื่อ แล้วจึงถามหลังจากไตร่ตรอง “ผู้ยิ่งใหญ่พระองค์นั้นคือใครครับ?”
มาดามเมจิกเชี่ยนคิดสักพักแล้วตอบ
“น่าจะเป็น ‘จักรพรรดิโลหิต’ แห่งยุคที่สี่ อลิสต้า·ทูดอร์”
จักรพรรดิโลหิต? หนึ่งในสี่จักรพรรดิ… จักรพรรดิโลหิตผู้นั้น? ลูเมี่ยนเคยได้ยินนามและตำแหน่งนี้มาจากการ์ดเนอร์·มาร์ติน
จักรวรรดิที่อลิสต้า·ทูดอร์สร้างขึ้นครอบคลุมดินแดนของอินทิสในปัจจุบัน และทรีอาร์ที่จมลงใต้ดินก็คือเมืองหลวง
ตามคำกล่าวของการ์ดเนอร์·มาร์ติน จักรพรรดิโลหิตผู้นี้คือเทพแท้จริงแห่งเส้นทางนักล่า ซึ่งหมายความว่าพระองค์คือลำดับ 0 นักบวชสีชาด!
“ใช่” มาดามเมจิกเชี่ยนผงกศีรษะรับ “สงครามสี่จักรพรรดิคือมหาศึกของเทพแท้จริง ตัวอลิสต้า·ทูดอร์ได้ร่วงหล่นลงในทรีอาร์ยุคที่สี่ จนเมืองหลวงของจักรวรรดิต้องจมดินลงไป… แม้พระองค์จะเสียสติไปแล้ว แต่กลับยังสร้างวีรกรรมอีกไม่น้อย กล่าวกันว่าเกือบจะลากเทพทุกองค์ที่เข้าร่วมสงครามลงหลุมไปด้วยกัน… จวบจนทุกวันนี้ ใต้ดินกรุงทรีอาร์ยังคงเต็มไปด้วยร่องรอยของสงครามดังกล่าว ไม่ผิดนักถ้าจะกล่าวว่า พวกมันส่งอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อประวัติศาสตร์บางส่วนของยุคที่ห้า”
ยุคที่ห้าคือยุคที่ลูเมี่ยนกับทุกคนอาศัยอยู่ หรืออีกชื่อหนึ่งคือ ‘ยุคเหล็กดำ’
เกือบลากทวยเทพทุกองค์ในสงครามลงหลุมไปด้วยกัน? จักรพรรดิโลหิตช่างบ้าบิ่นเสียจริง… ลูเมี่ยนฟังแล้วเกิดความอยากรู้อยากเห็นทันที
“สงครามสี่จักรพรรดิเกิดขึ้นได้ยังไงครับ?”
“ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน” มาดามเมจิกเชี่ยนยักไหล่ “แค่ได้ยินจากปากสองบุคคลคนที่เคยเข้าร่วมสงครามสี่จักรพรรดิ พวกเขาเล่าได้ไม่ละเอียดนัก เพราะตัวเองก็ไม่เข้าใจภาพรวมเหมือนกัน… ก็นะ… ห้ามจ้องมองเทพ จำเอาไว้ให้ดีล่ะ เธอห้ามจ้องมองเทพโดยเด็ดขาด ต่อให้เป็นแค่ร่างสัตว์ในตำนานของลำดับ 4 ที่คลุ้มคลั่งก็ตาม”
ยังมีบุคคลที่เคยร่วมรบในสงครามสี่จักรพรรดิแล้วอยู่รอดมาจนถึงปัจจุบันด้วยหรือ? ถ้ามีสิทธิ์เข้าร่วมสงครามของเทพแท้จริง ต่ำๆ ก็คงต้องเป็นเทวทูตละนะ… สองเทวทูตข้างบัลลังก์ของมิสเตอร์ฟูล? อา… ในพระคัมภีร์ระบุว่า เทวทูตกาลเวลาของมิสเตอร์ฟูลมาจากยุคโบราณ พระองค์คือหนึ่งในนั้น? ลูเมี่ยนลองปะติดปะต่อข้อมูลในมือแล้วทำการคาดเดา
เด็กหนุ่มเคยได้ยินโอลัวร์เอ่ยถึงหลักการของสัตว์ในตำนาน รวมถึงปัญหาที่เกี่ยวข้อง จึงไม่กังขาในคำเตือน ‘ห้ามจ้องมองเทพ’
ลูเมี่ยนถามด้วยความกระตือรือร้น
“หลังจากจักรพรรดิโลหิตร่วงหล่น รอยประทับทางจิตของพระองค์ รอยประทับความตายของพระองค์ หรือออร่าของพระองค์ ยังคงถูกผนึกอยู่ในบ่อน้ำสตรีซามาเรียหรือครับ?”
“นั่นคงเป็นรอยประทับแห่งความตาย แต่ฉันคิดว่าก็มีรอยประทับทางจิต ออร่าตกค้าง รวมถึงวิญญาณตกค้างผสมปนเปอยู่ด้วยสาเหตุบางประการ หากไม่แล้ว คงเป็นไปไม่ได้ที่จักรพรรดิโลหิตอลิสต้า·ทูดอร์จะดำรงสถานะที่สามารถสู้กับคนอื่นในตาน้ำนั่นได้… หึๆ การต่อสู้ก็ถือเป็นจุดเด่นของนักล่าเช่นกัน” มาดามเมจิกเชี่ยนเล่าข้อสันนิษฐานของตน
ขณะพูด เธอก็สอดมือเข้าไปในความว่างเปล่า ส่วนปลายมือหายไปจากการมองเห็นของลูเมี่ยน
หลังจากคลำอยู่สักพัก สุภาพสตรีท่านนี้ก็ดึงแก้วไวน์สีแดงอ่อนน่าหลงใหลออกมา
“เธอน่ะ พี่สาวไม่ได้สอนไว้หรือ เวลามีแขกมาเยี่ยมบ้านต้องอย่าลืมชวนดื่มชาหรือไวน์ รวมถึงของว่างด้วย” มาดามเมจิกเชี่ยนจิบไวน์สีแดงซีดพลางส่ายหน้า
หน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ใครจะไปจำได้? แล้วหยิบไวน์ออกมาจากไหนล่ะนั่น? ทันใดนั้น ลูเมี่ยนพลันฉุกคิดได้ว่าลืมถามในเรื่องสำคัญที่สุดไป
เขาน้อมรับคำสอนอย่างจริงใจ แล้วเปลี่ยนไปถามเรื่องอื่น
“พลังประหลาดที่ลากจักรพรรดิโลหิตกลับเข้าไปในตาน้ำ มีต้นตอมาจากไหน?”
“ไม่รู้สิ” มาดามเมจิกเชี่ยนตอบอย่างซื่อตรง “แม้แต่เทพแท้จริงก็ไม่แน่ว่าจะรู้ เรื่องเดียวที่มั่นใจได้ก็คือ มันไม่เกี่ยวข้องกับสงครามสี่จักรพรรดิ”
ลูเมี่ยนเก็บเรื่องนี้เอาไว้ในใจชั่วคราว แล้วถามพลางยกมือขวาขึ้น
“ร่องรอยพวกนี้คืออะไรกันแน่ แม้แต่มิสเตอร์ฟูลก็ชำระล้างไม่ได้หรือ?”
“ก็มันไม่ถือว่าเป็นมลทิน จะถูกชำระล้างได้อย่างไร?” มาดามเมจิกเชี่ยนละเมียดจิบไวน์แดงอ่อน “มันเทียบเท่าสมบัติวิเศษที่ฝังอยู่ในมือของเธอ ซึ่งมาพร้อมกับผลข้างเคียงเชิงลบ และผลข้างเคียงเชิงลบจะไม่หายไปจนกว่าจะนำสมบัติออก”
“สมบัติวิเศษ… มันมีพลังแบบไหน แล้วมีภัยซ่อนเร้นแบบใด?” ลูเมี่ยนคาดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำตอบเช่นนี้
“ไม่มีพลังอะไรทั้งนั้น” มาดามเมจิกเชี่ยนหัวเราะ “ฉันบอกว่า ‘เทียบเท่า’ ไม่ได้สื่อว่าเท่ากันสักหน่อย… แต่แน่นอน มันมิได้ไร้ประโยชน์เสียทีเดียว ถึงจะทำให้เธอแข็งแกร่งขึ้นโดยตรงไม่ได้ แต่มีข่าวลือว่าใต้ดินทรีอาร์ยุคที่สี่ ตามสถานที่ซ่อนเร้นต่างๆ อลิสต้า·ทูดอร์ได้ทิ้งขุมทรัพย์ไว้ไม่น้อย ซึ่งมีเพียงสายเลือดทูดอร์เท่านั้นที่เปิดได้ และตอนนี้เธอก็เปิดได้แล้ว”
เท่ากับว่ามือข้างนี้มีออร่าของสายเลือดทูดอร์เล็กน้อย แต่ไม่เกี่ยวข้องกับพลังวิเศษ? ลูเมี่ยนลองแผ่จิตไปยังแผลเป็นสีแดงสดบนฝ่ามือขวา
ทันทีที่ทั้งสองฝ่ายสัมผัสกัน ลูเมี่ยนก็พลันถูกห่อหุ้มด้วยออร่าแห่งความบ้าคลั่ง เกรี้ยวกราด น่าหวาดหวั่น และน่าเกรงขาม ทั่วทั้งห้องหรือแม้กระทั่งอพาร์ตเมนต์กำลังสั่นไหวอย่างไม่อาจควบคุม
……………………………………………………..