ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 347 การโจรกรรมประหลาด
- Home
- All Mangas
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 347 การโจรกรรมประหลาด
ตอนที่ 347 การโจรกรรมประหลาด
มองตู้เหล็กที่เปิดค้างอยู่ ลูเมี่ยนรู้สึกเหลวไหลและไม่อยากเชื่อ
โจรบุกเข้ามาในบ้าน แต่มิได้ขโมยถุงมือ ‘ทุบตี’ ซึ่งมีมูลค่าสูงสุด รวมถึงไม่ได้เปิดสมุดบันทึกเวทมนตร์ของโอลัวร์เพื่อดูว่ามีเงินสดแทรกตามหน้ากระดาษหรือไม่ เพียงแค่นำตัวอย่างหินแร่ที่ดูไม่เหมือนอัญมณีกลับไป
ยังไม่ต้องเอ่ยถึงปัญหาเรื่องกับดัก ถ้าหากหัวขโมยดังกล่าวเป็น ‘นักโจรกรรม’ ตัวจริงที่มีพลังวิเศษ อีกฝ่ายต้องไม่มีทางพลาดถุงมือสนับอันทรงพลังที่ทำจากวัสดุพิเศษ หรือถ้าเป็นหัวขโมยธรรมดา ก็ยิ่งไม่มีทางขโมยแค่หินเลือดธรณี ดีไม่ดีอาจโยนหินที่ดูเหมือนจะไร้ค่าก้อนนี้ลงพื้น
ปัจจัยทั้งหมดทำให้ลูเมี่ยนเชื่อว่า เป้าหมายของผู้บุกรุกมีเพียงหนึ่งเดียว
เพื่อขโมยหินเลือดธรณีไป!
อีกฝ่ายทราบเป็นอย่างดีว่าตัวอย่างหินแร่นั่นมีคุณสมบัติเช่นไร และคิดจะนำมันไปใช้!
“เทอร์มีโพลอส ใครขโมยหินเลือดธรณีไป?” ลูเมี่ยนคิดอยู่หลายตลบ แต่ก็ไม่พบผู้ต้องสงสัย
เมื่อสองสามวันก่อนที่ล้อมจับกิโยม·เบเนต์ เด็กหนุ่มได้นำหินเลือดธรณีออกมาฝากไว้กับฟรังก้า แต่นอกเหนือจากนั้น เขามักจะเก็บมันไว้ในบ้านลับ ไม่เคยพกติดตัว ไม่น่าจะถูกใครเพ่งเล็งเอาได้เลย
แน่นอน โจรคนดังกล่าวอาจใช้วิธี ‘ทำนาย’ หรือ ‘พยากรณ์’ เพื่อตีกรอบให้แคบลง ค้นหาทีละห้อง จนกระทั่งพบของที่ตามหา
เสียงอันน่าเกรงขามของเทอร์มีโพลอสดังก้องกังวานอยู่ในใจ
“ไม่รู้”
ไม่รู้… ลูเมี่ยนได้แต่ตกตะลึงในใจ
คำตอบนี้ไม่มีความหมายในตัวเอง แต่เมื่อออกมาจากปากเทอร์มีโพลอส กลับสามารถอนุมานได้มากมาย
แม้เทอร์มีโพลอสจะถูกผนึกไว้ในตัวลูเมี่ยน จนไม่อาจสำแดงพลังได้แม้แต่ปลายก้อย แต่จะดีจะร้ายพระองค์ก็เป็นเทวทูต เทวทูตแห่งชะตากรรม ต่อให้สิ่งเดียวที่พึ่งพาได้จะเป็น ‘ดวงตา’ กับ ‘โชคชะตา’ ของลูเมี่ยน ก็ย่อมต้องมองเห็นปัญหาหรือร่องรอยที่ผู้วิเศษลำดับกลางและต่ำมองไม่เห็น
แต่พระองค์กลับบอกว่าไม่รู้!
บ่งบอกเป็นนัยว่า บุคคลที่ขโมยหินเลือดธรณีไปย่อมต้องไม่ธรรมดา อาจเกี่ยวข้องกับพลังในระดับสูง มาจากองค์กรลับหรือลัทธิเทพมารสักแห่ง!
ฮึ่ย… ต้องเขียนจดหมายรายงานให้มาดามเมจิกเชี่ยนทราบ เพราะเธอเคยทำนายว่าหินเลือดธรณีจะนำพาประสบการณ์ดีๆ หรือแย่ๆ สักอย่างมาให้เรา แต่กลับกลายเป็นว่า ก่อนที่ประสบการณ์นั้นจะมาถึง ของก็หายไปเสียแล้ว… เดิมทีลูเมี่ยนไม่อยากรบกวนอาร์คาน่าใหญ่ สำหรับเขาแล้ว หินเลือดธรณีมิได้สลักสำคัญอันใด ประโยชน์ของมันมีจำกัด ใช้ได้ในสถานการณ์จำกัด จะมีหรือไม่มีก็ได้ แต่เมื่อปัญหาเริ่มดูประหลาด ก็ไม่ควรปล่อยผ่าน
ในโลกแห่งศาสตร์เร้นลับ ความประมาทมักมอบบทเรียนเลือด!
ว่าตามตรง ตอนนี้ลูเมี่ยนไม่โกรธเคืองเลยสักนิดที่ทรัพย์สินสูญหาย ไม่มีแรงจูงใจจะออกตามหาด้วยซ้ำ เพราะแม้หินเลือดธรณีอาจนำพาโชคลาภวาสนามาให้ แต่มันเลื่อนลอยเกินไป ชัดเจนไม่เพียงพอ จับต้องไม่ได้ เป็นเรื่องยากที่เด็กหนุ่มจะให้ความสำคัญหรือเห็นคุณค่า
นอกจากนี้ มาดามเมจิกเชี่ยนยังเคยกล่าวไว้ว่า โอกาสดังกล่าวอาจไม่ใช่เรื่องดี ลูเมี่ยนจึงมองว่าการทำมันหายไป กลับช่วยลดความเสี่ยงด้วยซ้ำ
เด็กหนุ่มตรวจสอบบ้านลับอีกครั้ง ยืนยันว่ากับดักทั้งหมดไม่ถูกกระตุ้นเลย เสียไปแค่หินเลือดธรณีเท่านั้น จึงนั่งลงแล้วเริ่มเขียนจดหมาย
คราวนี้ผู้ส่งสารที่ถูกอัญเชิญมา มิได้ทำตัวเย็นชาเหมือนคราวก่อน ปราศจากท่าทีคล้ายๆ กับการฝืนอดกลั้นอารมณ์รุนแรง
ผ่านไปเพียงสองสามนาที มาดามเมจิกเชี่ยนก็ตอบกลับด้วยเนื้อหาสั้นกระชับ
“เรื่องนี้ดูจะมีปัญหาจริงๆ ฉันเองก็ระบุไม่ได้ว่าใครขโมยหินเลือดธรณีไป ถ้าเธอไม่กลัว ลองไปที่หน้าคาบาเร่ต์แกะดำ ถามใครก็ได้ที่สวมแว่นตาเลนส์เดียวที่ตาขวา ถึงแม้พวกเขาจะไม่ใช่ตัวการ แต่ก็คงรู้ว่าใครคือผู้ต้องสงสัย แต่ถ้าเธอมองว่ามันเสี่ยงเกินไป ก็รออีกสักพัก จะมีคนไปถามแทนให้”
คาบาเร่ต์แกะดำ… จริงด้วย ลำดับก่อนหน้าของนักต้มตุ๋นคือ ‘นักโจรกรรม’ … พวกที่สวมแว่นตาเลนส์เดียวนั่น ควบคุมโจรที่มีพลังวิเศษในกรุงทรีอาร์เอาไว้หมด? ลูเมี่ยนพึมพำเงียบงัน
ในสมุดบันทึกเวทมนตร์ของโอลัวร์เขียนไว้ว่า ‘นักโจรกรรม’ คือหนึ่งในลำดับ 9 ของเส้นทางสู่ความเป็นเทพ เหนือขึ้นไปคือ ‘นักต้มตุ๋น’ ถัดไปอีกคือ ‘นักถอดรหัส’
หลังจากครุ่นคิดสักพัก ลูเมี่ยนตัดสินใจรอไปก่อน ฝากฝังให้คนอื่นไปถามแทน อย่างไรเขาก็ไม่รีบใช้หินเลือดธรณีอยู่แล้ว
เมื่อเด็กหนุ่มนึกถึงคาบาเร่ต์แกะดำ นึกถึง ‘โมไนต์’ นักต้มตุ๋นชาวหมู่เกาะผู้สวมแว่นตาข้างเดียว นึกถึงพวกนักต้มตุ๋นที่มีจุดเด่นคล้ายๆ กัน ลูเมี่ยนพลันขนลุกขนพอง ในใจเอ่อล้นด้วยความเกลียดชัง ถ้าเลี่ยงได้ก็ไม่อยากเข้าไปข้องแวะด้วยเลย
หลังจากเผาจดหมายทิ้ง ลูเมี่ยนหันไปมองตู้เหล็กที่เก็บสมุดบันทึกเวทมนตร์ของโอลัวร์ รวมถึงถุงมือ ‘ทุบตี’ กับสิ่งของอื่นๆ
บ้านลับแห่งนี้ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป จำเป็นต้องหาที่อื่นให้พวกมัน
“ถุงมือ ‘ทุบตี’ คอยพกติดตัวไว้… ของอย่างอื่นถ้าได้ก็พก ขายได้ก็ขาย ส่วนที่ขายไม่ได้ก็ต้องหาบ้านลับใหม่อีกหลัง… สมุดบันทึกเวทมนตร์ของโอลัวร์กับพวกทองคำ… อา… ไปธนาคารใหญ่ๆ แล้วเช่าตู้นิรภัยไร้ชื่อเพื่อเก็บ… สัญญาเช่าบ้านหลังนี้ พอหมดอายุก็ไม่ต้องต่อ…” ลูเมี่ยนคิดไวทำไว
อันที่จริง นอกจากสมุดบันทึกเวทมนตร์ของโอลัวร์กับทองคำ สิ่งที่เด็กหนุ่มพกติดตัวไม่ได้และไม่อยากขาย ก็มีเพียงหนังสัตว์พิธีกรรมห้าแผ่น ซึ่งจำเป็นต้องหาบ้านใหม่ให้พวกมัน และแน่นอน เขาก็ต้องเตรียมบ้านลับหลังใหม่ให้ตัวเองด้วย
หลังจากคิดเรื่องเหล่านี้เสร็จ ลูเมี่ยนก็เริ่มเขียนจดหมายถึงเฮล่า
เด็กหนุ่มแจ้งว่า ตนทราบตำแหน่งคร่าวๆ ของบ่อน้ำสตรีซามาเรียแล้วจากแหล่งข้อมูลลับ โดยที่ผู้ให้ข้อมูลได้ไหว้วานให้เขาลงไปใต้ดินด้วย เพื่อนำน้ำจากบ่อสตรีซามาเรียของจริงกลับมาสักขวด
เขียนมาถึงตรงนี้ ลูเมี่ยนกลับผุดข้อสงสัยใหม่:
ลองมานึกดู ตนไม่จำเป็นต้องลงไปด้วยตัวเองก็ได้ แค่วานให้เฮล่าช่วยนำน้ำจากบ่อดังกล่าวติดมือกลับมาเพิ่มสักหนึ่งขวด
“มาดามจัสติสไม่น่าจะมองข้ามจุดนี้… คำนึงจากถ้อยคำของเธอ อาจเป็นไปได้ว่าเราต้องลงไปยังสุสานใต้ดินชั้นสี่ด้วยกันกับเฮล่า… ในสายตาเธอ การให้มาดามเฮล่าไปหาบ่อน้ำสตรีซามาเรีย แล้วนำน้ำจากบ่อกลับมาเพียงลำพัง โอกาสประสบความสำเร็จอาจไม่สูงนัก จำเป็นต้องให้เราตามไปสนับสนุน?”
“ตัวเรามีอะไรพิเศษนัก? นอกจากเรื่องที่มีเทวทูตถูกผนึกอยู่ ลำดับก็ไม่ได้สูงส่งอะไร…”
“หรือว่ามาดามเฮล่ามีลำดับค่อนข้างสูง การเข้าใกล้บ่อน้ำสตรีซามาเรียจะเกิดความเสี่ยงใหญ่หลวง ง่ายต่อการเสียสติ หน้าที่ของเราคือการคอย ‘ดูอาการ’ ให้เธอ และช่วยปลุกให้ทันเวลา?”
“ก่อนหน้านี้ เราเคยคิดว่ามาดามเฮล่าคงมีลำดับไม่ต่ำกว่า 4 ไม่อย่างนั้น เธอคงไม่กล้าพูดว่าตัวเองสามารถแก้ไขปัญหาของหมู่บ้านกอร์ตูได้ก่อนจะบานปลายไปถึงพิธีสถิตร่าง… แต่คำนึงจากปัจจัยแวดล้อมในปัจจุบัน เธอน่าจะยังไม่ได้เป็นครึ่งเทพ ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้าลงไปยังสุสานใต้ดินชั้นสี่ ยิ่งเข้าใกล้บ่อน้ำสตรีซามาเรียยิ่งแล้วใหญ่… หรือว่าเธอจะมีสมบัติปิดผนึกระดับ 1 หรือสมบัติวิเศษที่เทียบเท่ากับนักบุญ?” ลูเมี่ยนไล่เรียงเรื่องราวอีกครั้ง ในใจเริ่มได้ข้อสรุป เริ่มมีการคาดเดาบางสิ่ง
เด็กหนุ่มเขียนจดหมายต่อ อาศัยข้ออ้างว่า ‘ผู้ให้ข้อมูลร้องขอมา’ เพื่อยืนกรานว่าตนจะเข้าไปในห้องเก็บศพโบราณนั่นด้วย
เมื่อจบพิธีอัญเชิญ กะโหลกศีรษะเงินบริสุทธิ์ที่ปล่อยแสงนวล ก็ลากจดหมายหายไป
ผ่านไปไม่นานนัก ผู้ส่งสารหัวกะโหลกก็นำจดหมายตอบกลับจากเฮล่ามาให้
“ไม่มีปัญหา พรุ่งนี้บ่ายสี่โมง เราเจอกันที่หน้าประตูจักรวรรดิแห่งความตายนั่น”
ฟู่… ลูเมี่ยนถอนหายใจยาว ร่างกายสั่นเทิ้มเบาๆ
มันเกิดจากความตื่นเต้น ระคนกับความหวาดหวั่น
เด็กหนุ่มมีจิตวิญญาณแห่งการผจญภัย ชอบลองสิ่งแปลกใหม่อยู่เสมอ แต่คู่รักที่หายตัวไปอย่างเป็นปริศนาในสุสานใต้ดินนั่น ก็สร้างภาพจำให้เขาไม่รู้ลืมเช่นกัน
…………
เช้าวันถัดมา ถนนน้ำพุ บ้านเลขที่ 11
ลูเมี่ยนมาเยือนคฤหาสน์ของการ์ดเนอร์·มาร์ตินด้วยภาระหน้าที่ เพื่อรายงานการพบปะกับเคานต์ปุยฟ์และชาว ‘แมวดำ’ คนอื่นๆ
การ์ดเนอร์·มาร์ตินที่ดูกระปรี้กระเปร่าผิดปกติ กำลังนั่งหลังโต๊ะทำงานอย่างอารมณ์ดี:
“แม้คุณจะบอกว่าตัวเองไม่มีหัวศิลปะ แต่ด้วยภูมิหลังและประวัติ ผมเชื่อว่าคุณจะเสวนากับพวกเขาได้อย่างเป็นธรรมชาติ นี่คือเหตุผลที่ผมส่งคุณไป ไม่ใช่อัลบัส”
“ทีแรกผมกังวลว่าคุณจะใจกว้างไม่พอด้วยซ้ำ แต่กลับทำได้ดีผิดคาด แค่ครั้งแรกก็สนับสนุนพวกเขาไปสี่พันเฟลคินแล้ว”
ในฐานะ ‘ผู้การ’ แห่งชุมนุมกางเขนเลือดเหล็ก ความหมายของเขาคือ ลูเมี่ยนผู้เป็นน้องชายของโอลัวร์·ลี หนึ่งในนักเขียนขายดีแห่งยุค ต่อให้ไม่มีศิลปะในหัวใจเลย แต่สิ่งที่เคยผ่านหูผ่านตาในแต่ละวัน ก็คงไม่ขาดข่าวลือ ความแค้น หรือความรักในวงการวรรณกรรมและศิลปะ
“สิ่งที่ผมไม่เข้าใจคือ ทำไมเกมเค้กพระราชาถึงกระตุ้นลางสังหรณ์อันตราย? แถมเมื่อคืนยังฝันร้ายอยู่หลายรอบ” ลูเมี่ยนเข้าประเด็นทันที
การ์ดเนอร์·มาร์ตินพยักหน้าครุ่นคิด
“เพราะปุยฟ์คนนั้นค่อนข้างพิเศษ เขากับบรรพชน ‘ฟอม็องดา’ คล้ายคลึงกันมาก มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดใกล้ชิด เมื่อประกอบพิธีธรรมจึงข้ามขั้นตอนสำคัญได้หลายอย่าง”
“บรรพชนคนนั้นเป็นวิญญาณมารหรือไง ผ่านมาหลายร้อยปีแล้ว ไฉนยังรับเครื่องเซ่นได้อีก?” ลูเมี่ยนมิได้หยิบยกคำพูดของมิสเตอร์ K มาถาม แต่ใช้ตรรกะของคนปกติในการคาดเดา
การ์ดเนอร์·มาร์ตินตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“นั่นคือสิ่งที่คุณต้องสืบเมื่อเข้าใกล้ปุยฟ์… ไม่ต้องกังวลไป เกมเค้กพระราชานั่น ตราบใดที่คุณไม่ได้เข้าร่วมทุกๆ สองสามวัน นอกจากฝันร้ายประปราย ก็แทบไม่มีผลข้างเคียงใดอีก… อา… รักษาลางสังหรณ์นั่นเอาไว้ อย่าไปเป็น ‘พระราชา’ เด็ดขาด ถ้าเทียบกับคนอื่นนอกจากปุยฟ์แล้ว คุณเป็น ‘พระราชา’ ได้ง่ายกว่ามาก หากไม่มั่นใจว่าจะเลือกเค้กถูกชิ้น ก็ให้ปุยฟ์เป็นคนเลือกก่อน”
ชุมนุมกางเขนเลือดเหล็กคิดจะสืบหาแหล่งกบดานของฟอม็องดา·เซารอน ผู้หายสาบสูญอย่างลึกลับมาหลายร้อยปี? เหอะๆ … แล้วทำไมถึงไม่เตือนให้เราระวังอันตรายจากเกมพระราชา ทำไมถึงไม่เตือนให้เลือกเค้กเป็นคนสุดท้าย? ลูเมี่ยนสงสัยว่าที่การ์ดเนอร์·มาร์ตินอมพะนำในตอนแรก ก็เพื่อใช้ตนเป็นเครื่องยืนยันประเด็นสำคัญบางอย่าง
…………
ช่วงบ่าย ไม่ไกลจากโรงอุปรากรทรีอาร์มากนัก ในโพรงเหมืองหินใต้ดินที่ต้องผ่านช่องแคบซ่อนเร้นจึงจะเข้าไปได้
ฟรังก้ากับจินนาที่สวมหน้ากากปกปิดครึ่งใบหน้า ได้พบกับ ‘จอมเวท’ ชุดคลุมดำอีกครั้ง
อีกฝ่ายคือผู้ว่าจ้างให้สืบสวนการหายตัวไปของคนเฝ้าประตูอารามในหุบเหวลึก
ฟรังก้ากวาดสายตาไปรอบๆ แล้วจ้องหน้าชายสวมชุดจอมเวท พูดด้วยเสียงที่จงใจดัดให้แหบ
“เราสืบคดีนั้นมาได้พอสมควรแล้ว อยากจะพูดคุยกับคุณเป็นการส่วนตัว”
อีกฝ่ายเงียบไปสิบกว่าวินาที แล้วพยักหน้ารับ
“ตกลง”
ผู้ดำเนินการชุมนุมที่เป็นโครงกระดูกสวมหน้ากากสีเทาเหล็ก รีบเดินนำทางชายคนดังกล่าว รวมถึงฟรังก้ากับจินนา เข้าไปใน ‘ห้องพูดคุย’ ที่ถูกจัดไว้อย่างเป็นกิจจะลักษณะตรงขอบโพรงเหมือง
…………
ก่อนถึงเวลานัดหมายหนึ่งชั่วโมง ลูเมี่ยนถือโคมไฟคาร์ไบด์เดินลงใต้ดินทรีอาร์ที่อยู่ใต้เขตตลาด
……………………………………………………..