ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 344 ถุงมือสนับ
- Home
- All Mangas
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 344 ถุงมือสนับ
ตอนที่ 344 ถุงมือสนับ
“ไม่ใช่กองทัพโลเอ็น…” อ็องโตนี·รีดพึมพำด้วยสายตาเลื่อนลอย
เขาฝันถึงค่ำคืนที่ถูกโจมตีอยู่บ่อยครั้ง ภายใต้การชักจูงทางจิตซ้ำไปซ้ำมา ความดุร้ายและน่ากลัวของทหารโลเอ็นนับวันก็ยิ่งชัดเจน สลักเสลากลายเป็นแผลใจอันลึกซึ้ง จนกระทั่งพัฒนาเป็นฝันร้ายที่ไม่อาจหลุดพ้น ใครจะไปรู้ว่า วันนี้จะมีคนมาบอกว่า นั่นไม่ใช่ทหารโลเอ็น!
ดูจากสีหน้าแววตา ภาษากาย และอารมณ์ของฟรังก้า เขาได้ข้อสรุปว่าเธอไม่ได้โกหก!
สิ่งนี้ทำให้อ็องโตนี·รีดรู้สึกเหมือนกลายเป็นเหยื่อของมุกตลก ต้องทุกข์ทรมานอยู่นานหลายปี แต่กลับจำผู้ร้ายผิดคน
ในฐานะนักจิตบำบัด เขาสัมผัสได้อย่างแจ่มชัดว่า ความผิดหวังกำลังเอ่อล้นภายในใจตน อารมณ์ขาดเสถียรภาพ ถูกกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง
เขาจึงใช้ ‘ปลอบโยน’ กับตัวเองโดยสัญชาตญาณ
ระหว่างที่อ็องโตนี·รีดกำลัง ‘รักษาตัวเอง’ ฟรังก้าก็อธิบายต่อ
“อีกหนึ่งความเป็นไปได้ก็คือ การต่อสู้ในครั้งนั้นถือเป็นความลับระดับสูง เพื่อนชาวโลเอ็นของฉันยังไม่มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูล… หากไม่แล้ว ก็ต้องเป็นคนอื่นที่โจมตีพวกคุณ”
ฟรังก้าเอนเอียงไปทางอย่างหลังมากกว่า เพราะสำหรับราชอาณาจักรโลเอ็นแล้ว ศึกดังกล่าวเป็นเพียงการกวาดล้างกองร้อยเล็กๆ เท่านั้น ซึ่งในหมู่เพื่อนร่วมรบของอ็องโตนีก็ไม่มีคนใหญ่คนโต ไม่จำเป็นต้องกำหนดให้มีความสำคัญสูง
“แล้วเป็นฝีมือใคร?” จินนาตั้งคำถามหลังจากอ่านเนื้อหาในโทรเลข แต่ทั้งฟรังก้าและเธอต่างก็ยังหาคำตอบที่สมเหตุสมผลไม่ได้
จินนาถึงกับสงสัยว่าเป็นฝีมือของ ‘นักกระตุ้น’ สักคนที่จงใจยุแยงให้กองทัพอินทิสแตกกันเองเพื่อย่อยโอสถ โดยให้กองหนึ่งปลอมตัวเป็นชาวโลเอ็น เข้าโจมตีอ็องโตนี·รีดกับเพื่อนร่วมรบในช่วงกลางดึก
แต่มองมุมใดก็ยากเกินไป ต่อให้เป็นนักกระตุ้นที่เก่งกาจเพียงใด โอกาสสำเร็จก็มีไม่มากนัก
อีกหนึ่งความเป็นไปได้คือ กองร้อยของอ็องโตนี·รีดบังเอิญไปเห็นใครสักคนกระทำความผิดร้ายแรง หรือกลายเป็นศัตรูคู่แค้นกับกองทัพอื่นเพราะความขัดแย้งในสนามรบ
“นั่นสิ เป็นฝีมือใครกัน…” อ็องโตนี·รีดทวนซ้ำเสียงต่ำหลังจากใช้ ‘ปลอบโยน’ กับตัวเองจนอารมณ์สงบลง
หากผู้โจมตีคือกองทัพโลเอ็น เขายังพอเข้าใจได้ แม้จะมีความเกลียดชังอยู่บ้าง แต่ก็มิได้รุนแรงจนเกินพอดี เพราะการทำสงครามระหว่างสองอาณาจักรถือเป็นเรื่องที่ปกติอย่างยิ่ง แต่หากต้นตอการโจมตีมาจากอำนาจหรือบุคคลอื่น เหตุผลมันคืออะไร?
ฟรังก้าชั่งใจก่อนจะพูด
“กองร้อยของคุณเคยทิ้งกองทัพฝ่ายเดียวกันในสนามรบ หรือแย่งรางวัลที่ไม่ควรแย่งบ้างไหม”
อ็องโตนี·รีดทบทวนแล้วส่ายหน้าหนักแน่น
“ไม่เคย”
“ไม่มีแน่นอน” ลูเมี่ยนเสริมด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “เรื่องนี้มีฮิวจ์·อาร์ทัวส์เข้ามาเกี่ยวข้อง เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ความขัดแย้งจากกองทัพฝ่ายเดียวกัน แต่มาจากภายนอก”
“พวกคุณเคยฝ่าฝืนคำสั่งของฮิวจ์·อาร์ทัวส์ หรือทำให้เขาสูญเสียอะไรไปบ้างไหม?” จินนาคิดแล้วถาม
อ็องโตนี·รีดส่ายหน้าอีกครั้ง
“ถ้ามี ผมก็คงไม่สับสนมาตั้งหลายปี…”
บรรยากาศในอพาร์ตเมนต์ห้อง 601 กลายเป็นเงียบสงัด ลูเมี่ยนนึกถึงเรื่องที่มาดามเมจิกเชี่ยนเคยเล่าในจดหมายคราวก่อน จึงพูดด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“หรือว่าจะเป็นการสังเวย? พิธีกรรมสังเวยเลือดให้เทพมารบางองค์”
มาดามเมจิกเชี่ยนเคยเล่าว่า องค์กรลับ ‘คนบาป’ ที่ศรัทธาในเทพมาร น่าจะเริ่มปรากฏตัวในช่วงท้ายของสงครามดังกล่าว เนื่องจากสงครามนั้นเปิดโอกาสให้เทพมารแทรกซึมเข้าสู่โลกของเรามากขึ้น… หรือว่า ประสบการณ์ของอ็องโตนี·รีดกับพวกพ้อง คือหนึ่งในโอกาสเหล่านั้น?
“สังเวยเลือด…” ฟรังก้ากับจินนานึกถึงฮิวจ์·อาร์ทัวส์ ผู้ได้รับการสนับสนุนจากลัทธิเทพมารหลายกลุ่มในเวลาเดียวกัน
เขาเริ่มสมรู้ร่วมคิดกับสาวกเทพมารในสงครามเมื่อหลายปีก่อน โดยบูชายัญกองร้อยในสังกัดไปหนึ่งกอง?
อ็องโตนี·รีดเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเปิดปาก
“กำลังจะบอกว่า สาวกเทพมารปลอมตัวเป็นกองทัพโลเอ็นมาเข่นฆ่าพวกเรา โดยมีฮิวจ์·อาร์ทัวส์สมรู้ร่วมคิด?”
“เป็นคำอธิบายที่สมเหตุสมผลที่สุดในตอนนี้แล้ว” ฟรังก้าพูดไปพลางคิดอย่างว่องไว “แต่ใครเป็นผู้ได้รับประโยชน์ล่ะ? ไม่น่าจะเป็นฮิวจ์·อาร์ทัวส์ เพราะจนถึงตอนที่ตายเขาก็ยังไม่มีพร”
แน่นอนว่าไม่มีใครตอบคำถามของฟรังก้าได้
หลายวินาทีผ่านไป ลูเมี่ยนจึงเปิดปาก
“นี่คือหนึ่งในทิศทางการสืบสวน ซึ่งน่าจะเกี่ยวข้องกับสาเหตุที่ฮิวจ์·อาร์ทัวส์ได้รับการสนับสนุนจนเป็นสส.”
ฟังมาถึงตรงนี้ จินนารีบเล่าข้อมูลที่ตนถามมาจากสองผู้ชำระ แล้วพูดทิ้งท้าย
“ตอนนี้ปัญหาคือ ผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งอย่างนายพลฟิลิปเสียชีวิตไปแล้ว เบาะแสทั้งหมดขาดตอนที่เขา”
“ตายได้จังหวะดีจริงๆ” ฟรังก้าหัวเราะ “หรือว่าจะถูกฆ่าตัดตอน?”
ลูเมี่ยนลูบคางพลางพูดช้าๆ
“ในโลกของศาสตร์เร้นลับ การตายบางอย่างอาจไม่ใช่การตายจริงๆ เสมอไป”
มาดามจัสติสเคยอธิบายว่า ในพรของเทพมารมีลำดับที่ชื่อ ‘ผู้ล่วงลับ’ ซึ่งสามารถใช้ความตายเพื่อหลุดพ้นจากชะตากรรมเดิม
ในทำนองเดียวกัน หากนายพลฟิลิปใช้ ‘ศาสตร์การสลับตัว’ คนที่ตายอาจไม่ใช่ตัวจริงของเขา
ฟรังก้าที่เคยผนึกกำลังต่อสู้กับกิโยม·เบเนต์ เข้าใจทันทีที่ได้ยิน
“ศาสตร์การสลับตัว?”
“ก็ยังตัดทิ้งไม่ได้” ลูเมี่ยนหัวเราะในคอ “ถัดจากนี้ เป้าหมายการสืบสวนของเราคือนายพลฟิลิป ยืนยันการเสียชีวิตของเขาให้ได้ หรือต่อให้ตายไปจริง ก็อาจยังหลงเหลือร่องรอยทิ้งไว้ เพียงแต่พวกผู้ชำระติดขัดกับข้อจำกัด จึงไม่พบร่องรอยที่ว่า”
เมื่อเห็นพวกพ้องปรึกษาหารือกันไม่กี่คำก็ได้ทิศทางการสืบสวน อ็องโตนี·รีดที่สติสตังพังทลายจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่หายดี พลันได้รับอิทธิพลจนความมั่นใจเพิ่มพูน
เขาผงกหัวแผ่วเบาแล้วพูด
“ไม่ต้องรีบร้อน เรื่องนี้ต้องซับซ้อนแน่นอน ผมจะไปสืบข้อมูลของนายพลฟิลิปมาให้เบื้องต้น รวมถึงครอบครัวกับเพื่อนของเขา”
หลังจากอ็องโตนี·รีดจากไป ลูเมี่ยนเห็นฟรังก้าเตรียมจะไปถนนน้ำพุเพื่อพบการ์ดเนอร์·มาร์ติน จึงออกจากอพาร์ตเมนต์ห้อง 601 พร้อมกัน
ระหว่างเดินลงบันได เด็กหนุ่มเล่ารวบรัดเกี่ยวกับเนื้อหาที่พูดคุยกับเฮล่า
ฟรังก้ายิ่งฟังก็ยิ่งตื่นเต้น
“ดีเลย ดีเลย… คุณกำลังจะกลายเป็น ‘มักเกิ้ล’ แล้วสินะ ไว้เราเข้าร่วมกลุ่ม ‘วันเอพริลฟูล’ ด้วยกัน!”
“คุณคาดหวังอะไรอยู่?” ลูเมี่ยนเหลือบตามองอีกฝ่าย
ฟรังก้าเดาะลิ้นแล้วพูด
“ที่บ้านเกิดของฉันมีสำนวนว่า ถ้าตัวเองเปียกฝน ก็ต้องไล่ฉีกร่มคนอื่นด้วย! ฮะๆ แค่มุกน่ะ แต่คุณไม่สนใจจริงๆ หรือ… ถึงรูปร่างหน้าตาจะดูแข็งกระด้างไปหน่อย แต่แค่ปรับนิดเดียวก็สวยได้แล้ว พอโอสถ ‘นักวางเพลิง’ ย่อยเสร็จ ลองดื่ม ‘สุขสม’ แทนดีไหม? เฮ้อ… ช่างเถอะ ถ้าไม่ได้สลับเส้นทางตอนลำดับ 4 เกรงว่าความเสี่ยงที่จะคลุ้มคลั่งคงสูงเกินไป”
หลังจากหัวเราะคิกคักอยู่พักใหญ่ ฟรังก้าที่มาถึงริมถนนก็เก็บรอยยิ้มกลับไป แล้วพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“อีกอย่าง ตอนนี้คุณเป็นหนึ่งในน้อยคนที่ฉันไว้ใจ ถ้ามีคุณช่วยสืบสวนกลุ่ม ‘วันเอพริลฟูล’ อย่างใกล้ชิดร่วมกัน ฉันคงสบายใจขึ้นเป็นกองเลย น่าเสียดายจริงๆ …”
“ใช่ น่าเสียดายมาก…” ลูเมี่ยนก็รู้สึกเสียดายไม่แพ้กัน
เด็กหนุ่มเปลี่ยนมาถามเกี่ยวกับจักรพรรดิโรซายล์แทน โดยแสดงความไม่เข้าใจต่อท่าทีของชาวสมาคมวิจัยลิงบาบูนขนหยิก
ทันใดนั้น สีหน้าของฟรังก้าก็พลันพิลึกกึกกือ ประหนึ่งกำลังใช้ความพยายามอย่างมาก เพื่อไม่ให้ตัวเองหลุดขำออกมา
ผ่านไปสักพัก เธอถึงได้ถอนหายใจแล้วอธิบาย
“เรื่องนี้ค่อนข้างซับซ้อน พูดให้เข้าใจได้ในไม่กี่ประโยคไม่ได้ พรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ถ้าว่างจะอธิบายให้ฟังอย่างละเอียด ยังไงก็เตรียมใจไว้ล่ะ”
“มันจะซับซ้อนสักแค่ไหนกันเชียว?” ลูเมี่ยนพึมพำหนึ่งประโยคแล้วโบกมือลาฟรังก้า เดินไปทางถนนอลเวง
หลังจากกลับถึงโรงแรมระกาทองห้อง 207 แม้เด็กหนุ่มจะพบปัญหาในสมุดบันทึกเวทมนตร์ของโอลัวร์แล้ว ไม่จำเป็นต้องตะบี้ตะบันอ่านต่อ แต่เขายังคงหยิบกระดาษคัดลอกออกมาศึกษาด้วยความเคยชิน ปล่อยความคิดให้ล่องลอย
ใกล้รุ่งสางแล้ว ลูเมี่ยนรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งดลใจ จงเงยหน้ามองไปเหนือโคมไฟคาร์ไบด์
แสงตรงนั้นเปลี่ยนเป็นสีฟ้าอมเขียวเจือจาง
‘ตุ๊กตา’ ผู้ส่งสารในชุดกระโปรงสีทองอ่อนพลันปรากฏกาย จ้องหน้าลูเมี่ยนด้วยสายตาเย็นชา ประหนึ่งกำลังข่มกลั้นบางอารมณ์อย่างยากลำบาก
ปักปัก! เธอโยนถุงมือหนังสีเหล็กดำที่ติดหนามสั้นหลายอันลงบนโต๊ะ เสียงกระแทกฟังดูเหมือนไม้กระทบไม้มากกว่าไม้กระทบโลหะ
ขณะเดียวกัน กระดาษแผ่นหนึ่งที่ถูกพับสี่เหลี่ยมก็ลอยไปทางลูเมี่ยน
“ขอบคุณ” ถึงแม้ ‘ตุ๊กตา’ ผู้ส่งสารจะอันตรธานหายไปทันทีโดยไม่คิดเสวนา แต่ลูเมี่ยนก็ยังคงพูดขอบคุณอย่างสุภาพ
เด็กหนุ่มยังไม่แตะต้องถุงมือ เริ่มคลี่กระดาษแผ่นดังกล่าวก่อน แล้วอ่านจดหมายจากมาดามเมจิกเชี่ยน
“ตะกอนพลัง ‘ผู้โชคดี’ กับ ‘กิ่งพฤกษาเงา’ ถูกทำเป็นสมบัติวิเศษแล้ว”
“เป็นยังไงบ้าง รูปลักษณ์เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง พกพาง่ายกว่าเดิมเยอะเลยใช่ไหม? นี่แหละผลงานชิ้นเอกระดับปรมาจารย์”
“มันยังไม่มีชื่อ ถ้าจะเรียกแบบเชยๆ ก็คงเป็น ‘ถุงมือเงาแห่งโชค’ แต่ถ้าเรียกแบบมีรสนิยมหน่อยก็ ‘ทุบตี’ หรือเธอจะตั้งชื่อเองก็ได้”
“ไม่ว่าเป้าหมายที่ถูกมันชกใส่จะได้รับบาดเจ็บหรือไม่ หรือต่อให้ใช้อาวุธป้องกันทัน ก็จะยังถูกปลุกเร้าให้เกิดแรงกระหายหรืออารมณ์บางอย่าง ส่วนจะเป็นอารมณ์แบบใดนั้น เดิมทีขึ้นอยู่กับดวงของเธอ แต่พอผสานเข้ากับพลัง ‘ผู้โชคดี’ เธอสามารถจำลองหรือจินตนาการถึงแรงกระหายหรืออารมณ์ที่สอดคล้องกันล่วงหน้าได้ เพื่อให้เป้าหมายได้รับอิทธิพลตามที่คาดหวัง อัตราสำเร็จค่อนข้างสูง ราวร้อยละเจ็ดสิบถึงแปดสิบ”
“หลังจากเป้าหมายถูกปลุกเร้าให้เกิดแรงกระหายหรืออารมณ์ เมื่อเธอชกโดนอีกฝ่ายเป็นครั้งที่สอง คราวนี้จะไม่เกิดแรงกระหายหรืออารมณ์ใหม่ แต่จะมีโอกาสทำให้แรงกระหายหรืออารมณ์ก่อนหน้าปะทุขึ้นมา สำหรับเป้าหมายส่วนใหญ่ ภาวะนี้เปรียบดังคลื่นยักษ์ที่ยากแก่การต้านทาน ร่างกายจะได้รับภาระหนัก ก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรง หรือแม้กระทั่งทำให้ศัตรูหมดสภาพจนไม่สามารถต่อต้านได้ชั่วคราว”
“ในการชกแต่ละครั้ง โอกาสที่จะ ‘ปะทุ’ แรงกระหายหรืออารมณ์ไม่สูงนัก แต่ถ้าเธอชกเข้าเป้าหลายหมัด ก็ย่อมต้องสำเร็จได้ในที่สุด เว้นเสียแต่เธอจะพกโชคร้ายติดตัว จนหักล้างคุณสมบัติของ ‘ผู้โชคดี’ ไปหมดสิ้น”
“จุดเด่นอันดับหนึ่งของถุงมือคู่นี้มิใช่พลังโจมตี แต่เป็นการป้องกัน มันแข็งมาก สามารถปัดป้องการโจมตีหนึ่งครั้งของ ‘ยมทูต’ ได้โดยไม่ชำรุดเสียหาย (หมายเหตุ: ‘ยมทูต’ คือลำดับ 5 ของเส้นทางนักล่า) แต่แน่นอน การโจมตีต้องปะทะกับถุงมือพอดิบพอดีล่ะนะ หรือในบางสถานการณ์ มันอาจใช้รับการโจมตีที่แฝงเทวบารมีของลำดับ 4 ได้ด้วย แต่แลกมากับการแตกร้าวหรือแตกกระจาย”
“ผลข้างเคียงด้านลบคือ เมื่อพกติดตัวจะทำให้ควบคุมตัวเองได้ยากลำบาก แรงกระหายหรืออารมณ์ต่างๆ จะผันผวนจนผิดวิสัย ต้องอาศัยความอดทนอันเป็นเลิศในการข่มกลั้น โดยเมื่อเธอสวมมันเข้าไป ด้วยความที่สร้างจาก ‘พฤกษาเงา’ ต้นนั้น เธอจะถูกจับจ้องโดยองค์ซ่อนเร้นบางพระองค์ ถึงแม้พวกท่านๆ จะมิอาจทำร้ายเธอได้ด้วยเหตุผลต่างๆ นานา แต่ก็ยังสามารถบงการ ‘ตัวอันตราย’ ให้มาอยู่ข้างกายเธอ เพื่อส่งอิทธิพลหรือลงมือโจมตีโดยตรง”
“ดังนั้น ทุกครั้งที่สวมถุงมือ จะต้องไม่กินเวลานานเกินไป ใช้เสร็จแล้วให้รีบย้ายตำแหน่งทันที แต่ถ้าทำสองอย่างนี้ไม่ได้ จนถูกภัยซ่อนเร้นจับตามอง อย่าลืมเตรียมตัวให้พร้อมสุดขีด ตราบใดที่เธอยังปัดป้องการโจมตีได้สักหนึ่งถึงสองหน ตัวอันตรายเหล่านั้นที่ยังมิอาจมาเยือนได้อย่างแท้จริง ก็จะถูกโลกของเราผลักไสกลับไปเอง”
“อ้อ แล้วก็ สองนักจิตบำบัดของเธอ ฝากบอกให้เธอเข้ารับการรักษาครั้งสุดท้ายตอนบ่ายวันพรุ่งนี้ ที่เก่าเวลาเดิม”
……………………………………………………..