ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 303 ประกาย ‘ไฟ’
- Home
- All Mangas
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 303 ประกาย ‘ไฟ’
ตอนที่ 303 ประกาย ‘ไฟ’
เถ้ากระดูกมัมมี่… ลูเมี่ยนนึกถึงร้าน ‘ยาลับที่ราบสูง’ ในเมืองลาปุสขึ้นมาทันที
สิ่งที่เรียกว่ามัมมี่นั้น มีต้นกำเนิดจากอาณาจักรที่ราบสูงโบราณ มีศัพท์เฉพาะในภาษาที่ราบสูงโบราณ แต่จักรพรรดิโรซายล์ได้นิยามไว้ด้วยชื่อมัมมี่
ซึ่งหมายความว่า มัมมี่ที่เก่าแก่และแท้จริงที่สุด ล้วนอยู่บนที่ราบสูงดวงดาว ซึ่งถือเป็น ‘แหล่งผลิต’ เถ้ากระดูกมัมมี่รายใหญ่ของโลก
ยิ่งฟรังก้าเล่า เธอก็ยิ่งตื่นเต้น
“ทำไมพวกบุรุษในทรีอาร์ถึงหลงใหลยากระตุ้นสมรรถภาพด้านนั้นกันนะ แม้แต่ขี้เถ้ามัมมี่แบบนี้ยังกล้ากิน! มันเดือดร้อนคนที่ต้องการใช้จริงรู้ไหม!”
“พวกสตรีในทรีอาร์จำนวนไม่น้อยก็นิยมเหมือนกัน โดยหวังว่าสามีและคนรักจะมีผลงานบนเตียงดีขึ้น” ลูเมี่ยนเคยอ่านรายงานในหัวข้อนี้ จึงถามฟรังก้าด้วยความสงสัยใคร่รู้ “มันได้ผลจริงหรือ”
ฟรังก้าส่ายหน้าเยาะหยัน
“ผงที่ผลิตจากศพซึ่งผ่านกระบวนการพิเศษ นอกจากจะก่อโรคแล้ว ฉันนึกไม่ออกเลยว่ามันจะมีสรรพคุณอะไรได้ อา… ถ้าเป็นในเชิงศาสตร์เร้นลับก็อีกเรื่องหนึ่ง”
“ลองคิดดูนะ ตอนนี้ทั่วทรีอาร์เต็มไปด้วยขี้เถ้ามัมมี่ปลอม พวกเขากินกันอย่างสนุกสนานโดยแยกไม่ออกว่าของจริงหรือของปลอม”
“สมุนไพรที่ออกฤทธิ์คล้ายๆ กันมีอยู่ถมเถ แต่พอใส่ชื่อเถ้ากระดูกมัมมี่เข้าไป ราคาก็พุ่งขึ้นหลายเท่า แล้วใครมันจะไม่ทำ?”
“อย่าประเมินมโนธรรมของพวกพ่อค้าสูงเกินไปนัก เรื่องเอากระดูกหนูตายมาบดเป็นผง ผสมกับสมุนไพร แล้วขายเป็นขี้เถ้ามัมมี่น่ะ ฉันได้ยินคนบ่นกันในชุมนุมศาสตร์เร้นลับหลายแห่งแล้ว”
“ตอนที่ฉันยัง… เอ่อ… ยังไม่มีพลังวิเศษ และยังต้องทำงานหนักอยู่ ฉันเห็นเถ้าแก่ร้านกาแฟใช้ชิกโครีทำเป็นกาแฟปลอม ต่อมาเขาแม้แต่ชิกโครีก็ยังไม่ยอมใช้ เก็บกากกาแฟ น้ำดีสัตว์ แม้กระทั่งผงอิฐและขี้ถ่านมาใช้แทน… เชื่อฉันเถอะ ถ้าคุณได้เห็นครัวหลังของร้านอาหารหรือร้านกาแฟบางแห่ง คงอยากจับเถ้าแก่มาแขวนคอกับตะแลงแกงให้รู้แล้วรู้รอด… เปลือกหอยทากพวกนั้นถูกนำกลับมาใช้เรื่อยๆ เก็บจากกองขยะเรื่อยๆ ยัดใส่อาหารแล้วนำมาเสิร์ฟให้ลูกค้าใหม่…”
ฟรังก้าเล่ายาวเหยียด ระบายความไม่พอใจที่มีต่อผลิตภัณฑ์ปลอมและด้อยคุณภาพ ซึ่งขัดขวางการเลื่อนลำดับของเธอ
หลังจากหญิงสาวพูดจบ ลูเมี่ยนถามด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
“โอสถแม่มดในตัวคุณถูกย่อยหมดแล้วสินะ”
“เสร็จตั้งนานแล้ว ช่วงนี้คุณเห็นฉันสวมบทบาทเป็นแม่มดบ้างไหมล่ะ” ฟรังก้าดึงอารมณ์กลับเป็นปกติ ตอบอย่างโอ้อวด
ลูเมี่ยนเปลี่ยนเรื่องด้วยน้ำเสียงครุ่นคิด
“ถ้าจำไม่ผิด คุณเคยดูแคลนที่โรงเรียนกุหลาบก่อเหตุสะเทือนขวัญตามทวีปเหนือ ถึงขั้นเยาะเย้ยว่าพวกมันมือไม่พายเอาเท้าราน้ำ ยิ่งลงมือก็ยิ่งทำให้ชาวทวีปใต้ต่อต้านอาณานิคมได้ลำบาก… ผมไม่ค่อยเข้าใจตรรกะนี้สักเท่าไร ฝ่ายที่ถูกรังแกไม่ควรต่อต้านและแก้แค้นหรือ”
“ควร ถ้าทำเพื่อความสะใจ มันไม่มีปัญหาเลย” ฟรังก้าเดินไปที่หน้าต่างห้องนอนลูเมี่ยน มองออกไปยังท่าเรือและลานกองสินค้าที่ถูกอาคารบดบัง พูดด้วยดวงตาที่มิได้จดจ่อ “แต่ถ้าอยากนำพาชาวทวีปใต้ขับไล่พวกล่าอาณานิคม การทำแบบนั้นจะให้ผลตรงกันข้าม นักปราชญ์ในบ้านเกิดของฉันเคยกล่าวไว้ว่า กษัตริย์ไม่อาจยกทัพไปตามอารมณ์โกรธ การต่อต้านอาณานิคมเป็นเรื่องที่ทั้งยุ่งยากและละเอียดอ่อน ยิ่งไม่ควรเป็นถังขยะระบายอารมณ์”
เมื่อลูเมี่ยนยังคงทำหน้าสงสัย ฟรังก้าชี้ออกไปนอกหน้าต่าง
“ที่นั่นเต็มไปด้วยคนงานและแรงงานขนของ พวกเขาทำงานหนักทุกวัน นอนในห้องที่เต็มไปด้วยตัวเรือด แค่จุนเจือตัวเองกับครอบครัวให้มีชีวิตรอดไปวันๆ ก็ยากลำบากมากแล้ว… คนพวกนี้เป็นนักล่าอาณานิคมหรือ? ได้ประโยชน์จากการล่าอาณานิคมหรือ? จริงอยู่ งานของพวกเขาอาจเกิดจากการค้าระหว่างประเทศอาณานิคม แต่ถ้าไม่มีอาณานิคม กลับสู่สถานะการค้าปกติ พวกเขาจะตกงานหรือ? ฉันคิดว่าไม่… ความน่าจะเป็นคือ พวกเขายังคงได้ทำงานเลี้ยงชีพอย่างฝืดเคือง มีเพียงพวกเถ้าแก่ที่จะเสียกำไรส่วนเกิน”
“แรงงานเหล่านี้ล้วนมีความต้องการ ล้วนอยากเปลี่ยนแปลงสังคมปัจจุบัน และมักเข้าร่วมการเดินขบวนประท้วงต่างๆ ของชาวทรีอาร์ มีความไม่พอใจต่อรัฐบาลอย่างแรงกล้า”
“คนประเภทนี้มีอยู่มากในกรุงทรีอาร์ บางคนรู้สึกเห็นอกเห็นใจชาวทวีปใต้ที่ถูกล่าอาณานิคม ด้วยเหตุผลแตกต่างกันไป”
“กษัตริย์นักปราชญ์ในบ้านเกิดของฉันเคยกล่าวไว้ว่า เมื่อเรากระทำสิ่งใด ต้องแยกแยะให้ชัดเจนว่าใครคือมิตร ใครคือศัตรู โรงเรียนกุหลาบก่อเหตุสะเทือนขวัญหลายครั้ง จนผลักให้ผู้ที่เคยเห็นอกเห็นใจชาวทวีปใต้ รวมถึงฝ่ายต่อต้านรัฐบาล ไปอยู่ฝั่งตรงข้ามตัวเอง ทำให้ตัวเองตกเป็นเป้าความเกลียดชังแทน เปิดโอกาสให้รัฐบาลนำมาใช้เป็นข้ออ้างเพื่อขจัดความขัดแย้งภายใน… หากหวังจะขับไล่ผู้ล่าอาณานิคม การทำเช่นนี้ย่อมส่งผลเสียมากกว่าดี”
“กษัตริย์นักปราชญ์ผู้นั้นแม้กระทั่งห้ามมิให้สายลับของตน ลงมือลอบสังหาร ลงมือแก้แค้น อย่าว่าแต่การก่อเหตุสะเทือนขวัญเลย”
ฟรังก้ากลับมาสู่ความจริง เสริมด้วยดวงตาเป็นประกาย
“เพียงสร้างมิตรให้มากขึ้น โดดเดี่ยวศัตรูให้มากที่สุด ปลุกประกายไฟขึ้นมา ไม่ว่าเปลวไฟจะเล็กเพียงใด กระจัดกระจายเพียงใด แต่สุดท้ายก็จะลุกลามจนสามารถเผาทุ่งหญ้าได้ทั้งผืน!”
ใครคือมิตร ใครคือศัตรูของเรา… มองหาพันธมิตร โดดเดี่ยวศัตรู… ไม่ว่าเปลวไฟจะเล็กเพียงใด กระจัดกระจายเพียงใด แต่สุดท้ายก็จะลุกลามจนสามารถเผาทุ่งหญ้าได้ทั้งผืน… ไม่ว่าเปลวไฟจะเล็กเพียงใด กระจัดกระจายเพียงใด แต่สุดท้ายก็จะลุกลามจนสามารถเผาทุ่งหญ้าได้ทั้งผืน… ลูเมี่ยนรู้สึกเหมือนถูกสะกิดใจ มุมมองใหม่ๆ ถูกเปิดออกทันที พลางตีความคำพูดฟรังก้าซ้ำไปซ้ำมา
โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายนั่น เด็กหนุ่มเริ่มมองนักวางเพลิงในมุมใหม่ จนกระทั่งตกผลึกเป็นกฎการสวมบทบาทข้อแรก
หลังจากผ่านไปสิบกว่าวินาที ลูเมี่ยนพยักหน้าขึงขัง
“ผมเห็นด้วยกับคำพูดของคุณ… การที่โรงเรียนกุหลาบก่อเหตุสะเทือนขวัญ คือพฤติกรรมที่โง่เขลาอย่างยิ่ง อาศัยเพียงกิเลสนำทางตัวเอง… อา… แต่ก็ถือว่าปกติสำหรับสาวกของมารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย”
ฟรังก้าบุ้ยปากเล็กน้อย
“ถ้าโรงเรียนกุหลาบมุ่งเน้นการลอบสังหารแม่ทัพ สมาชิกสภา ข้าราชการระดับสูงของฝ่ายล่าอาณานิคม เน้นการทำลายเรือรบ คลังแสง โรงงานอุตสาหกรรมทางทหาร ฉันก็คงไม่ดูแคลนพวกมัน… แต่ในความเป็นจริง ไอ้พวกโง่นี่สักแต่จะจัดพิธีสังเวยเลือด คิดแต่จะฆ่าคนเป็นเบือโดยไม่ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน ฉันจะไม่ตกเป็นเหยื่อสังเวยของพวกเวรตะไลนี่เด็ดขาด”
“นี่สินะ ตัวอย่างของการผลักผู้ที่เห็นอกเห็นใจให้กลายเป็นฝ่ายตรงข้าม” ลูเมี่ยนแสดงความเห็นตรงประเด็น
ฟรังก้ากล่าวด้วยน้ำเสียงดูหมิ่น
“ไอ้พวกบ้านี่ไม่เพียงแต่จัดพิธีสังเวยเลือดในกลุ่มอาณาจักรทวีปเหนือ กระทั่งทวีปใต้ก็ไม่เว้น ในเขตอิทธิพลของตัวเองก็ไม่เว้น หลายครั้งก็เปลี่ยนหมู่บ้านธรรมดาๆ ให้กลายเป็นแดนร้าง… ตามความคิดของฉัน อุปสรรคใหญ่ของชาวทวีปใต้ไม่ได้มีแค่ผู้ล่าอาณานิคมหรอก พวกโรงเรียนกุหลาบนี่ก็ด้วย”
ลูเมี่ยนพยักหน้าแผ่วเบา กล่าวต่อตามแนวโน้มเดิม
“เมื่อสักครู่ มาดามท่านนั้นพาผมไปเที่ยวที่ราบสูงดวงดาวมาครู่หนึ่ง ได้เจอพ่อค้ามัมมี่ด้วย… ให้ผมไปรบกวนท่านอีกสักรอบไหม? จะได้จบปัญหาเกี่ยวกับเถ้ากระดูกมัมมี่ไป”
มาดามท่านนั้น… ฟรังก้าเข้าใจในทันที มิได้ถามต่อ เพียงครุ่นคิดสักพักแล้วตอบ
“ยังไม่ต้องหรอก ในทรีอาร์มีของปลอมเยอะก็จริง แต่ใช่ว่าจะไม่มีของแท้เลย เราลองหาดูก่อน ไว้อับจนหนทางจริงๆ ค่อยไปทวีปใต้”
“แต่ผมอยากให้คุณเลื่อนเป็นลำดับ 6 ‘นางมารสุขสม’ ภายในหนึ่งสัปดาห์” ลูเมี่ยนพูดอย่างจริงใจ
“หือ?” ฟรังก้างุนงง
ใครกันแน่ที่กำลังจะเลื่อนลำดับ?
ลูเมี่ยนไม่ปิดบัง กล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“นักพยากรณ์ท่านหนึ่งบอกกับผมว่า กิโยม·เบเนต์จะปรากฏตัวที่เขตเจ้าหญิงสีชาดในสัปดาห์หน้า ผมอยากตามหามัน จับตัวมันให้ได้ และนั่นจำเป็นต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากหลายฝ่าย บอสรับปากผมแล้วว่าจะช่วยตามหามันให้ ยิ่งคุณแข็งแกร่งเท่าไร โอกาสที่เราจะล้อมจับกิโยม·เบเนต์สำเร็จก็ยิ่งสูงเท่านั้น”
“เด็กอย่างคุณนี่ พึ่งเรียนจบก็นำมาใช้ทันทีเลยนะ” ฟรังก้าพูดขำขัน “คุณไม่ได้มองฉันเป็นคนนอกแล้วสินะ ไม่ถามด้วยซ้ำว่าทางนี้จะยอมช่วยไหม เอาแต่มัดมือชกฝ่ายเดียว”
“แล้วนี่ไม่ใช่การถามหรือ” ลูเมี่ยนหัวเราะในคอ
ฟรังก้าไตร่ตรองสักพักก่อนจะตอบ
“รอดูอีกสักสองสามวันก็แล้วกัน ถ้ายังหาซื้อเถ้ากระดูกมัมมี่ของแท้ไม่ได้ ก็ค่อยไปทวีปใต้กัน… ฉันเคยบอกไปแล้วนี่ ไพ่อาร์คาน่าใหญ่พวกนั้น ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าไปรบกวนพวกท่านเลย”
“ตกลง” อันที่จริง ลูเมี่ยนก็มีความเห็นคล้ายคลึงกัน เพียงแต่นานๆ ครั้งก็อยากคว้าโอกาสเอาไว้บ้าง หากเขาไร้ความเกรงใจจริง ป่านนี้คงขอให้มาดามเมจิกเชี่ยนช่วยจัดการกิโยม·เบเนต์ไปแล้ว ซึ่งก็แทบจะรับประกันผลลัพธ์
ลูกน้องที่ไม่มีปัญญาสะสางปัญหาของตัวเอง รู้แต่จะรบกวนหัวหน้า สักวันต้องถูกทอดทิ้งแน่!
นอกจากนี้ กฎเหล็กภายในของชุมนุมทาโรต์คือ ‘การแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม’ ถ้าจะขอความช่วยเหลือจากไพ่อาร์คาน่าใหญ่ระดับครึ่งเทพ จะต้องจ่ายค่าตอบแทนแบบไหนกัน
หลังจากคุยกันอีกพักใหญ่ ฟรังก้าที่เตรียมจากไป หันไปมองหน้าต่าง แล้วพลันเอ่ยขึ้นว่า
“ถึงการ์ดเนอร์·มาร์ตินจะเข้าใจภาพรวมของเรื่องราวแล้ว เตรียมตัวรับมือไว้พร้อมแล้ว แต่คุณก็ห้ามประมาทเด็ดขาด ห้ามฝากความหวังไว้ที่เขาเพียงคนเดียว โรงเรียนกุหลาบถือเป็นองค์กรลับที่เก่าแก่มาก ย่อมมีความสามารถพิสดารที่เราคาดไม่ถึง”
ทำไมอยู่ๆ ถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา… ลูเมี่ยนชะงักไป แต่ก็รีบตามน้ำอย่างร่วมมือ
“ลำดับของบอสอย่างต่ำก็นักวางแผนแล้ว ลับหลังไม่รู้ว่าขุดหลุมพรางเตรียมไว้ตั้งเท่าไร ทุกวันนี้ก็แค่รอพวกโรงเรียนกุหลาบมาติดกับ”
สองคนพูดคุยกันในประเด็นดังกล่าว พลางเดินออกจากห้องนอน เข้าสู่ทางเดินบนชั้นสอง
มาถึงตรงนี้ ฟรังก้าหรี่เสียงแล้วกระซิบกระซาบ
“เมื่อสักครู่ ฉันรู้สึกว่ากระจกหน้าต่างห้องนอนไม่ปกติ คิดว่าคงเป็นวิญญาณอาฆาต”
วิญญาณอาฆาตของโรงเรียนกุหลาบ? ฟรังก้าอาศัยความชำนาญกระจกของแม่มด ค้นพบความผิดปกติได้เล็กน้อย? ลูเมี่ยนพลันตึงเครียด แต่ก็รีบพยักหน้าแผ่วเบาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำให้ดูเหมือนกำลังสนทนาในประเด็นสุดแสนจะธรรมดา
เด็กหนุ่มมองฟรังก้าเดินเข้าไปในร้านกาแฟ แล้วออกจากคาบาเร่ต์ลมเอื่อย ส่วนตัวเองเดินไปนั่งที่ประจำ จิบกาแฟหอมกรุ่น
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงเต็ม ลูเมี่ยนเริ่มผ่อนคลายลงหลายส่วน รู้สึกว่าวิญญาณอาฆาตนั่นจากไปแล้ว คงไปสืบหาหลุมพรางอื่นๆ ที่การ์ดเนอร์·มาร์ตินอาจขุดไว้
ไม่กี่วันถัดมา ลูเมี่ยนใช้ชีวิตด้วยนิสัยค่อนข้างหวาดระแวง สัมผัสได้ถึงสายตาจากกระจกเป็นระยะ ทั้งกระจกหน้าต่างและกระจกเงาห้องน้ำ แต่ก็ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นเลย
ในที่สุดก็ถึงวันที่มิสเตอร์ K สัญญาจะตกรางวัลให้
ขณะเดินลงบันไดของโรงแรมระกาทอง ลูเมี่ยนเห็นสตรีแปลกหน้าคนหนึ่ง
เธอใส่ชุดกระโปรงยาวสีฟ้าอมเขียว ผมสีน้ำตาลปล่อยตามธรรมชาติ นัยน์ตาสีน้ำตาลเจือความรู้สึกล่องลอยอันเป็นเอกลักษณ์ หน้าตาดีกว่าบรรทัดฐานสังคมเล็กน้อย ใบหน้าอิ่มเอิบ บุคลิกแปลกแยก
ขณะลูเมี่ยนเดินผ่านแผนกต้อนรับ ก็ถามนางเฟลส์ในเชิงซักไซ้
“สุภาพสตรีคนนี้คือผู้เช่าใหม่หรือ”
นางเฟลส์รูปร่างอ้วนท้วนยิ้มเอาอกเอาใจ
“ไม่ใช่ค่ะ นี่คือมิสซาฟารีห้อง 309 เธอตามจิตรกรไปยังเมืองริมทะเลเพื่อเป็นนางแบบวาดภาพ วันนี้เพิ่งกลับค่ะ”
“น่าอิจฉาจังเลยนะคะ ได้ทำงานด้วย ได้พักผ่อนหย่อนใจที่ทะเลด้วย”
นางแบบวาดภาพ? ลูเมี่ยนพยักหน้าเล็กน้อย เดินออกจากโรงแรมระกาทอง นั่งรถม้าสาธารณะไปยังเขตถนนหลวง
…………………………………………….
.