ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 282 หน้าเนื้อใจเสือ
- Home
- All Mangas
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 282 หน้าเนื้อใจเสือ
ตอนที่ 282 หน้าเนื้อใจเสือ
การ์ดเนอร์·มาร์ตินเปิดประตูรถและก้าวลงมา มองหน้าลูเมี่ยน และสวมกอดอย่างอบอุ่นอ่อนโยน
โฮ่… เปลี่ยนท่าทีจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยนะ… ลูเมี่ยนคิดในใจขณะกอดตอบ
หลังจากกอดกันนานสองวินาที การ์ดเนอร์·มาร์ตินคลายมือแล้วพูดยิ้มๆ
“นับแต่นี้ไป เราคือพี่น้องกันอย่างแท้จริงแล้วนะ”
พี่น้องอย่างแท้จริง? ถ้านายตาย ฉันจะได้รับมรดกด้วยไหม? ลูเมี่ยนที่กลับมาอารมณ์ดีอีกครั้งหลังจากผ่านพ้น ‘การทดสอบ’ อันยากลำบาก มีมุกตลกอยู่เต็มท้อง แต่ไม่กล้าพูดออกไป
“คุณยังคงเป็นบอสของผมเสมอ” เด็กหนุ่มแสดงความจงรักภักดีตามความเคยชิน
ตามความคิดของเขา แม้การแสดงออกเช่นนี้จะดูเล่นใหญ่เกินไปและขาดความจริงใจ แต่ถ้าไม่ทำก็คงไม่ได้
การ์ดเนอร์·มาร์ตินหัวเราะในคอ
“ต่อไปนี้ เวลาที่ไม่มีคนอื่นอยู่ด้วย คุณจะเรียกผมว่า ‘ผู้การ’ ก็ได้”
“ผู้การ…” ลูเมี่ยนรู้สึกว่าคำเรียกนี้ทะแม่งๆ อยู่ไม่น้อย
‘ชุมนุมกางเขนเลือดเหล็ก’ เป็นองค์กรลับ ไม่ใช่กองทัพสักหน่อย
การ์ดเนอร์·มาร์ตินมิได้อธิบายเสริม เพียงแต่ยิ้มเล็กน้อย
“คืนนี้สองทุ่มตรง มาที่บ้านเลขที่ 11 ถนนน้ำพุ เราจะจัดพิธีรับคุณเข้าเป็นสมาชิก”
พูดจบ เขาก็ตบไหล่ลูเมี่ยน
“ตอนนี้ไปพักผ่อนให้เต็มอิ่มเถอะ”
ลูเมี่ยนพึมพำรับคำ ลาผู้นำของพรรคซาฟาห์คนนี้ แล้วกลับไปยังโรงแรมระกาทอง ก่อนจะปิดม่านห้อง 207
ตอนนี้เลยเวลาหกโมงเช้ามาแล้ว เด็กหนุ่มไม่จำเป็นต้องนอนชดเชย จึงนั่งลงตรงโต๊ะไม้และเริ่มเขียนจดหมายถึงมาดามเมจิกเชี่ยน เล่าถึงเหตุการณ์เมื่อคืนและการกระทำของเทอร์มีโพลอสอย่างละเอียดถี่ถ้วน สุดท้ายก็สอบถามว่า ควรรายงานเรื่องนี้ให้มิสเตอร์ K ทราบอย่างไรดี
เห็นได้ชัดว่า ลูเมี่ยนยังไม่แกร่งพอที่จะเอาตัวรอดจาก ‘ความผิดปกติ’ ในตึกร้างได้ตามลำพัง จำเป็นต้องหาเหตุผลที่เหมาะสมเพื่ออธิบายให้มิสเตอร์ K ยอมเชื่อ โดยไม่เปิดเผยเรื่องรอยประทับของมิสเตอร์ฟูล รวมถึงการมีอยู่ของเทวทูตในขอบเขตชะตากรรม
หลังจากพับจดหมายเรียบร้อย ลูเมี่ยนก็จัดพิธี อัญเชิญผู้ส่งสาร ‘ตุ๊กตา’ ที่สวมกระโปรงสีทองอ่อนออกมา
ผู้ส่งสารก้มหน้าลง มองจดหมายที่ถูกพับเป็นสี่เหลี่ยม แล้วผงกศีรษะอย่างพึงพอใจ
ระหว่างที่เสกจดหมายให้ลอยขึ้น เธอบอกกับลูเมี่ยน
“ยังมีคนคอยจับตาดูเจ้าอยู่”
หือ? ไม่รู้สึกตัวเลย… ระดับการติดตาม ซ่อนตัว และสังเกตการณ์ต้องสูงแค่ไหนกัน… ลูเมี่ยนในฐานะ ‘นักล่า’ ย่อมมีพลังในการต่อต้านการสะกดรอย และไวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม แต่กลับไม่รู้สึกตัวเลยว่ากำลังถูกตามสะกดรอยอยู่!
ลูกน้องของมิสเตอร์ K? ไม่ใช่… ถ้าเป็นพวก ‘ชุมนุมแสงเหนือ’ คุณผู้ส่งสารคงไม่เอ่ยปากเตือน… หน่วยสอดแนมที่การ์ดเนอร์·มาร์ตินส่งมายังไม่ยกเลิกภารกิจ แม้ว่าเราจะผ่าน ‘การทดสอบ’ และถูกความผิดปกติในตึกครอบงำไปแล้ว? จริงสิ… หลังจากผ่านเหตุการณ์เมื่อคืน และถูกการ์ดเนอร์·มาร์ตินแจ้งว่าสอบผ่าน นี่คือช่วงเวลาที่เราระวังตัวน้อยที่สุด ผ่อนคลายมากที่สุด และง่ายต่อการเปิดเผยปัญหามากที่สุด… บัดซบ ร้ายกาจชะมัด! ลูเมี่ยนพึ่งตระหนักว่าตนยังเด็กและขาดความรอบคอบเมื่อเทียบกับการ์ดเนอร์·มาร์ติน
หากเด็กหนุ่มมิได้เล่นละครเป็นคนอดนอน เพิ่งผ่านการทรมานอย่างโหดร้าย และต้องการพักผ่อน จึงรูดม่านห้องนอนปิดมิดชิด ป่านนี้คงถูกหน่วยสอดแนมสงสัยไปแล้ว
ในทำนองเดียวกัน เขายังรู้สึกโล่งใจที่ผู้ส่งสารของมาดามเมจิกเชี่ยนดูเหมือนจะแข็งแกร่งมาก จนหน่วยสอดแนมไม่เอะใจเลย
หลังจากผู้ส่งสารตุ๊กตากลับไป ลูเมี่ยนก็เอนตัวบนเตียง รออยู่สักพักก็ได้รับจดหมายตอบกลับ
“ในฐานะองค์กรลับที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานถึงสองสามร้อยปี ‘ชุมนุมกางเขนเลือดเหล็ก’ คงรับสมาชิกใหม่ไม่ง่ายนัก แต่การสั่งให้เด็กใหม่เข้าไปรับมลทินโดยตรง ไม่ค่อยสอดคล้องกับ ‘บททดสอบ’ ที่ฉันเคยได้ยินมาสักเท่าไร”
“ดูเหมือนว่าในช่วงหลายปีหลัง ‘ชุมนุมกางเขนเลือดเหล็ก’ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่ไม่ค่อยน่าไว้ใจ เธอไม่จำเป็นต้องรีบร้อนหาสาเหตุ ค่อยเป็นค่อยไปทีละขั้นตอน โดยนับแต่นี้ต่อไป ให้เธอถือว่าความปลอดภัยของตัวเองมาเป็นอันดับหนึ่ง”
“เทอร์มีโพลอสอาสาให้ความช่วยเหลือและให้คำเตือนโดยสมัครใจ คงเพราะไม่อยากให้เธอได้รับมลทินหรือตายไปตรงนั้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อมันด้วย ในอีกแง่หนึ่ง นี่อาจเป็นการเสแสร้งเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อซื้อใจเธอ แล้วจึงค่อยเปิดเผยจุดประสงค์ที่แท้จริงในช่วงเวลาสำคัญ”
“จงจำไว้เสมอว่า เทวทูตของเทพมารคือพวกเสียสติขนานแท้ สามารถนำพาหายนะมาสู่คุณกับคนรอบข้าง ต้องคอยระวังตัวอยู่เสมอ ใช้ประโยชน์จากพวกมันได้ แต่ก็ต้องป้องกันตัวจากพวกมันเช่นกัน”
“ฝั่งของมิสเตอร์ K ไม่มีอะไรยาก เธอแค่บอกไปว่า ในช่วงเวลาสำคัญ ตนได้สวดวิงวอนถึงพระนามของ ‘พระองค์ท่าน’ ที่พวกมันศรัทธา ช่วยให้รอดพ้นจากมลทินได้อย่างน่าอัศจรรย์”
“ไม่ต้องกังวลว่ามิสเตอร์ K นั่นจะนำเรื่องนี้ไปถามหาความจริงกับองค์ซ่อนเร้นนั่นโดยตรง นี่มิใช่แนวทางของผู้ศรัทธาอย่างเคร่งครัด และแม้แต่ตัวพระองค์เองก็ไม่อาจมั่นใจได้ว่า พระองค์เคยตอบรับคำวิงวอนของเธอหรือไม่”
หืม… เมื่อฟังจนจบ ลูเมี่ยนกลับรู้สึกฉงนขึ้นมาเล็กน้อย
แม้แต่ตัวเทพเองก็ไม่แน่ใจ ว่าตนได้ตอบรับคำวิงวอนของสาวกไปเมื่อไรบ้าง?
มันเป็นไปได้ด้วยหรือไง?
ชั่วขณะหนึ่ง ลูเมี่ยนนึกถึงเรื่องหนึ่งที่มาดามเมจิกเชี่ยนเคยพูดไว้
หากสวดด้วยคำนิยามอื่นซึ่งมิใช่พระนามสามบทที่ใช้วิงวอนถึงเดอะฟูล เธอไม่ขอรับรองว่าผู้ที่ตอบรับจะเป็นพระองค์ตัวจริง มิหนำซ้ำยังจะเป็นอันตราย
ถือว่าคล้ายกันได้ไหม? พอเป็นเรื่องของเทพแล้วเข้าใจยากเหลือเกิน มิหนำซ้ำ แค่ทำผิดพลาดเพียงเล็กน้อย ก็อาจต้องตกอยู่ในภาวะที่ขอตายดีกว่าอยู่… โอลัวร์ก็เป็นแบบนี้ด้วยไหม? ยิ่งลูเมี่ยนคิด ในหัวก็ยิ่งเต็มไปด้วยความสงสัย
ในช่วงสองสามวันมานี้ เด็กหนุ่มหมั่นศึกษาสมุดบันทึกเวทมนตร์ของโอลัวร์อย่างจริงจัง คัดลอกเนื้อหาในสองช่วงเวลาที่มาดามจัสติสวงกลมไว้ออกมา แล้วเริ่มศึกษาอย่างละเอียด พร้อมทั้งวางแผนว่า หากมีโอกาสจะให้มาดาม ‘เฮล่า’ รองประธาน ‘สมาคมวิจัยลิงบาบูนขนหยิก’ ช่วยดูอีกแรง
ฟรังก้าได้อ่านเนื้อหาไปบางส่วนแล้ว แต่ไม่พบรายละเอียดใดดูน่าสงสัย สิ่งที่อยู่ในบันทึกมิใช่ปัญญาศาสตร์เร้นลับที่ผิดแผกพิสดารแต่อย่างใด ก็แค่เวทมนตร์ทั่วไปที่มีเพียง ‘จอมเวท’ หรือผู้วิเศษในขอบเขตเดียวกับสามารถใช้งานได้ ซึ่งไม่มีประโยชน์กับทั้งสอง
สิ่งเดียวที่เธอและลูเมี่ยนตงิดใจว่าอาจมีปัญหาคือ ตั้งแต่ต้นปีนี้มา ในสมุดบันทึกเวทมนตร์ของโอลัวร์มีความรู้เกี่ยวกับ ‘พิธีกรรมสังเวย’ และ ‘พันธลับ’ เพิ่มขึ้นไม่น้อย ซึ่งทั้งหมดได้รับมาจาก ‘สมาคมวิจัยลิงบาบูนขนหยิก’ แต่มิได้พุ่งเป้าไปหาเทพมารหรือองค์ซ่อนเร้นองค์ใด โดยจะอยู่ในรูปแบบของการประยุกต์ใช้ทั่วไป
เปลวไฟสีแดงฉานพวยพุ่งขึ้นมา แผดเผาจดหมายในมือลูเมี่ยนจนมอดไหม้
เด็กหนุ่มทิ้งตัวลงนอน แสร้งทำเป็นหลับ แต่ความจริงปล่อยให้ความคิดฟุ้งซ่านล่องลอยไป ไตร่ตรองถึงปัญหาในสมุดบันทึกเวทมนตร์ และสิ่งที่ต้องทำต่อไป
สำหรับเขาแล้ว หนึ่งในสิ่งสำคัญที่สุดช่วงนี้คือ ใกล้จะถึงกำหนดหนึ่งเดือนที่ ‘ศาสตร์การดูดวง’ เคยทำนายไว้แล้ว
หลวงพ่ออธิการโบสถ์ กิโยม·เบเนต์จะปรากฏตัวที่ใดสักแห่งในเขตเจ้าหญิงสีชาด
…………
เขตเนินเขา หน้าประตูอารามในหุบเขาลึก
ฟรังก้าแต่งกายด้วยชุดนักล่าเงินรางวัลขนานแท้ ลงทุนกระทั่งแปะหนวดจอนสองข้างเพื่อสวมรอยเป็นชาย เธอกดหมวกผ้าไหมกึ่งสูงบนศีรษะ และเอ่ยกับจินนาข้างๆ ด้วยความรู้สึกอ่อนอกอ่อนใจ
“ไม่มีเบาะแสอะไรเลยแฮะ”
จินนาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว เสื้อกั๊กสีน้ำตาล กางเกงขายาวสีเข้ม รองเท้าบูตหุ้มแข้งสีดำ สวมหมวกแก๊ปถักสีน้ำตาล ใบหน้ามิได้แต้มไฝดำ และไม่ได้แต่งหน้าสโมกกี้อาย เพียงแค่เติมดวงตา จมูก และปากเล็กน้อยเพื่อให้ดูธรรมดาๆ
เธอมองอาคารสีดำเหล็กที่มีโครงสร้างเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งประกอบจากเหล็กกล้าจำนวนมาก รวมถึงปล่องควันขนาดมหึมาที่ดูเหมือนหอคอยยอดแหลม
จินนาคิดมาสักพักแล้วว่า ที่นี่ดูไม่เหมือนอารามของศาสนจักรเทพจักรกลไอน้ำสักเท่าไร แต่คล้ายคลึงกับโรงงานมากกว่า
ขณะนี้ บรรดาปล่องควันกำลังพ่นควันสีขาว โดยมีเสียงคำรามของเครื่องจักรดังเป็นพื้นหลัง
“หลักๆ เป็นเพราะพวกนักบวชนั่นไม่ยอมติดต่อกับคนภายนอก…” จินนาตอบด้วยความละเหี่ยใจ
ตลอดสองสามวันที่ผ่านมา เธอกับนักล่าเงินรางวัลที่เหลือ รวมถึงนักสืบเอกชน ได้รับอนุญาตให้เข้าไปได้แค่ลานชั้นแรก และสอบถามได้แค่คนเฝ้าประตูคนใหม่และคนใช้อีกไม่มาก
พวกนักบวชที่ฝึกตนเพียงแค่ยื่นรายการ ‘คำให้การ’ ของบุคลากรที่เกี่ยวข้องเท่านั้น
ฟรังก้าถอนสายตากลับพลางพึมพำ
“คดีนี้คงไม่ง่าย ไม่งั้นพวกผู้วิเศษทางการคงไขปริศนาได้นานแล้ว”
“ในเมื่อหาเบาะแสจากในอารามไม่ได้ เราลองเดินดูรอบๆ กันดีกว่า”
“ตกลง” จินนายังขาดประสบการณ์ด้านการสืบข้อมูล เธอจึงอยู่ในขั้นตอนเลียนแบบและศึกษาจากฟรังก้า
ทั้งสอง ‘เดินเล่น’ รอบอารามกลางหุบเขา เป็นครั้งคราวก็เจอกับนักสืบคนอื่นๆ ที่ถูกเงินรางวัลก้อนโตดึงดูดมา
หลังจากเดินไปได้สักสิบห้านาที พวกเธอก็เห็นผาสูงที่มีร่องรอยการทรุดตัว รวมถึงร่องรอยต้นไม้งอกใหม่
ชายคนดังกล่าวกำลังอ่านหนังสือพิมพ์เก่า ซึ่งนำการ์ตูนตลกมาตีพิมพ์เป็นช่องๆ คอยส่งเสียงหัวเราะเป็นระยะ ตรงเอวมีกุญแจทองเหลืองพวงหนึ่งห้อยอยู่
“ข้างในคืออะไรหรือ?” ฟรังก้าเดินเข้าไปใกล้และจงใจถามเสียงแหบ
ชายวัยกลางคนที่แต่งตัวเรียบง่ายจนดูโทรม เงยศีรษะขึ้นมา จ้องหน้าฟรังก้าแล้วขมวดคิ้วเล็กๆ จนแทบมองไม่เห็น
สายตาของเขาเลื่อนไปหาจินนาอย่างรวดเร็ว สีหน้าคลายลงในทันที
“ที่นี่คือทางเข้าเหมืองหินในหุบเขาลึก”
“ผมเป็นคนเฝ้าประตู”
“ทำไมถึงมีประตู แล้วทำไมถึงต้องล็อก?” จินนาเคยเห็นเหมืองหินของจริงทางตอนใต้ของตลาดมาแล้ว
“ที่นี่ถูกทิ้งร้างแล้ว ข้างในอาจถล่มได้ทุกเมื่อ เราไม่อยากปล่อยให้พวกบ้าบิ่นเข้าไปผจญภัย” คนเฝ้าประตูเหมืองหินอธิบายพลางหัวเราะ
“เหมืองที่นี่ไม่ได้เชื่อมต่อกับใต้ดินทรีอาร์หรอกหรือ?” ฟรังก้าถามต่ออีกประโยค
คนเฝ้าประตูเหมืองส่ายหน้า
“ใกล้จะพังทลายไปหมดแล้ว จะไปเชื่อมกันได้ยังไง ผมกำลังจะตกงานอยู่แล้ว!”
พูดจบ เขาก็มองไปทางจินนาและยิ้มอย่างเอาใจ
“อยากรับงานพิเศษไหม เดี๋ยวผมจ่ายให้ แล้วมาทำกันสักครั้ง”
พวกคนทรีอาร์นี่นะ… ฟรังก้าส่ายหน้าพลางเดาะลิ้น
ส่วนจินนาก็ใช้สำนวนประจำตัวปฏิเสธอีกฝ่ายไป
…………
สองทุ่มตรง บ้านเลขที่ 11 ถนนน้ำพุ
ลูเมี่ยนถูกฟอสติโน พ่อบ้านของการ์ดเนอร์·มาร์ติน พาเดินผ่านสนามหญ้าและห้องโถง จนมาถึงห้องที่ปราศจากหน้าต่าง
ด้านในมีโต๊ะอาหารตั้งอยู่ แต่ภาพรวมของการจัดวางกลับดูไม่เหมือนห้องอาหารในคฤหาสน์ มันเรียบง่ายเกินไป ดูโล่งเกินไป
ลูเมี่ยนกวาดตาไปรอบห้อง แลเห็นว่าบนโต๊ะอาหารมีสิ่งของวางอยู่สามแถว แถวแรกเป็นภาชนะต่างๆ แถวที่สองเป็นแก้วและขวด แถวที่สามเป็นอาหารที่ปรุงเสร็จแล้ว รวมถึงเทียนไขที่ยังไม่ได้จุด
สิ่งของทั้งหมดถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบและสมมาตร ก่อให้เกิดเส้นขนานสามเส้น
……………………………………………….
.