ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 281 เงาสะท้อ
- Home
- All Mangas
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 281 เงาสะท้อ
ตอนที่ 281 เงาสะท้อน
เมื่อเห็นประตูไม้สีดำเกรียมและทรุดโทรมบรรจงเปิดออก ลูเมี่ยนรู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาทันที ราวกับถูกใครสาดน้ำแข็งใส่
ไม่ใช่ว่าเปิดประตูไม่ได้หรอกหรือ?
ข้อสันนิษฐานของเราผิดพลาด?
ถ้ามันเปิดประตูได้ ทำไมยังต้องเคาะนานขนาดนั้น พูดมากมายขนาดนั้น?
ทำไปเลยสิ! มีปัญหาทางสมองหรือไง?
แม้จะกลายเป็นนักวางเพลิง และเคยผ่านเหตุการณ์ใหญ่มาบ้างแล้ว แต่เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ตรงหน้า หัวใจของลูเมี่ยนยังคงเต้นตึกตักอย่างห้ามไม่อยู่ ราวกับรถไฟไอน้ำที่วิ่งบ้าคลั่งบนรางและหมอนรถไฟ
ถ้าไม่ติดว่าการ์ดเนอร์·มาร์ตินหรือคนของชุมนุมกางเขนเลือดเหล็กอาจแอบจับตามองอยู่ เขาคงจัดแท่นบูชาขึ้นทันที อัญเชิญผู้ส่งสารของมาดามเมจิกเชี่ยน หรือแม้แต่สวดวิงวอนถึงมิสเตอร์ฟูลโดยตรงเลยทีเดียว
โดยสัญชาตญาณ ลูเมี่ยนเตรียมจะรวบรวมพลังเพลิงสร้าง ‘เสื้อคลุม’ ขึ้นมารับมือกับสถานการณ์ แต่คำเตือนของเทอร์มีโพลอสเมื่อครู่ ก็ย้อนกลับมาในใจเด็กหนุ่มอีกครั้ง
“อย่าตอบสนอง”
นี่เป็นคนละสิ่งกับการไม่เปิดประตู!
ลูเมี่ยนเองก็รู้สึกว่าพฤติกรรมของสัตว์ประหลาดด้านนอก ซึ่งเคาะประตู ขู่เข็ญ และสุดท้ายก็เปิดประตูเข้ามาเอง ค่อนข้างน่ากังขาอยู่หลายส่วน จึงฝืนอดกลั้นต่อไปอย่างยากลำบาก นิ่งเงียบไม่ไหวติง เพียงจ้องมองบานประตูราวกับรูปปั้น
ประตูไม้สีดำเกรียมที่แทบจะพังอยู่รอมร่อ เปิดกว้างออกไปทุกที ช่องว่างสีดำสนิทเริ่มขยายจากเท่านิ้วมือ ไปจนพอดีให้คนเดินเข้าออก
แต่กลับไม่มีสิ่งใดอยู่หน้าประตูเลย ภายในห้องมืดสนิท ห่างไกลจากหน้าต่าง มีเพียงแสงจันทร์สีแดงที่สาดผ่านกระจกแตกของห้องเล็กๆ เข้ามา จึงพอมองเห็นเค้าโครงของซากปรักหักพังได้อย่างคลุมเครือ
ไหนล่ะตัวที่เคาะประตู? ความคิดแรกของลูเมี่ยนคือการเปิดเนตรวิญญาณ เผื่ออาจมีสัตว์ประหลาดที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่สุดท้ายก็หักห้ามใจตัวเองไว้ได้ ด้วยเกรงว่าการทำแบบนั้นจะเท่ากับเป็นการตอบสนอง
บานประตูไม้ที่แกว่งไปมา หยุดนิ่งอยู่กับที่ ไม่ไหวติง ส่วนความมืดลึกด้านนอกก็ไม่มีทั้งเงาคนเดินเข้ามา หรือความเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตใด เงียบสงัดจนถึงขีดสุด
ลูเมี่ยนนั่งนิ่งไม่ขยับ เพียงมองตรงออกไป รู้สึกว่าเรื่องนี้ช่างประหลาดเสียเหลือเกิน แม้แต่จะจุดไฟเผาศัตรู ก็ยังคลำหาเป้าหมายไม่เจอ
ความเงียบกลายเป็นท่วงทำนองหลักในตอนนี้ เวลาเหมือนจะหยุดนิ่งไปด้วย
ทันใดนั้น หยดน้ำก็ร่วงแหมะลงจากเพดาน กระทบพื้นตรงหน้าของลูเมี่ยน
เด็กหนุ่มเปลือกตากระตุกแผ่วเบา ก่อนจะมองเห็นของเหลวสีแดงฉูดฉาด คล้ายกับเลือด ผ่านแสงจันทร์สีแดงก่ำจากด้านนอกหน้าต่าง
ติ๋ง… ติ๋ง… เลือดสดทยอยหยดลงมา หยดแล้วหยดเล่า ย้อมพื้นส่วนใหญ่ให้กลายเป็นสีแดง
เพียงแค่ได้เห็นฉากตรงหน้า จิตใจของลูเมี่ยนเต็มไปด้วยความประหวั่นพรั่นพรึงแล้ว
ติ๋ง!
ของเหลวอีกหนึ่งหยดร่วงจากเพดาน ตกลงบนแก้มขวาของลูเมี่ยนพอดิบพอดี ทั้งเย็น หนืด และเรียบลื่น
มันไม่เหมือนเลือดสดของคนเป็น แต่สีก็ไม่ได้คล้ำขนาดนั้น
กลิ่นคาวเลือดฉุนกึกโชยเข้าจมูกของลูเมี่ยน ทำให้เขาอยากจะกลิ้งตัวไปด้านข้างตามสัญชาตญาณ ลุกขึ้นยืน และกระโดดออกนอกหน้าต่าง
“อย่าตอบสนอง” ประโยคของเทอร์มีโพลอสผุดขึ้นมาในความคิดอีกครั้ง
ลูเมี่ยนปรับลมหายใจเล็กน้อย ปล่อยให้ของเหลวเหนียวหนืดที่มีกลิ่นคาวเลือดฉุนกึกหยดลงบนใบหน้าและศีรษะของตัวเอง
ทีละเล็กละน้อย เด็กหนุ่มรู้สึกว่าร่างกายของตนหนักขึ้น จึงรีบพิจารณาสองมือที่เปลือยเปล่าอยู่นอกเสื้อผ้า
เลือดเย็นเหนียวก็หยดลงบนมือนั้นด้วย โดยแผ่ขยายออกไปอย่างเงียบงัน เชื่อมต่อกันเป็นผืนเดียว ราวกับสวมถุงมือสีเลือดให้ลูเมี่ยน
เขาเชื่อมโยงภาพดังกล่าวกับส่วนอื่นของร่างกาย เชื่อว่าตนกำลังถูกห่อหุ้มด้วยเมือกเลือดชั้นหนึ่ง จึงรู้สึกหนักและอึดอัดกว่าในตอนแรก
เด็กหนุ่มคิดจะนำมือที่เริ่มเฉื่อยชาสอดเข้ากระเป๋าเสื้อ หยิบนิ้วของมิสเตอร์ K ออกมา เพื่อให้ผู้แจ้งสารแห่ง ‘ชุมนุมแสงเหนือ’ ซึ่งถนัดเวทโลหิตเป็นพิเศษ มาต่อกรกับเยื่อเมือกเลือดประหลาดนี้
“อย่าตอบสนอง” คราวนี้มิใช่ลูเมี่ยนระลึกถึงคำเตือนของเทอร์มีโพลอส แต่เสียงอันน่าเกรงขามของเทวทูตแห่งชะตากรรม ดังสะท้อนก้องอีกครั้ง
ลูเมี่ยนยับยั้งชั่งใจไว้ได้อีกครั้ง ปล่อยให้ร่างกายหนักขึ้นทีละนิด การหายใจเริ่มติดขัด
ไม่นานนัก เด็กหนุ่มรู้สึกว่าเมือกเลือดประหลาดนั่นกำลังซึมผ่านผิวหนัง พยายามจะแทรกเข้าไปข้างใน
พวกมันทำตัวราวกับมีชีวิตจิตใจ เชื่องช้าแต่แน่วแน่ แทรกซึมเข้าไปในร่างของลูเมี่ยน ค่อยๆ ‘ท่วม’ เขาจากภายนอกจนถึงภายใน
เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนถูกรุกรานไปถึงสมอง ความคิดสับสนอลหม่าน บ่มเพาะแนวโน้มความรุนแรงอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
เขาอยากฆ่าคน อยากเผาบริเวณนี้ให้เกลี้ยง อยากจุดไฟเผาทรีอาร์ อยากทำลายล้างโลกทั้งใบ!
บัดซบ! หรือว่าเทอร์มีโพลอสฉวยโอกาสนี้หลอกเรา? คิดจะอาศัยพลังประหลาดภายในนี้ควบคุมเรา เพื่อให้ตัวเองหลุดพ้นจากผนึก? ลูเมี่ยนเริ่มสงสัยเจตนาแฝงของคำพูด ‘อย่าตอบสนอง’ ที่เทวทูตแห่งชะตากรรมพร่ำเตือน
เด็กหนุ่มตัดสินใจเลิกอดกลั้น เตรียมขัดขืนต่อต้าน มองหาโอกาสหนีออกจากซากตึกไหม้เกรียมหลังนี้
แต่อีกใจหนึ่งก็ยังเชื่อว่า พฤติกรรมของ ‘ความผิดปกติ’ ที่ต้องเคาะประตู ต้องพูด ต้องได้รับอนุญาตก่อนนั้น มีความหมายในเชิงศาสตร์เร้นลับ
หากไม่แล้ว เขาจะยอมเชื่อเทอร์มีโพลอส เทวทูตแห่งชะตากรรมผู้เป็นศัตรูมิใช่มิตรได้อย่างสนิทใจ และอดทนมาจนถึงตอนนี้ได้อย่างไร?
ท่ามกลางกระแสความคิดที่หมุนวน ลูเมี่ยนยังคงรักษาความสงบนิ่งเอาไว้ ตั้งใจจะรอดูต่ออีกสักหน่อย ว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงใดบ้าง
ยิ่งนานเข้าหัวของเด็กหนุ่มก็ยิ่งหนักอึ้ง ความคิดทวีความสับสน เสียงเลื่อยที่ทำให้ฟันสั่นดังระงมอยู่ข้างหู ร่างกายรับรู้ถึงความเจ็บปวดที่เหมือนมาจากที่ห่างไกล
ราวกับมีใครบางคนทำให้เขากึ่งหมดสติ แล้วฉวยโอกาสตัดแขนขาออกไป แยกส่วนร่างกายของเขา
ทันใดนั้น จิตของลูเมี่ยนก็หลุดออกจากร่าง
ดุจดังวิญญาณที่แยกออกจากร่าง เห็นตัวเองกำลังนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง เต็มไปด้วยเลือด ดวงตาว่างเปล่าผิดปกติ
และที่ด้านหน้าของเขา ร่างดำเกรียมร่างหนึ่งกำลังย่อตัว ถือขวานอาบเลือด คอยสับต้นขาของลูเมี่ยนอย่างต่อเนื่อง ผ่ากระดูกสีขาวออกเป็นสองท่อน
อ๊ะ… ลูเมี่ยนเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติ
เด็กหนุ่มก้มหน้าลงตามสัญชาตญาณ แลเห็นร่างของตนยังครบถ้วนสมบูรณ์ดี!
เขายังคงนั่งอยู่ริมหน้าต่างแตกๆ ในห้องเล็ก เพียงแต่สิ่งที่เห็นเบื้องหน้ามิใช่ประตูไม้สีดำเกรียมที่ใกล้พังรอมร่อ แต่เป็น ‘เงาสะท้อน’ ของสภาพแวดล้อม โดยมีตัวเขากำลังถูกร่างเกรียมๆ นั่นหั่นเป็นชิ้นๆ
เมื่อเทียบกับสองขาที่ถูกตัดขาด และกระดูกขาวที่โผล่ออกมา สิ่งที่ลูเมี่ยนประทับใจที่สุดกลับเป็นดวงตาอันว่างเปล่าไร้ชีวิตชีวาของตัวเอง
หลังจากตะลึงงันอยู่พักหนึ่ง ภาพอันน่าพรั่นพรึงชวนสยองก็อันตรธานหายไป ประตูไม้ผุพังที่เปิดอ้ากลับปรากฏเข้ามาในสายตาของลูเมี่ยนอีกครั้ง
เด็กหนุ่มตระหนักรู้ชัดเจนว่าสิ่งที่ตนเพิ่งเห็นมิใช่ภาพหลอน เพราะตอนนี้กำลังรู้สึกเหมือนได้หลุดพ้นจากเมือกเลือดที่ห่อหุ้มร่างกาย รูขุมขนโล่งสบายไปทุกส่วน
ถ้าเราอดทนไม่ไหว ทำการตอบสนองกลับไป จะเกิดอะไรขึ้นบ้างนะ? สิ่งที่เราเห็นในภาพสยดสยองนั่นจะกลายเป็นจริง? การตอบสนองคือการเชื่อมโยงทางศาสตร์เร้นลับ ทำให้ประสบการณ์ชวนขนหัวลุกนั่นเกิดขึ้นจริง? ลูเมี่ยนปล่อยลมหายใจทีละนิดด้วยอาการหวาดหวั่น
เด็กหนุ่มยกมือทาบหน้าอกซ้าย กดเสียงต่ำ หัวเราะแผ่วเบา
“เทอร์มีโพลอส ก็ไม่เลวเหมือนกันนี่”
สมแล้วที่เป็นเทวทูต แม้จะถูกผนึกอยู่ ก็ยังเห็นแก่นแท้ของความผิดปกติในรอบตัวได้ง่ายๆ
เสียงของเทอร์มีโพลอสดังขึ้น ทับซ้อนกันหลายชั้น
“ความผิดปกติที่นี่ถือว่าเล็กน้อย”
“นี่เรียกว่าเล็กน้อย?” ลูเมี่ยนไม่เห็นด้วย “ถ้าไม่ใช่เพราะแกเตือนฉันไม่ให้ตอบสนอง และทางนี้ก็มั่นคงมากพอ เมื่อครู่คงได้เกิดเรื่องเลวร้ายไปแล้ว… การ์ดเนอร์·มาร์ติน ไอ้ลูกหมูตัวนี้คิดจะฆ่าฉันจริงๆ!”
เทอร์มีโพลอสตอบกลับด้วยเสียงกังวาน
“ไม่ถึงตาย”
“ความผิดปกติเมื่อสักครู่เพียงแค่จะปรับเปลี่ยนเจ้า ทำให้เจ้าเกิดการเบี่ยงเบนทางความคิด กลายเป็นคนคลั่งไคล้บางสิ่งบางอย่าง แต่อุปนิสัย รูปแบบความคิด และการรับรู้ตัวตนยังคงเหมือนเดิม ส่งผลให้เกิดการต่อต้านและปฏิเสธความคิดบางส่วน”
ลูเมี่ยนลองไตร่ตรองประโยค พบว่าเข้าใจได้ค่อนข้างยาก
เทอร์มีโพลอสช่วยเสริม
“นั่นจะเท่ากับว่า เจ้าถูกครอบงำแล้ว ทั้งร่างกายและจิตใจ”
ลูเมี่ยนเข้าใจทันที กดเสียงต่ำลงแล้วพูด
“การ์ดเนอร์·มาร์ตินสั่งให้ฉันมาค้างคืน เพราะคิดจะอาศัยความผิดปกติภายในนี้ครอบงำฉัน เพื่อกำจัดภัยซ่อนเร้นทั้งหมด?”
ถึงต้องมาคาบาเร่ต์ลมเอื่อยในยามดึก โดยแทบไม่เปิดโอกาสให้เราได้คิดเลย!
“เพิ่งรู้หรือว่าตัวเองตื้นเขินเพียงใด?” เทอร์มีโพลอสใช้คำแดกดันช่วยยืนยันข้อสันนิษฐานของลูเมี่ยน
ลูเมี่ยนสบถคำหยาบเสียงเบาหนึ่งคำ แล้วพูดกับตัวเอง
“ต่อให้ทำสำเร็จ สิ่งที่ครอบงำฉันก็คือความผิดปกติภายในนี้ มิใช่การ์ดเนอร์·มาร์ตินสักหน่อย เขาไม่กลัวจะเกิดปัญหาหรอกหรือ?”
“หรือว่าความผิดปกติในนี้จะเกี่ยวข้องกับ ‘ชุมนุมกางเขนเลือดเหล็ก’ ก็เลยไม่กังวล?”
คิดได้ดังนั้น ลูเมี่ยนก็ขมวดคิ้ว ถามเทอร์มีโพลอสว่า
“ในเมื่อฉันไม่ได้ถูกครอบงำ ไม่ได้ถูกปรับเปลี่ยนตัวตน งั้นถ้าฉันออกไปในตอนเช้า การ์ดเนอร์·มาร์ตินจะไม่สังเกตเห็นจนเกิดความสงสัยเอาหรือ?”
เทอร์มีโพลอสพูดด้วยน้ำเสียงน่าเกรงขาม
“ถ้าการมีมลทินระดับนี้ถูกสังเกตเห็นได้ง่ายนัก การ์ดเนอร์·มาร์ตินกับพวกพ้องคงถูกผู้วิเศษทางการเก็บกวาดไปนานแล้ว”
“เว้นเสียแต่ว่า ต้นตอของการมีมลทินจะกระซิบบอกโดยตรง ไม่อย่างนั้น พวกมันคงดูไม่ออกหรอกว่าเจ้ามิได้ถูกปนเปื้อน”
หืม… ลูเมี่ยนคิดตามคำพูด และพบว่าสองประโยคเมื่อสักครู่ของเทอร์มีโพลอส ซ่อนข้อเท็จจริงบางอย่างไว้
การ์ดเนอร์·มาร์ตินกับคนใกล้ตัวเขาใน ‘ชุมนุมกางเขนเลือดเหล็ก’ ถูกมลทินคล้ายๆ กันปนเปื้อนมาตั้งนานแล้ว!
พวกเขาทุกคนถูกใครบางคนควบคุมอยู่!
ฮึ่ย… ยิ่งลูเมี่ยนคิด ก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้น่ากลัวเอาเรื่อง
เว้นช่วงไปสองสามวินาที เด็กหนุ่มถามเทอร์มีโพลอสอีกครั้งด้วยทัศนคติที่ว่า ‘ถ้ามีโอกาสก็ควรกอบโกยขนแกะให้ได้มากที่สุด’
“หลังจากกลับไปพบการ์ดเนอร์·มาร์ติน ฉันควรแสดงความคลั่งไคล้ในเรื่องใด และปฏิเสธความคิดแบบไหน?”
“คลั่งไคล้สงครามและความวุ่นวาย ปฏิเสธความเชื่อในเทพองค์อื่น” เทอร์มีโพลอสให้คำตอบอย่างว่าง่าย
ลูเมี่ยนพยักหน้า แล้วก็นึกถึงอีกคำถาม
“อ้างอิงจากที่ได้สัมผัสมากับตัว ความผิดปกติภายในนี้ทรงพลังอย่างมาก… คนที่เข้ามานอนหลบฝน หรืออาศัยอยู่สักพักหนึ่ง ก็คงถูกปนเปื้อนไปหมดแล้วสินะ?”
“มีเพียงสองเส้นทางพิเศษเท่านั้นที่จะกระตุ้นความผิดปกติในนี้ได้อย่าง ‘แน่นอน’ นอกเหนือจากนั้น ทุกคนจะต้องทำสิ่งที่เจาะจงในเวลาที่เจาะจง จึงจะได้เผชิญกับมัน ทางการรับรู้เพียงอย่างหลัง จึงแอบขัดขวางมิให้ผู้คนเข้ามาในตึกตามช่วงเวลาที่กำหนด” เทอร์มีโพลอสตอบด้วยน้ำเสียงดังเดิม
“สองเส้นทางพิเศษ… ‘นักล่า’ กับ ‘นางมาร’ สินะ?” ลูเมี่ยนพอจะเดาได้
เทอร์มีโพลอสไม่ปฏิเสธ
ลูเมี่ยนทบทวนเรื่องราวทั้งหมดในหัวอีกรอบ ก่อนจะหัวเราะแล้วพูด
“เทอร์มีโพลอส แกคงจะเข้าใจสถานการณ์ของตัวเองแล้วสินะ วางตัวได้ดีมาก”
เสียงก้องกังวานของเทอร์มีโพลอสหายไปแล้ว หลงเหลืออยู่เพียงความเงียบงัน
ในอีกสองสามชั่วโมงถัดมา ลูเมี่ยนเผชิญกับความผิดปกติอีกสองหน ครั้งหนึ่งคอหัก อีกครั้งร่างกายระเบิดจากภายใน เครื่องในกระเด็นกระจายไปทั่ว
อาศัยประโยค ‘อย่าตอบสนอง’ เด็กหนุ่มกัดฟันผ่านพ้นไปได้ทั้งหมด ความคิดกลับคืนสู่ร่างเนื้อโดยไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง
ในท้ายที่สุด ขอบฟ้าก็เริ่มฉายแสงสีทองอมแดง ดวงอาทิตย์บรรจงยกตัวขึ้นมา
ลูเมี่ยนลุกขึ้นยืนอย่างไม่รีบร้อน อาบแสงอรุณสองสามวินาที เดินออกจากถนนใหญ่ตลาดบ้านเลขที่ 13 ทีละก้าว
จากนั้น เด็กหนุ่มก็เห็นการ์ดเนอร์·มาร์ตินนั่งอยู่บนรถม้าฝั่งตรงข้าม สายตาของทั้งสองประสานกัน
วินาทีถัดมา การ์ดเนอร์·มาร์ตินยิ้ม
ลูเมี่ยนเองก็ยิ้ม
…………………………………………………….
.