ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 276 ซูซี่ไปไม่เป็น
- Home
- All Mangas
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 276 ซูซี่ไปไม่เป็น
ตอนที่ 276 ซูซี่ไปไม่เป็น
จินนาไม่รู้ว่าควรตอบสนองคำด่าทอของฟรังก้าอย่างไร เนื่องจากเธอไม่มีประสบการณ์ด้านความรัก และไม่เข้าใจภาพรวมของสถานการณ์
ลูเมี่ยนเข้าใจดีว่าฟรังก้าโกรธและผิดหวังในเรื่องใด:
เราทุกคนมาที่นี่เพื่อแฝงตัวเข้า ‘ชุมนุมกางเขนเลือดเหล็ก’ แล้วทำไมนายถึงถูกทดสอบภายในเวลาเพียงหนึ่งเดือนกว่า? ส่วนตัวแม่อย่างเรา ไม่สิ ตัวพ่ออย่างเรามาอยู่ได้เกือบปีแล้ว ยังขาดก็แต่การคลอดลูกให้การ์ดเนอร์·มาร์ตินสักคน กลับไม่มีความคืบหน้าใดเลย!
นี่ทำให้ฉันดูเหมือนคนล้มเหลว!
หลังจากจำลองสภาพความคิดของฟรังก้า โดยใช้คำศัพท์และน้ำเสียงของเธอในใจ ลูเมี่ยนตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจัง
“นี่อาจไม่ใช่โอกาส แต่เป็นอันตราย”
“การตัดสินใจ ‘ทดสอบ’ ผมในเวลาอันสั้นเพียงเท่านี้ แสดงให้เห็นว่าบอสมีแนวโน้มจะหลอกใช้ผมมากกว่า โดยมองเป็นเพียงหมากที่ใช้แล้วทิ้ง… อา… หรือบางที เส้นทางเหนือธรรมชาติของผมอาจเข้าทางพอดี เหมาะแก่การนำไปใช้ในอนาคตอันใกล้”
จินนามองว่าคำอธิบายนี้สมเหตุสมผล จึงรีบปลอบใจฟรังก้าสองสามประโยค
“ที่บอสไม่ ‘ทดสอบ’ เธอ อาจเป็นเพราะเขาชอบเธอ ไม่อยากให้เธอต้องพัวพันกับอันตราย”
“…” สีหน้าของฟรังก้ากลายเป็นแปลกประหลาด “แบบนี้มันไม่ถูก……”
เธอกำลังรู้สึกผิดที่หลอกลวงความรู้สึกของคนอื่น
ย้อนกลับไปตอนที่มาดามจัดจ์เมนต์มอบหมายภารกิจให้เธอแฝงตัวเข้าพรรคซาฟาห์ เพื่อรอโอกาสเข้าร่วม ‘ชุมนุมกางเขนเลือดเหล็ก’ ท่านยังเน้นย้ำเป็นพิเศษว่า เธอไม่จำเป็นต้องเสียสละตัวเองหรือยั่วยวนเป้าหมาย ‘ชุมนุมทาโรต์’ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพรรค์นั้น ต่อมาเธอเป็น ‘แม่มด’ มานาน อยากลองลิ้มรสชาติของผู้ชายบ้าง และการ์ดเนอร์·มาร์ตินก็บังเอิญสนใจเธอพอดี ทั้งสองจึงกลายเป็นคู่นอนกัน
ในสายตาฟรังก้า นี่คือความสัมพันธ์ที่มีการขีดเส้นแบ่งชัดเจน แลกเปลี่ยนเฉพาะความสุข โดยไม่เกี่ยวข้องกับปัจจัยด้านความรู้สึก ไม่มีฝ่ายใดคาดหวังจากฝ่ายใด เมื่อภารกิจเสร็จสิ้น ทั้งคู่จะแยกจากกันโดยไม่อาลัยอาวรณ์ ต่างคนต่างใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
แต่แน่นอน ตอนนั้น ‘ชุมนุมกางเขนเลือดเหล็ก’ อาจถูกโจมตีแล้ว การ์ดเนอร์·มาร์ตินจะสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้หรือไม่ ยังเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน
สองสามวินาทีให้หลัง ฟรังก้า ‘พ่น’ คำออกมา:
“เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้!”
“หมอนั่นยึดถือเพศชายเป็นใหญ่ เหยียดหยามผู้หญิง ที่มันไม่เลือก ‘ทดสอบ’ ฉัน เพราะเชื่อว่าผู้หญิงคนหนึ่ง ขอแค่คุมพวกหางเครื่องให้ดี แข็งแกร่งพอที่จะปกป้องตัวเองได้ ผ่านไปสักพักก็คลอดลูกสักคน แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นและไม่มีสิทธิ์ได้เข้าร่วมในแกนหลัก!”
“บัดซบ! นี่ฉันกำลังจะล้มเหลวเพราะเพศสภาพ?”
สิ่งที่เธอไม่ยอมรับก็คือ ภารกิจสายลับมีแนวโน้มที่จะล้มเหลวมากกว่า เนื่องจากตัวเธอเป็นฝ่ายอยากลิ้มลอง และอยากถลำลึกเข้าไปหาการ์ดเนอร์·มาร์ติน
พวกเบี้ยหมากน่ะ ไม่ว่าจะชายหรือหญิงก็ไม่สำคัญ!
ของใช้แล้วทิ้งขององค์กรลับก็เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงก็ไม่สำคัญ!
จินนากับลูเมี่ยนสบตากันเล็กน้อย ยักปากเบาๆ แล้วหันไปมองฟรังก้า ถามด้วยความสงสัยเล็กๆ
“ทำไมคุณถึงมั่นใจว่าภารกิจนี้เป็นการทดสอบ?”
สองสัตว์ประหลาดนั่น ชัดเจนว่าน่ากลัวและอันตรายมาก!
จินนาไม่เคยคิดว่าตัวเองสมองทึบอย่างที่ลูเมี่ยนล้อเลียน แต่ก็ตระหนักดีว่า ตัวเองยังขาดประสบการณ์ด้านศาสตร์เร้นลับและการคำนวณวางแผน จึงอยากเรียนรู้เพิ่มเติมโดยไม่รู้ตัว
ฟรังก้ายิ้มอีกครั้ง พูดอย่างภาคภูมิใจ
“ฉันอนุมานโดยอ้างอิงจาก ‘กระบวนการ’ และ ‘ผลลัพธ์’”
“พวกเธอลองคิดดูให้ดี ในภารกิจนี้น่ะ มีขั้นตอนไหนที่จำเป็นต้องให้ชาร์ล ซิมงต์ และคริสโตเข้าร่วม?”
“สุ่มหาสมาชิกแกนหลักมาสักสองสามคนที่เข้าใจภาพรวม จดจำประเด็นสำคัญให้ดี แล้วทำตามขั้นตอนอย่างเคร่งครัด ก็สามารถหลบหนีจากสองสัตว์ประหลาดนั่นและนำกล่องกลับมาได้อย่างราบรื่นปลอดภัย แถมยังไม่เสี่ยงความลับรั่วไหลหรือเสียเวลาเน้นย้ำเพิ่มเติม”
“ไม่ว่าความมืดรอบด้านจะซุกซ่อนอันตรายไว้หรือไม่ แต่ในเมื่อคราวนี้มันไม่ได้ปะทุ นั่นแสดงว่าพวกเขามีวิธีหรือบุคลากรที่รับมือกับพวกมันได้ดี ถึงจะส่งคนอื่นไปแทนก็ยังทำงานให้เสร็จลุล่วงได้เหมือนกัน”
จินนาคิดตามการวิเคราะห์ของฟรังก้าอย่างเอาจริงเอาจังครู่หนึ่ง แล้วชื่นชมด้วยความนับถือ
“จริงด้วย…”
“บัดซบ! ทำไมทีแรกฉันถึงคิดไม่ออก?”
เมื่อได้ยินทั้งสองประโยค ฟรังก้าแอบสบตากับลูเมี่ยน ทั้งภูมิใจและโล่งอก
การที่พูดคำหยาบได้ แสดงว่าอารมณ์ของจินนาเริ่มดีขึ้นทีละนิดแล้ว!
ลูเมี่ยนเองก็คิดแบบเดียวกัน จึงมั่นใจว่าบอสกำลัง ‘ทดสอบ’ ตนอยู่
กล่าวอีกนัยหนึ่ง กระทั่งตอนนี้ก็อาจมี ‘ผู้สังเกตการณ์’ บางคนอยู่รอบตัวเขา
หลังจากไตร่ตรองสักพัก ลูเมี่ยนถามฟรังก้า
“สองสัตว์ประหลาดนั่น คุณรู้ไหมว่ามันคือตัวอะไร?”
ในเมื่อพวกมันเตร็ดเตร่ใต้ดิน ก็น่าสงสัยว่าอาจเกี่ยวพันกับทรีอาร์ยุคสมัยที่สี่ ซึ่งในอนาคต ลูเมี่ยนอาจต้องถือแร่ ‘เลือดธรณี’ ลงไปเดินเล่นใต้ดินสักสองสามหน การศึกษาข้อมูลสัตว์ประหลาดสยองขวัญที่อาจพานพบเตรียมไว้ล่วงหน้า จะช่วยให้เขารับมือได้ดียิ่งขึ้น
ฟรังก้าทำหน้าครุ่นคิด
หลังจากผ่านไปสักพัก เธอพูดด้วยสีหน้าไม่มั่นใจ
“ฉันกับพวกเพื่อนของฉันไม่เคยเจอสัตว์ประหลาดทำนองนี้มาก่อน แต่เคยได้ยินตำนานบางเรื่องในทะเล”
“ในทะเลโซเนียมีท่าเรือที่ชื่อแบนชี เคยปรากฏศีรษะบินที่ลากกระดูกสันหลัง รวมถึงสัตว์ประหลาดร่างคนไร้เศียร ซึ่งคล้ายกับที่คุณบรรยายมาก แต่ปัจจุบันท่าเรือถูกทิ้งร้างไปแล้ว คาดว่าถูกทำลายโดยขุมพลังระดับสูง”
แบนชี? ลูเมี่ยนไม่แปลกใจกับคำนี้เลย
มาดามเมจิกเชี่ยนเคยใช้คำนี้เพื่ออธิบายบทสรุปที่อาจเกิดกับหมู่บ้านกอร์ตู นั่นคือ หลังจากได้รับมลทินอย่างท่วมท้น ก็จะถูกทำลายโดยกองทัพของศาสนจักรทันที ลูเมี่ยนจึงยังจำขึ้นใจจวบจนปัจจุบัน
หลังจากพูดคุยกันอีกสักพัก เด็กหนุ่มพาจินนาที่เปลี่ยนไปสวมกระโปรงสั้นฟูสีครีมอ่อน แปลงโฉมเป็น ‘นางพญา’ กลับไปยังคาบาเร่ต์ลมเอื่อย
เมื่อตกดึก หลังจากกลับมาถึงห้อง 207 ของโรงแรมระกาทอง ลูเมี่ยนปิดผ้าม่าน คลี่กระดาษจดหมาย เขียนเรื่องราวที่ประสบพบเจอในวันนี้ เขียนความคิดของตนและการวิเคราะห์ของฟรังก้าลงไปอย่างรวบรัด เตรียมส่งให้มาดามเมจิกเชี่ยน
ในไม่ช้า เขาก็จัดแท่นบูชา สร้างกำแพงวิญญาณ อัญเชิญผู้ส่งสาร ‘ตุ๊กตา’ ที่สูงเท่าแขนออกมา
ท่ามกลางแสงเทียนสีฟ้าอมเขียว ลูเมี่ยนมองสิ่งมีชีวิตโลกวิญญาณที่สวมชุดกระโปรงยาวสีทองอ่อน ผิวซีดขาว ดวงตาสีฟ้าอ่อน ผมบลอนด์บริสุทธิ์ แล้วพลันผุดข้อสงสัยขึ้นมา จึงถามด้วยใบหน้าครุ่นคิด
“มีคนกำลังสอดแนมผมอยู่ใกล้ๆ ไหม?”
ผู้ส่งสาร ‘ตุ๊กตา’ พูดด้วยน้ำเสียงล่องลอยพร่ามัว
“มี”
นั่นปะไร… ลูเมี่ยนไม่แปลกใจสักเท่าไร จึงถามต่อ
“เขาหรือพวกเขาตระหนักได้ไหมว่าผมกำลังอัญเชิญคุณ?”
ดวงตาของผู้ส่งสาร ‘ตุ๊กตา’ ขยับเล็กน้อย ตอบอย่างดูแคลนว่า
“พวกเขาไม่คู่ควร”
ลูเมี่ยนถอนหายใจ ขอบคุณท่านผู้ส่งสารสองสามประโยค มองส่งอีกฝ่ายหายไปในแสงเทียนพร้อมกับจดหมาย
ไม่นานนัก จดหมายตอบกลับที่พับเรียบร้อย ก็ปรากฏบนโต๊ะหนังสือในห้อง 207
ลูเมี่ยนเปิดอย่างคล่องแคล่วและเริ่มอ่าน
“การถูกรับเลือกให้ ‘ทดสอบ’ เร็วขนาดนี้ แน่นอนว่าไม่ใช่ข่าวดี”
“หลังจากนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้เป็นสมาชิกแกนหลักแล้ว เธอต้องระมัดระวังให้มากขึ้น หากได้รับมอบหมายภารกิจ และเธอรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ง่าย แม้แต่มิสเตอร์ K ก็อาจรับมือไม่ไหว ก็ให้หาโอกาสอัญเชิญผู้ส่งสารของฉัน แจ้งให้ฉันทราบสักคำ”
“สองสัตว์ประหลาดที่เธอพบเจอมา คล้ายคลึงกับพวกที่แบนชีมาก แต่ก็ยังแตกต่างกันพอสมควร พวกมันดูเหมือนจะยังหลงเหลือจิตสำนึกอยู่”
“พวกมันมีพลังวิเศษและจุดเด่นแบบใดบ้างนั้น เนื่องจากท่าเรือแบนชีถูกทำลายไปแล้ว ฉันจึงไม่สามารถรวบรวมข้อมูลให้เธอได้”
“สำหรับคำพูดของส่วนหัว ส่วนใหญ่คงเป็นความจริง แต่สิ่งที่มันไม่ได้พูดคือ มันกับร่างกายที่หายไปหลายเดือน น่าจะเข้าไปในทรีอาร์ยุคสมัยที่สี่มาแล้ว”
“มีความเป็นไปได้สูงที่พวกมันจะได้ครอบครองทางเข้าทรีอาร์ยุคสมัยที่สี่ เธอต้องใส่ใจกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ”
“แล้วก็… ลำดับถัดจาก ‘ภิกษุบิณฑบาต’ คือ ‘ผู้ถือพันธสัญญา’ ซึ่งต้องทำสัญญากับสิ่งมีชีวิตที่แตกต่างกัน เพื่อให้ได้รับหนึ่งในพลังของพวกมันมาครอง เมื่อถึงเวลา เธอไม่ต้องรีบเลือก เขียนจดหมายบอกฉันว่าได้รับพรมาแล้ว ทางนี้จะส่งข้อมูลสัตว์โลกวิญญาณกองใหญ่ให้เธอไปเลือกเอาเอง ฉันศึกษาค้นคว้าในประเด็นนี้มาพอสมควร รวมถึงจะมอบหนังสือ ‘รอบรู้โลกวิญญาณ’ ให้เธออีกเล่ม”
มาดามเมจิกเชี่ยนค้นคว้าโลกวิญญาณอย่างลึกซึ้งอยู่พอดี? ลูเมี่ยนค่อนข้างดีใจ ยิ้มพลางขยำกระดาษจดหมาย มองมันหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเปลวไฟสีแดงฉาน
…………
วันอาทิตย์ตอนเที่ยง หลังจากที่ลูเมี่ยนกินอิ่มแล้ว ก็นั่งรถม้าโดยสารมาถึงสวนพฤกษศาสตร์ทรีอาร์ ซื้อตั๋วเข้าชมและเริ่มเดินเล่น
เด็กหนุ่มได้เห็นพืชพรรณมากมายที่แต่เดิมเคยอ่านเจอแค่ในหนังสือ หนังสือพิมพ์ และนิตยสาร รวมถึงต้นดอนนิงส์แมน ซึ่งถูกชาวอินทิสเย้ยหยันว่าเป็น ‘ต้นไม้ประจำชาติโลเอ็น’
ต้นไม้ชนิดนี้เดิมขึ้นอยู่ในป่าฝนทางทวีปใต้ กล่าวกันว่าน้ำยางของมันช่วยให้เส้นขนเจริญงอกงาม ซึ่งสำหรับชาวโลเอ็นส่วนใหญ่ที่ปริมาณผมไม่ค่อยดีนัก สิ่งนี้นับว่าล่อตาล่อใจอย่างยิ่ง
ใกล้บ่ายสามครึ่ง ลูเมี่ยนเข้าไปในร้านกาแฟเมสัน นั่งตรงบูธ D สั่งกาแฟเอสเปรสโซรสรีมูหนึ่งแก้ว แล้วรอคอยการมาถึงของมาดามซูซี่ นักจิตบำบัด
ในไม่ช้า เด็กหนุ่มก็ได้ยินเสียงของหญิงสาวที่อ่อนโยนและคุ้นเคย
“ทิวาสวัสดิ์ค่ะ มิสเตอร์ลูเมี่ยน·ลี”
ลูเมี่ยนมิได้หันหลังกลับ พิงพนักโซฟาและพูดพลางยิ้ม
“ทิวาสวัสดิ์ครับ มาดามซูซี่”
ซูซี่พูดด้วยน้ำเสียงเจือความประหลาดใจ
“สภาพจิตใจของคุณ ดีกว่าที่ฉันคาดไว้อีกนะคะ”
ลูเมี่ยนยิ้มขม
“บางที อาจเป็นเพราะหลังการบำบัดคราวก่อน ผมได้ลิ้มรสประสบการณ์มากมาย จึงเริ่มค้นพบความแข็งแกร่งจากภายใน”
“เข้าทำนองว่า สิ่งใดไม่อาจทำลายผม จะทำให้ผมแข็งแกร่งขึ้น”
“ฉันอยากฟังว่าคุณพบเจอสิ่งใดมาบ้าง ไม่ทราบว่ายินดีแบ่งปันหรือไม่คะ?” ซูซี่ถามด้วยน้ำเสียงชวนคุย
ลูเมี่ยนไตร่ตรองสักพัก มองตรงไปข้างหน้า พึมพำถามกลับเสียงเบาประหนึ่งพูดกับตัวเอง
“พวกคุณอยู่ในองค์กรเดียวกับมาดามเมจิกเชี่ยนใช่ไหม?”
“ใช่ค่ะ” ซูซี่ตอบยืนยัน
ลูเมี่ยนผ่อนคลายลง พิงพนักโซฟา ดื่มกาแฟเอสเปรสโซ พลางเล่าประสบการณ์ของตัวเอง
เขาเริ่มเล่าตั้งแต่จับตัวลูอิส·ลุนด์ จนถึงฆ่าซูซานน่า·มาติส ช่วยเหลือผู้คนส่วนใหญ่ที่ถูกดึงเข้าไปใน ‘โลกอีกฝั่ง’ และปิดท้ายว่า
“หลังจากวันนั้น สภาพจิตใจของผมก็ดีขึ้นมาก ยังกับว่าเปลวไฟก้อนนั้น ยังคงลุกโชนอยู่ในใจผม”
ซูซี่ตอบสนองอย่างอ่อนโยน
“บางครั้ง ประสบการณ์ชีวิตก็เป็นนักจิตบำบัดที่ดีกว่า มันจะช่วยกระตุ้นพลังในตัวคุณ ทำให้อาการของคุณดีขึ้น แต่มีเงื่อนไขว่าคุณต้องเป็นคนยืดหยุ่นพอสมควร ต้องมีอุปนิสัยที่เหมาะสม ไม่อย่างนั้นก็จะลื่นไถลลงสู่ความล้มเหลว ความสิ้นหวัง การโทษตัวเอง และหุบเหวแห่งการละทิ้งตัวตน”
“จนกระทั่งถูกฉวยโอกาสโดยเทวทูตที่ถูกผนึกในร่างกายคุณ”
พูดถึงตรงนี้ อารมณ์ของซูซี่ค่อนข้างซับซ้อน เสริมด้วยความรู้สึกหดหู่บางเบา
“การที่คุณดีขึ้นจากเดิมมาก ทำให้แผนการบำบัดที่ฉันเตรียมไว้สำหรับวันนี้ใช้การไม่ได้แล้ว”
……………………………………………….
.