ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 274 หนี
ตอนที่ 274 หนี
‘ชุมนุมกางเขนเลือดเหล็ก’ กำลังมองหาทางเข้าทรีอาร์ยุคสมัยที่สี่อยู่? คนคนนี้หายตัวไปหลายเดือนแล้ว เพิ่งจะโผล่มาอีกครั้ง? กระแสความคิดพลุ่งพล่านในหัวลูเมี่ยนทันทีที่ได้ยินคำพูดของผู้ค้า
เด็กหนุ่มยังไม่ลืมกฎ ‘ห้ามคุยกับอีกฝ่าย’ จึงพยายามไม่พูดอะไร ไม่ตอบสนองต่อคำพูด เพียงเอนตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย ยื่นมือขวาออกไป เป็นนัยว่าขอกระเป๋าหนังสีน้ำตาลใบเล็กนั่น
ชายร่างใหญ่คล้ายหมีหิวโซมิได้ปฏิเสธ เพียงแค่หัวเราะในคอ
“ถ้าผมเป็นการ์ดเนอร์·มาร์ติน คงสวดวิงวอนขอให้ตัวเองไม่มีวันรู้ว่าข้างในเป็นอะไร”
หมายความว่ายังไง? สมองลูเมี่ยนประมวลผลเร่งด่วนขณะมือขวาได้สัมผัสกับกระเป๋าหนัง
ในตอนนั้นเอง สายตาของเด็กหนุ่มเหลือบมองที่จับกระเป๋า ไม่เห็นมือขวาของผู้ค้าจับอยู่ มันลอยอยู่ตรงตำแหน่งแขนเสื้อ ราวกับถูกดึงด้วยแรงที่มองไม่เห็น
ลูเมี่ยนมองไล่ไปตามที่จับกระเป๋าหนัง จนกระทั่งพบว่าด้านในแขนเสื้อไม่มีแขน ว่างเปล่า ถูกค้ำยันด้วยสิ่งที่มองไม่เห็น!
ไม่มีแขน! หัวใจของเขาเต้นแรง เงยศีรษะขึ้นตามสัญชาตญาณ มองหน้าผู้ค้าคนนั้น แลเห็นนัยน์ตาสีน้ำตาลแดงที่ถูกเน้นด้วยหนวดกับคิ้วหนาๆ ดูเย็นชาคล้ายสัตว์ป่า เปี่ยมไปด้วยความเกลียดชังและหวาดกลัวอย่างไม่ปิดบัง
ท่ามกลางกระแสความคิดอันว้าวุ่น ลูเมี่ยนคุมข่มกิริยาของตน รับกระเป๋าใบนั้นอย่างนิ่งสงบ ไม่สอบถาม ไม่สังเกต ไม่ตอบสนองเชิงป้องกันหรือโจมตีตามสัญชาตญาณ ราวกับไม่พบความผิดปกติใดทั้งสิ้น
อารมณ์ของผู้ค้าดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย เสียงหัวเราะเจือความเศร้าหมองเล็กน้อย
“ฝากไปบอกการ์ดเนอร์·มาร์ตินด้วยว่า อีกไม่นานเขาก็จะต้องลงใต้ดินเหมือนกัน!”
“ความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานทั้งหมดที่ผมได้รับ เขาจะต้องเผชิญอีกครั้งหนึ่ง!”
ลูเมี่ยนฟังอย่างเดียวโดยไม่ตอบโต้ ถือกระเป๋าหนังใบเล็กนั่น เตรียมหันหลังกลับ พา ‘คนยักษ์’ ซิมงต์และ ‘มุสิก’ คริสโตออกจากโพรงเหมืองอัลแบร์
ทันใดนั้น เสียงกระทืบเท้าดังขึ้นอีกครั้งที่ทางเข้าด้านหลังผู้ค้า
เมื่อเทียบกับคราวก่อน มันชัดเจนยิ่งขึ้น เหมือนอยู่ใกล้แค่เอื้อม
และลูเมี่ยนยิ่งทวีความมั่นใจ ว่านั่นคือเสียงรองเท้าหนังกำลังย่ำออกจากอุโมงค์อันเงียบสงัด!
วินาทีถัดมา ร่างของใครบางคนปรากฏให้เขา คริสโต และซิมงต์ได้เห็น
เป็นร่างเปลือยของชายคนหนึ่ง เหนือคอขึ้นไปว่างเปล่า ไม่มีศีรษะ มีเลือดไหลซึมออกมาตลอดจากรอยตัด
เขาสวมเพียงกางเกงขาสั้นสีน้ำเงินเข้ม สวมรองเท้าหนังสีดำไร้เชือกผูก
สัตว์ประหลาดไร้เศียรตัวนี้วิ่งสองก้าวมาอยู่ด้านหลังผู้ค้า ยื่นสองแขนจับหัวฝ่ายหลัง แล้วเตรียมกระชาก
“ช่วยด้วย! ช่วยด้วย” ผู้ค้ามิอาจปกปิดความตื่นตระหนกและหวาดกลัวของตนได้อีก รีบตะโกนเสียงดัง
แทบจะในเวลาเดียวกัน ทั้งหัวของผู้ค้าถูกกระชากขึ้น เผยให้เห็นกระดูกสันหลังเปื้อนเลือดห้อยอยู่ด้านล่าง มันยาวมาก แกว่งไกวแผ่วเบาราวกับหาง
โดยปราศจากสุ้มเสียง เสื้อเชิ้ต เสื้อกั๊ก กางเกงขายาว และเสื้อนอกของผู้ค้าทรุดลงไปกองกับพื้นพร้อมกัน
ราวกับไม่เคยมีร่างกายอยู่เลย เหลือเพียงศีรษะและกระดูกสันหลังชุ่มเลือดที่เชื่อมเข้าด้วยกัน
“ช่วยด้วย! ช่วยด้วย!” ผู้ค้าพยายามดิ้นรนอย่างหนัก แต่ถูกสัตว์ประหลาดไร้หัวจับไว้แน่น ดูเหมือนมันต้องการยัดศีรษะเข้าไปในคอที่ว่างเปล่า
แม้ลูเมี่ยนจะเคยเห็นสัตว์ประหลาดพิลึกพิลั่นและน่าสยดสยองมาไม่น้อยในความจริงของหมู่บ้านกอร์ตู แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พานพบความน่าขนลุกระดับนี้
เด็กหนุ่มหันหลังโดยไม่ลังเล ไม่สนใจเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากศีรษะของผู้ค้า วิ่งตรงไปยังทางเข้าอุโมงค์ลับ
‘คนยักษ์’ ซิมงต์และ ‘มุสิก’ คริสโตที่ตกตะลึงพรึงเพริดกับฉากตรงหน้า ไม่จำเป็นต้องฝืนระงับอารมณ์อีกต่อไป ดุจดังนักปั่นที่ได้ยินเสียงปืนออกตัว ทั้งสองก้มหลังลง หันหลังกลับแล้วสับเต็มฝีเท้าเข้าไปในอุโมงค์
ลูเมี่ยนไล่ตามพวกเขาห่างไม่กี่ก้าว ด้านหลังมีเสียงร้องโหยหวนดังก้องในโพรงเหมืองอัลแบร์:
“ช่วยด้วย! ช่วยผมด้วย!”
“ถ้าผมตาย พวกคุณก็อย่าหวังจะมีชีวิตรอด!”
“ช่วยด้วย!”
ทั้งสามถือโคมไฟคาร์ไบด์เดินเงียบเสียงผ่านอุโมงค์ลับที่สูงเพียง 1.23 เมตร หัวใจเต้นตึกตักตามเสียงร้องโหยหวนจากด้านหลัง
ต่อมา เสียงรองเท้าหนังย่ำพื้นดังสะท้อนไปทั่วอุโมงค์ลับที่ทั้งสามอยู่
‘มุสิก’ คริสโตมีร่างกายเตี้ยกว่าใครเพื่อน ท่วงท่าการวิ่งหนีตัวโก่งจึงดูเป็นธรรมชาติที่สุด เขาวิ่งไปข้างหน้าพลางเอี้ยวร่างกลับมาเล็กน้อย ใช้มือขวาชี้กระเป๋าเสื้อตัวเองอย่างบ้าคลั่ง ใบหน้าฉาบล้นด้วยความหวาดผวาราวกับได้เห็นความตาย
หนูพิเศษตัวนั้นส่งสัญญาณเตือนที่อันตรายมาก? ลูเมี่ยนมองต่ำลง ชำเลืองหน้าอกซ้ายของตนแวบหนึ่ง แล้วพยักหน้าให้คริสโตแผ่วเบา สื่อเป็นนัยว่า ข้างหลังมีผมอยู่ คุณวิ่งไปข้างหน้าเถอะ
เสียงกระทืบดังใกล้เข้ามาทีละน้อย ทุกคนรวมทั้งลูเมี่ยนต่างก็เครียดสุดขีด
แม้ว่าพวกเขาจะต้องวิ่งไปพลางค้อมหลังในอุโมงค์ลับ แต่ความเร็วสูงสุดก็มิได้ลดลงมาก ท้ายที่สุด ทุกคนล้วนเป็นผู้วิเศษที่ถนัดการต่อสู้และมีร่างกายที่ถูกยกระดับขึ้นมา
นาทีแล้วนาทีเล่าผ่านไป เมื่อเสียงรองเท้าหนังย่ำพื้นห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตร จนลูเมี่ยนรู้สึกหนาวยะเยือกที่แผ่นหลัง ในที่สุดทั้งสามก็มาถึงทางออกอุโมงค์ และทยอยกันออกไป
เมื่อเห็นว่า ‘คนยักษ์’ ซิมงต์เตรียมหนีเตลิดไปตามลำพัง ลูเมี่ยนที่กลับมาถึงจุดนัดหมายแล้ว เลิกเคลื่อนไหวด้วยความเงียบ แค่นเสียงทุ้มต่ำราวกับคำราม:
“มาปิดทางเข้า!”
ขณะพูดก็หันหลังกลับ โยนโคมไฟคาร์ไบด์และกระเป๋าหนังใบเล็กทิ้ง และพยายามเข็นหินก้อนใหญ่ที่อยู่ข้างๆ ทางออก
สัญชาตญาณของ ‘คนยักษ์’ ซิมงต์สั่งให้เพิกเฉยคำสั่งของลูเมี่ยน แต่ในใจเขาเกิดความลังเลเพราะเสียงคำรามต่ำ
ระหว่างทางมา เขาชินกับการทำตามคำสั่งของอีกฝ่ายแล้ว ดูเหมือนนั่นจะเป็นหลักประกันเดียวที่จะช่วยให้รอดออกไปได้
ซิมงต์สองจิตสองใจทันที
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ‘คนยักษ์’ ซิมงต์สงสัยว่า หากตนวิ่งหนีไปแบบนี้ และชาร์ลรอดจากสัตว์ประหลาดนั่นมาได้ เด็กหนุ่มต้องลงมือสังหารตนที่เป็น ‘ทหารหนีทัพ’ แน่นอน!
‘มุสิก’ คริสโตก็คิดคล้ายกัน แต่เขาเชื่อว่าหากตนกับซิมงต์ไม่ไปช่วย ชาร์ลก็คงไม่ดันทุรังปิดทางออกอุโมงค์คนเดียว ถึงตอนนั้นใครวิ่งช้าสุดก็จะกลายเป็นเหยื่อของสัตว์ประหลาดเพื่อ ‘ซื้อ’ เวลาให้อีกสองคนหนีรอด
หลังจากชั่งน้ำหนักจุดเด่นจุดด้อยของเส้นทางและลำดับของทุกคน คริสโตเชื่อว่าตนคือคนที่วิ่งช้ากว่าใคร ซ้ำยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะทำร้าย ‘คนยักษ์’ ซิมงต์กับ ‘ราชสีห์’ ชาร์ลได้รับบาดเจ็บหนักภายในเวลาอันสั้น เพื่อสร้างเหยื่อล่อคนใหม่ขึ้นมาแทน
เขาเลิกลังเลในที่สุด หยุดวิ่งหนี กลับไปยังทางออกของอุโมงค์ เพื่อช่วยลูเมี่ยนผลักหินที่ใช้ปิดเส้นทาง
เมื่อมี ‘มุสิก’ ทำเป็นเยี่ยงอย่าง ‘คนยักษ์’ ซิมงต์จึงเลือกทำตาม รีบหันหลังและย้อนกลับไป
อาศัยแรงของทั้งสาม ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น ก็ปิดทางเข้าออกของอุโมงค์ลับได้อย่างแน่นหนา
แทบจะในเวลาเดียวกัน เสียงรองเท้าหนังกระทืบพื้นก็อันตรธานหายไป
พร้อมกันนั้น ‘มุสิก’ คริสโตพูดด้วยน้ำเสียงตกใจปนยินดี
“หมดเรื่องแล้ว!”
ในกระเป๋าเสื้อที่ใส่หนูเทฟี่แทบไม่มีการเคลื่อนไหวใดอีก
ลูเมี่ยนมิได้ร่วมยินดีด้วย เพียงหยิบโคมไฟคาร์ไบด์และกระเป๋าหนังใบเล็ก พูดเสียงทุ้มต่ำ
“ค่อยว่ากันอีกทีตอนกลับถึงใต้ดินชั้นแรก”
‘คนยักษ์’ ซิมงต์และ ‘มุสิก’ คริสโตผ่อนคลายเล็กน้อยก็จริง แต่สีหน้ากลับมาเคร่งขรึมอีกครั้ง ทั้งสองเดินตามลูเมี่ยนตามสัญชาตญาณ ปีนผนังหินเข้าสู่อุโมงค์ลับอีกแห่งหนึ่ง
ระหว่างทาง ทั้งสามมิได้เผชิญกับการโจมตีใด แต่ใต้ดินบางครั้งก็เงียบสงัด บางคราวก็ส่งเสียงประหลาดเป็นระยะ ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อมแบบใด สำหรับพวกเขาที่เพิ่งตกอกตกใจมาหมาดๆ ก็ล้วนไม่ใช่ประสบการณ์ที่น่าอภิรมย์ หากมิใช่ว่าลูเมี่ยนคอยสงบนิ่งเยือกเย็นอยู่ตลอด ‘คนยักษ์’ ซิมงต์กับ ‘มุสิก’ คริสโตก็คงจะทำอะไรเอิกเกริกไปแล้ว
หลังจากกลับมาถึงชั้นที่สอดคล้องกับจัตุรัสและถนนบนพื้นดิน ‘มุสิก’ คริสโตสอดมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ ปลอบโยนเทฟี่ แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ตอนที่เห็นสัตว์ประหลาดนั่น ผมนึกว่าเราต้องตายที่นั่นเสียแล้ว”
เขากับซิมงต์ฆ่าคนมาแล้วเกินสิบ เคยร่วมงานกับผู้วิเศษคนอื่น กระทั่งต่อสู้กันก็เคยมาแล้ว แต่ไม่ยักเคยพานพบสัตว์ประหลาดแบบเมื่อครู่ ไม่เคยประสบเหตุการณ์อันน่าขนลุกขนพองเช่นนี้
นี่มันน่ากลัวยิ่งกว่าเรื่องสยองขวัญที่พวกตนเคยฟังตอนเด็กเสียอีก!
ลูเมี่ยนหัวเราะ
แต่พอได้อยู่ในสถานการณ์จริง คนส่วนใหญ่คงมัวใจเย็นไม่ได้แน่! ‘คนยักษ์’ ซิมงต์และ ‘มุสิก’ คริสโตเพิ่งได้ตระหนักถึงความเข้มแข็งทางจิตใจของชาร์ล
ด้วยอาการผวาที่เกิดจาก ‘ผู้ค้า’ และสัตว์ประหลาดไร้หัว ทั้งสองไม่สนใจวัตถุภายในกระเป๋าแม้แต่น้อย เพียงรีบตามลูเมี่ยนออกจากใต้ดิน กลับไปยังคฤหาสน์เลขที่ 11 ถนนน้ำพุ และพบการ์ดเนอร์·มาร์ตินในห้องหนังสือ
การ์ดเนอร์·มาร์ตินรับกระเป๋าหนังใบเล็กมา มองผ่านๆ อย่างไม่ใส่ใจนัก แล้วพูดพลางยิ้ม
“ดีมาก พวกคุณทำได้ดี หลังจากนี้ผมจะค่อยๆ ตกรางวัลให้”
หลังจากชมเสร็จ บอสใหญ่แห่งพรรคซาฟาห์ผู้นี้มองหน้าลูเมี่ยน พูดพลางพยักหน้าเบาๆ
“ผมมีคำพูดประโยคหนึ่งจะมอบให้คุณ”
“ถ้าคุณอยากไปได้ไกลบนเส้นทาง ‘นักล่า’ จงอย่าลืมคำพูดประโยคนี้เป็นอันขาด”
“ปีศาจคือมิตรของเรา นรกคือคนอื่น” (หมายเหตุ 1)
ปีศาจคือมิตรของเรา นรกคือคนอื่น… ลูเมี่ยนยังไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของประโยค และการ์ดเนอร์·มาร์ตินก็มิได้อธิบาย
หลังจากมองส่งลูกน้องทั้งสามออกจากห้องหนังสือ การ์ดเนอร์·มาร์ตินหันไปทางประตูที่เชื่อมระหว่างห้องหนังสือกับห้องนั่งเล่น
ประตูบานดังกล่าวเปิดออกพร้อมเสียงแอ๊ด ที่เดินเข้ามาคือชายสวมหมวกผ้าไหมกึ่งสูง เสื้อเชิ้ตสีขาว เสื้อกั๊กสีเหลือง เสื้อนอกสีดำ และกางเกงขายาวสีเข้ม
ผมสั้นสีน้ำตาลแดง นัยน์ตาสีน้ำตาลแดง หนวดเคราหนารุงรัง คิ้วหนากว่าปกติ คล้ายหมีตัวผู้ที่หิวโหยมานาน ไม่ใช่ใครนอกจาก ‘ผู้ค้า’ ที่ส่งกระเป๋าหนังใบเล็กให้พวกลูเมี่ยน และถูกสัตว์ประหลาดไร้หัวกระชากไป
“โอลเซ่น รู้สึกยังไงบ้าง” การ์ดเนอร์·มาร์ตินถาม
ผู้ค้าที่ถูกเรียกว่าโอลเซ่นตอบพร้อมรอยยิ้ม
“ภูมิหลังไม่ซับซ้อน ที่มาชัดเจน ฉลาด กล้าหาญ กระตือรือร้น และเด็ดขาดเพียงพอ สามารถรวมคนที่แทบไม่สนิทกัน ให้เป็นทีมหลวมๆ ได้ในเวลาอันสั้น นี่ไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องการหรือไง?”
“ส่วนเรื่องความจงรักภักดี นั่นยิ่งไม่ต้องห่วง เมื่อถึงเวลานั้น ต่อให้เขาไม่ภักดี ก็จะกลายเป็นภักดีเอง”
การ์ดเนอร์·มาร์ตินพยักหน้าเบาๆ
“ตามสืบเขาอีกสักระยะ ดูว่าเขาติดต่อกับใครบ้าง”
หลังจากพูดคุยเรื่องนี้เสร็จ การ์ดเนอร์·มาร์ตินมองกระเป๋าหนังใบเล็กบนโต๊ะ ถามด้วยความสงสัย
“ข้างในมีอะไรกันแน่”
“ก็บอกไปแล้วไง ถ้าผมเป็นคุณ จะสวดวิงวอนขอให้ตัวเองไม่มีวันรู้” ผู้ค้านามว่าโอลเซ่นอมยิ้ม หยิบกระเป๋าหนังขึ้นมาแล้วออกจากห้องหนังสือ
หลังจากเดินไปบนโถงทางเดินได้สองสามก้าว เขารู้สึกเหมือนศีรษะของตนเอียงไปเล็กน้อย จึงยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาจับแน่น ปรับให้ตรงด้วยเสียงกร๊อบ
หมายเหตุ 1: ข้อความดั้งเดิมมาจาก ‘มงเตญู (Montaillou)’
……………………………………………