ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 245 ‘ปราศรัย’
- Home
- All Mangas
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 245 ‘ปราศรัย’
ตอนที่ 245 ‘ปราศรัย’
ทุกสายตาจับจ้องไปทางฮิวจ์·อาร์ทัวส์ สมาชิกรัฐสภาผู้มีบุคลิกสง่างาม จมูกค่อนข้างโต มีไรผมหงอก ได้กลับมาทำหน้าสงบนิ่งแล้ว พลางพูดด้วยรอยยิ้ม
“ไม่มีอะไรต้องกังวล”
“หากผู้โจมตีเก่งกาจพอจะทะลุทะลวงแนวป้องกันสองชั้น เพื่อจัดการกับผมได้โดยตรง ก็ไม่จำเป็นต้องลอบสังหารทิบอลต์เลย พฤติกรรมเช่นนี้ก็แค่การขู่กรรโชก หวังข่มขวัญบนกระดาษมากกว่า”
สมาชิกทีมหาเสียงทั้งสี่พร้อมใจกันพยักหน้า เห็นด้วยกับข้อสันนิษฐานของมิสเตอร์อาร์ทัวส์
ฮิวจ์·อาร์ทัวส์จึงหันไปมองหญิงสาวผมแดง
“คาแซนดรา ความรู้ศาสตร์เร้นลับของผมค่อนข้างจำกัด เพียงเคยได้ยินว่ามีผู้วิเศษบางคนสามารถ ‘สื่อวิญญาณ’ เพื่อสอบปากคำศพได้ คุณคิดว่าวิญญาณของทิบอลต์จะทรยศพวกเราไหม?”
คาแซนดราผมแดงส่ายหน้าเชื่องช้า
“ในสถานการณ์ปกติ พวกเราควรกังวลและจำเป็นต้องเสี่ยง ‘ชำระล้าง’ วิญญาณของเขา แต่ในกรณีที่เพิ่งเกิดขึ้น มือสังหารยอมลงมือด้วยวิธีที่นานกว่าเพื่อทำลายวิญญาณของทิบอลต์ โดยหวังปกปิดข้อมูลของตัวเอง ซึ่งนั่นกลายเป็นการช่วยเราไปโดยปริยาย”
ฮิวจ์·อาร์ทัวส์พยักหน้าแผ่วเบา มองเลขาสองคนที่ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง แล้วจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“โรแน มาร์กาเร็ต ไม่ต้องกังวล เวลาอยู่ข้างเรา อนาคตอยู่ในมือเรา ความผิดพลาดเล็กน้อยจะไม่ส่งผลต่อผลลัพธ์สุดท้าย”
“พวกคุณต้องเชื่อมั่นเสมอว่า การกระทำของเราคือตัวแทนความเที่ยงธรรม”
โรแนผู้สวมแว่นทอง และมาร์กาเร็ตผู้เรียบร้อยสง่างาม ฟังแล้วก็ทำหน้างุนงง ไม่กล้าเชื่อว่าตนกับคนที่เหลือยังสามารถเชื่อมโยงกับคำว่า ‘ความเที่ยงธรรม’ ได้
ไม่เพียงแต่พวกเขา คาแซนดราผมแดง และบอดัวร์วัยกลางคนที่มีร่างกายกำยำ ต่างก็มองไปทางฮิวจ์·อาร์ทัวส์ด้วยสายตาเคลือบแคลงสงสัย รู้สึกเหมือนตัวเองฟังผิดไป
ฮิวจ์·อาร์ทัวส์มองออกไปนอกประตูอย่างระมัดระวัง ใช้ภาษากายนี้ถามว่ามีผู้ดักฟังหรือไม่
เมื่อคาแซนดราผมแดงพยักหน้า เขาจึงเริ่มกล่าวปราศรัย
“มาดามและมิสเตอร์ทั้งหลาย แม้ว่าผมจะถูกสัญญาผูกมัดไว้อยู่ ยังไม่สามารถเข้ารับพรได้ แต่ผมก็เข้าใจโลกนี้มากถึงระดับหนึ่งแล้ว”
“พวกคุณคงรู้ดีกว่าผม ว่าท้องฟ้าเหนือศีรษะของเรา แทนความกว้างใหญ่ไพศาลของจักรวาล ในจักรวาลแห่งนี้มีดาวเคราะห์นับไม่ถ้วน แต่ละดวงก็เปรียบเสมือนหนึ่งโลก หลายดวงมีอารยธรรมเป็นของตัวเอง โลกที่เราอาศัยอยู่เป็นเพียงหนึ่งในดาวจำนวนมาก เล็กจ้อยราวกับฝุ่นผง”
“เทพทั้งเจ็ดขังเราไว้ในโลกนี้ ไม่ให้เราออกไปสัมผัสกับอารยธรรมแห่งจักรวาล ก็เพื่อปิดตาปิดหูเรา ทำให้เราเป็นทาสของพระองค์จากรุ่นสู่รุ่น”
“พระองค์มององค์ผู้ยิ่งใหญ่เป็นเทพมาร ถักทอคำหลอกลวงแล้วตีตราความศรัทธาในเทพมารว่าเป็นอันตราย ก็เพียงเพื่อมิให้เราสัมผัสกับอารยธรรมที่สูงส่งกว่า”
“หากการศรัทธาในเทพมารอันตรายจริง เหตุใดอารยธรรมของเผ่าพันธุ์ต่างๆ บนจักรวาลถึงเจริญงอกงามได้?”
“พระองค์กำลังหวาดกลัว หากองค์ผู้ยิ่งใหญ่เสด็จเยือนโลกนี้สำเร็จ สิ่งที่เผชิญความพินาศย่อยยับจะมีแต่พวกพระองค์ นักบุญของพระองค์ เทวทูตของพระองค์ และสาวกบางส่วนที่ศรัทธาอย่างแรงกล้า แต่สำหรับประชาชนส่วนใหญ่แล้ว เมื่อถึงเวลานั้นก็แค่เปลี่ยนความเชื่อเท่านั้น ไม่มีอันตรายใดเลย”
“การศรัทธาในหนึ่งในเจ็ดเทพนับเป็นศรัทธา แต่การศรัทธาในองค์ผู้ยิ่งใหญ่กลับไม่นับ?”
“เราจะถูกเจ็ดเทพจับเป็นตัวประกันมิได้ เราต้องบุกเบิกอนาคตของมวลมนุษย์ บุกเบิกทิศทางของอารยธรรม… คำนึงจากการที่พวกคุณสามารถได้รับพร องค์ผู้ใหญ่ย่อมแข็งแกร่งกว่าเจ็ดเทพ และยินดีเป็นร่มเงาที่คอยคุ้มครองเรา ยินดีมอบพลังให้ เป็นผู้มีพระคุณกว้างใหญ่ดุจดังมหาสมุทร”
“ต่อไปในภายภาคหน้า เมื่อเราสามารถเดินทางในจักรวาลได้แล้ว หันกลับมามองสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงหลายปีนี้ พวกคุณจะเข้าใจได้ว่า ภารกิจของเราคือความเที่ยงธรรม”
“ระหว่างกระบวนการ ย่อมหลีกเลี่ยงการเสียชีวิตบ้างไม่ได้ แต่พวกเขาก็สมควรตาย ไม่ว่าจะเพราะอายุมากเกินไป สุขภาพไม่ดี โชคร้ายเกินไป หรือเป็นโชคชะตา ส่วนใหญ่มิใช่ความรับผิดชอบของเรา”
“แล้วอีกอย่าง ท้ายที่สุดพวกเขาก็เป็นเพียงคนส่วนน้อย เราไม่อาจปล่อยให้คนส่วนน้อยมีชีวิตอยู่ต่อไป แล้วขัดขวางคนส่วนใหญ่ในการเข้าถึงอารยธรรมที่สูงกว่า อนาคตที่ดีงามกว่า”
“ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษทั้งหลาย ไม่ว่าภารกิจใดย่อมมีการเสียสละ ตราบใดที่เรายังเชื่อมั่น ว่าทางเดินของเราคือสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม จงยืนหยัดต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ สักวันอนาคตจะเป็นของเราอย่างแน่นอน!”
คาแซนดราผมแดง เลขานุการโรแน และคนที่เหลือ ต่างก็ฟังจนอึ้งไปหมด
ท้ายที่สุดแล้ว ใครกันแน่ที่เป็นสาวกเทพมาร?
แต่ละคนนับถือเทพมารแตกต่างกันไป ด้วยเหตุผลที่ต่างกัน ในส่วนลึกของจิตใจต่างก็ทราบดี ว่าสิ่งที่ตนกระทำมิใช่เรื่องถูกต้อง เพียงแต่ได้ก้าวเข้ามาบนเส้นทางนี้แล้ว มีแต่ต้องเดินหน้าต่อไป จึงอาศัยความเชื่อเป็นม่านบังตา ค่อยๆ เปลี่ยนมุมมองของตน หรือไม่ก็ยอมตกต่ำอย่างสิ้นเชิง เพื่อแสวงหาแรงผลักดันที่เพียงพอจะทำให้ตนก้าวต่อไปได้
ในทางกลับกัน ฮิวจ์·อาร์ทัวส์ยังมิได้เป็นสาวกของเทพองค์ใด ไม่เคยรับพรใด และไม่เคยมีประสบการณ์กับตัว แต่กลับสามารถถ่ายทอดได้อย่างเป็นธรรมชาติถึงเพียงนี้ ทำเอาผู้ฟังรู้สึกคล้อยตามและหลงเสน่ห์อย่างยิ่ง
สมาชิกทีมหาเสียงทั้งสี่คน ต่างรู้สึกว่าคำพูดของฮิวจ์·อาร์ทัวส์ช่างสมเหตุสมผล จนพวกเขาต้องทบทวนความหมายของการกระทำที่ผ่านมา
หลายวินาทีผ่านไป คาแซนดราผมแดงเริ่มถอนหายใจ มองหน้าฮิวจ์·อาร์ทัวส์ แล้วชื่นชมอย่างจริงใจ
“เป็นการปราศรัยที่ยอดเยี่ยมมาก ท่านสส. ต่อไปเมื่อท่านเลือกความเชื่อของตน ดิฉันสามารถแนะนำพระองค์หนึ่งให้ท่านได้”
“หือ?” ฮิวจ์·อาร์ทัวส์ย้อนถามด้วยเสียงนาสิก
คาแซนดราอธิบายยิ้มๆ
“พระองค์มีพรชนิดหนึ่งซึ่งเรียกว่า ‘นักปราศรัย’”
ฮิวจ์·อาร์ทัวส์พยักหน้า แล้วยิ้มกับสมาชิกทีมทั้งสี่คนอย่างสบายอารมณ์
“อย่าได้เสียขวัญเพราะการตายของทิบอลต์เลย เราจะดำเนินการตามแผนเดิม”
คาแซนดรา โรแน มาร์กาเร็ต และบอดัวร์ตอบกลับมาเป็นเสียงเดียวกัน
“ครับ/ค่ะ ท่านสส.”
…………
ทรีอาร์ใต้ดิน
ลูเมี่ยนอ้อมกลับไปยังโพรงเหมืองหินเดิม รีบถอดเสื้อผ้ากับรองเท้าออก แล้วปลดวิกผมปลอม ปลดหนวดเครากับคิ้วปลอม
เมื่อเปลี่ยนกลับเป็นชุดคนเร่ร่อนตามเดิม และสวมหมวกแฟลตแก๊ปสีน้ำเงินเข้ม อีกาสีแดงเข้มกึ่งมายาหลายตัวก็ปรากฏขึ้นรอบตัวเด็กหนุ่ม
ฝูงอีกาบินออกไปพร้อมเสียงร้อง ลงไปเกาะบนไม้ตะพด เสื้อเชิ้ต เนกไท วิกผม และสิ่งของอื่นๆ จนทั้งหมดลุกไหม้ท่ามกลางเสียงระเบิดแผ่วเบา
ลูเมี่ยนหันหลังกลับ เดินไปยังทางออกของทรีอาร์ใต้ดิน โดยที่ด้านหลังของเขา เปลวไฟสีแดงฉานกำลังลุกโชน แผดเผาทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการลอบสังหาร จนโพรงใต้ดินอันมืดมิดสว่างโร่ชั่วขณะ
…………
ใกล้เที่ยงคืน ณ ศาลศาสนา ‘สุริยันเจิดจรัส’ ใต้วิหารนักบุญโรแบร์
อ็องกูแลม·เดอ·ฟรองซัว ผู้กำลังอ่านบันทึกการสอบสวน ได้ยินเสียงเคาะประตูดังกังวาน
เสื้อโค้ตสีน้ำตาลที่มีกระดุมทองเรียงกันสองแถวของเขา ถูกแขวนอยู่บนราวแขวนเสื้อใกล้ประตู ตัวเขาสวมเพียงเสื้อเชิ้ตสีทองอ่อนติดตราศักดิ์สิทธิ์สุริยัน กับกางเกงขายาวสีน้ำตาลเข้ม
“เชิญ” อ็องกูแลมเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ
วาเลนไทน์ผู้แต่งหน้าทาปัด และโรยผงแป้งบนเส้นผม เดินเข้ามาในห้อง
เขาฝังใจเรื่องหมู่บ้านกอร์ตูมาโดยตลอด หลังทราบว่ามีผู้รอดชีวิตบางคนปรากฏตัวในทรีอาร์ เขาจึงอาสายื่นคำร้องขอโอนย้ายมาประจำการที่นี่ ส่วนภรรยาและลูกๆ ต่างก็ใฝ่ฝันอยากใช้ชีวิตในมหานครเมืองหลวงมานาน จึงไม่จำเป็นต้องโน้มน้าวอะไรมาก ยอมตามมาด้วยแต่โดยดี
คืนนี้เขากับเพื่อนในทีมอีกสองสามคนเข้ากะดึก ประจวบเหมาะได้ทำคดีลอบสังหารผู้ช่วยเลขานุการของสส.
วาเลนไทน์ผู้สวมทวีดแจ็กเกตสีน้ำเงิน ติดเข็มกลัดสีทอง นั่งลงตรงข้ามอ็องกูแลม แล้วพูดอย่างตรงไปตรงมา
“ท่านสังฆานุกร เหตุใดถึงไม่สืบสวนฮิวจ์·อาร์ทัวส์?”
“แม้คนส่วนใหญ่ของ ‘ชุมนุมแสงเหนือ’ จะเป็นพวกสติไม่สมประกอบ แต่ก็ดูจะชำนาญในการระบุตัวสาวกเทพมาร… จริงอยู่ เราไม่อาจเหมารวมว่าคนที่ถูกพวกเขาสังหารล้วนศรัทธาเทพมาร แต่ก็มีอย่างน้อยเจ็ดในสิบส่วนที่เป็น”
“นอกจากนี้ เมื่อรวมกับข้อมูลที่เราได้มา ย่อมสามารถตัดสินได้ว่าทิบอลต์·ฌัก เหยื่อผู้ถูกสังหาร เป็นสาวกเทพมารผู้มีพลัง ‘เสื่อมโทรม’ และโดยตำแหน่งแล้วเขาคือผู้ช่วยเลขานุการของฮิวจ์·อาร์ทัวส์”
“เราไม่อาจปล่อยให้บุคคลที่เต็มไปด้วยข้อครหา ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาต่อไป การสืบสวนเขาถือเป็นความรับผิดชอบต่อประชาชนทั้งหมดในเขตตลาด และต่อตัวฮิวจ์·อาร์ทัวส์เอง หากผลสืบสวนออกมาว่าเขาคือผู้บริสุทธิ์ ก็จะถือว่าเราได้ช่วยเขาขจัดสาวกเทพมารรอบตัวออกไปในคราวเดียว”
อ็องกูแลมไม่คิดว่าหัวหน้าทีมคนใหม่ที่เพิ่งย้ายมา จะมีศรัทธาแรงกล้าและกระตือรือร้นยิ่งกว่าตนเสียอีก จนอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นบีบหัวคิ้ว
เขาหัวเราะขื่นขมพลางอธิบาย
“พวกคุณคงไม่ทราบสินะ สส. ทุกคนล้วนมีพันธสัญญาที่ได้ลงนามไว้กับสองศาสนจักรใหญ่ เป็นสัญญาที่ผ่านการรับรองโดยเทพ”
“ในสัญญาดังกล่าว พวกเขาให้คำมั่นถึงความศรัทธาของตน ต้องเปิดเผยพลังที่ถือครองและแหล่งที่ได้มา โดยที่สองศาสนจักรใหญ่ก็ให้สัญญาว่า จะไม่จำกัดเสรีภาพส่วนบุคคลของสส. และเจ้าหน้าที่คนสำคัญรอบตัว รวมถึงไม่ใช่พลังวิเศษเพื่อแทรกแซงพวกเขา เว้นแต่จะมีหลักฐานที่ชัดเจนเพียงพอ”
“ทั้งหมดก็เพื่อรักษาอำนาจของสภา”
“จากสัญญาจะเห็นว่า ฮิวจ์·อาร์ทัวส์ศรัทธาในองค์ ‘สุริยันเจิดจรัส’ ผู้ยิ่งใหญ่ และมิได้เป็นผู้วิเศษ”
“ดังนั้น คุณสามารถสอบถามเขาและเจ้าหน้าที่คนสำคัญรอบตัวได้… แค่สอบถามเท่านั้น”
วาเลนไทน์แทบซ่อนความผิดหวังไม่อยู่
“ทำไมต้องมีสัญญาอะไรแบบนี้ด้วย?”
“เป็นผลพวงจากการทำรัฐประหาร และเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สอดคล้องกับกระแสยุคสมัย” อ็องกูแลมอธิบายรวบรัด
วาเลนไทน์ถอนหายใจ ลุกขึ้นยืน กางแขนออก
“สุริยันจงเจริญ!”
“สุริยันจงเจริญ!” อ็องกูแลมลุกขึ้นตอบรับด้วยท่าทางเดียวกัน มองตามหลังลูกน้องรายนี้เดินออกจากห้องทำงาน
…………
โรงพยาบาลอารามศักดิ์สิทธิ์ เขตนอร์ด
จินนานั่งอยู่บนตั่งกลมเตี้ยๆ ตัวหนึ่ง ก้มหน้าเอนอิงอยู่ข้างเตียงของมารดาเอโลดี นอนหลับไม่สนิท
หลังจากส่งฟรังก้ากลับ เธอก็ให้พี่ชายยูเลียนกลับบ้านไป เพราะอีกฝ่ายต้องตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อเข้าโรงงาน ส่วนโรงละครกรงพิราบเก่ายังไม่ได้กลับมาฝึกซ้อมนักแสดง — เดิมทีกองบัญชาการตำรวจวางแผนจะประมูลกรงพิราบเก่าและโรงแรมระกาทองในช่วงสองวันนี้ แต่ดันเกิดเหตุระเบิดกับโรงงานเคมีโกลด์ไวร์เสียก่อน จึงต้องเลื่อนออกไปสักพักหนึ่ง
ทันใดนั้น เอโลดีเริ่มขยับตัวเล็กน้อย ทำเอาจินนารีบสะดุ้งตื่น และเห็นแม่ของตนค่อยๆ ลืมตา
เมื่อกระจกตาสะท้อนใบหน้าของลูกสาว เอโลดีก็ยิ้มแล้วพูด
“นึกว่าจะได้ไปพบพ่อของแกแล้ว”
โดยไม่รอให้จินนาตอบ เธอถามด้วยเสียงอ่อนแรง
“แผลของฉันเป็นยังไงบ้างล่ะ”
จินนาที่ดีใจเมื่อเห็นแม่ลืมตาตื่น ยิ้มตอบอย่างจริงใจ
“ไม่ร้ายแรงมาก ดูสิ ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดด้วยซ้ำ”
เอโลดีถอนหายใจ พยักหน้าเชื่องช้า
เธอเพิ่งพ้นจากอาการหมดสติ ร่างกายและจิตใจยังไม่ค่อยมั่นคงนัก หลังจากคุยกันไม่กี่คำ ก็หลับไปอีกครั้ง
จินนาจับมือแม่ไว้ อาศัยแสงจากด้านนอกหน้าต่างส่องมอง ยิ้มอย่างมีความสุขราวกับได้ทวงสิ่งที่เสียไปกลับคืนมา พลางจ้องมองใบหน้าที่มีริ้วรอยอยู่ไม่น้อย และมีผมขาวประปรายของมารดา
มองไปสักพัก เธอเงยหน้าขึ้น แลเห็นแสงอรุณสาดส่องมาจากเส้นขอบฟ้า
……………………………………………………..