ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 242 นักวางเพลิง
- Home
- All Mangas
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 242 นักวางเพลิง
ตอนที่ 242 นักวางเพลิง
แทบจะในชั่วพริบตา ทั่วร่างของลูเมี่ยนก็ลุกโชนเป็นเปลวเพลิง
ตั้งแต่ร่างกายไปจนถึงดวงวิญญาณ ทุกส่วนของเขาต่างได้รับความเจ็บปวดจากไฟที่เผาไหม้
ความรู้สึกนี้มิใช่ของแปลกใหม่สำหรับลูเมี่ยน ไม่ว่าจะเป็นบาดแผลสาหัสที่ได้รับขณะล่าสัตว์ประหลาดไฟ หรือประสบการณ์ที่เกือบคลุ้มคลั่งระหว่างรับพร ต่างก็ทำให้เขาลุกโชนอย่างแท้จริง
แต่ในขณะนี้ ความร้อนแรงและความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น ไม่อาจปกปิดเปลวไฟที่กำลังสุมอยู่ในอก เปลวไฟแห่งการต่อต้านโชคชะตา เปลวไฟที่ต้องการเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง เปลวไฟที่อยากเผาผลาญความกดดันและความสิ้นหวังทั้งปวง
นั่นทำให้ลูเมี่ยนไม่ล้มลงไปขดตัวกับพื้นเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด ยังคงปักหลักยืนตรง ขบกรามหน้าเบี้ยว ไม่ยอมก้มตัวลง
จนกระทั่งเริ่มทนไม่ไหว หลังและเอวค่อยๆ โค้งงอ แต่ลูเมี่ยนก็เหยียดหลังตั้งตรงอย่างสุดกำลัง ประหนึ่งเผชิญหน้ากับหลวงพ่อกิโยม·เบเนต์ และเทอร์มีโพลอสที่นำพาหายนะมาสู่หมู่บ้านกอร์ตู
ร่างของเด็กหนุ่มบรรจงค้อมลง และยกขึ้นทีละเล็กละน้อย กลิ่นไหม้ลอยวนรอบจมูก เสียงอันน่าพรั่นพรึงที่ดังมาจากไกลอนันต์หรือใกล้มหันต์กำลังดังอยู่ข้างหู
ความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสแต่คุ้นเคย แล่นปรี่ทะลุทั่วศีรษะ จนต้องร้องครวญครางแผ่วเบาอย่างมิอาจหักห้ามใจ รอยปริแตกปรากฏขึ้นบนผิวหนังเส้นแล้วเส้นเล่า มีของเหลวคล้ายลาวาไหลซึมออกมาให้เห็นรางๆ
ลูเมี่ยนวางสองมือลงบนโต๊ะไม้ตรงหน้า เพื่อค้ำยันร่างกายของตน
จุดที่มือสัมผัสกลายเป็นสีดำและไหม้ในพริบตา กลิ่นของไม้ถูกเผาลอยฟุ้งไปทั่ว
ลูเมี่ยนอยากร้องโหยหวน แต่กลับไม่มีเสียงใดถูกเปล่ง ทำได้เพียงอ้าปากกว้างพลางพ่นแก๊สร้อนระอุ
เด็กหนุ่มไม่รีบร้อนเปิดขวดน้ำหอมอำพันสีเทา แต่อาศัยเปลวไฟที่สุมในอก ต่อกรกับความเจ็บปวดนานาชนิดจากภายในสู่ภายนอก ต่อกรกับความคิดที่ยิ่งพร่ามัวเมื่อเวลาผ่านไป
จากวินาทีกลายเป็นนาที ลูเมี่ยนที่ยังคงกัดฟันแน่น รู้สึกว่าเปลวไฟในอกตนกำลังปะทุ หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับความร้อนระอุที่แผ่ซ่านทั่วร่างกาย
ความเจ็บปวดหลากหลายรูปแบบเริ่มจางหายไปพร้อมกัน ความคิดอันพร่ามัวเริ่มกลับมาชัดเจนอีกคำรบ
ลูเมี่ยนใช้สองมือยันตัวเองให้ยืนตรงอีกครั้ง ก่อนจะหันสายตาไปหากระจกเงาเต็มตัวในห้อง
บนกระจก ผมสีบลอนด์ของเด็กหนุ่มยังคงมีสีดำแซมอยู่บ้าง เสื้อผ้าถูกเผาจนขาดวิ่น รอยไหม้จำนวนไม่น้อยกระจายอยู่ทั่วร่างกาย ตกสะเก็ดและร่วงหล่นลงพื้นอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นผิวหนังสีขาวจาง
ขณะเดียวกัน ลูเมี่ยนเห็นเปลวไฟสีแดงฉานสองกลุ่ม ยังคงลุกโชนอยู่ในดวงตาสีน้ำเงินของตน จนกระทั่งเริ่มข่มใจให้สงบพลางผ่อนคลายความคิด มันจึงค่อยๆ จางลง
วินาทีถัดมา ลูเมี่ยนยกมือขวาขึ้น เปลวไฟสีแดงฉานลุกโชนบนฝ่ามืออย่างรวดเร็ว
เด็กหนุ่มประสบความสำเร็จในการเลื่อนเป็นลำดับ 7 แห่งเส้นทาง ‘นักล่า’ และกลายเป็น ‘นักวางเพลิง’ เต็มตัวแล้ว!
เปลวไฟยังคงพวยพุ่งจากฝ่ามือของลูเมี่ยนอย่างต่อเนื่อง ผสานเข้ากับสีแดงฉานเดิม คอยบีบอัดเข้าด้านในอย่างไม่หยุดหย่อน
ผ่านไปสิบกว่าวินาที สีของเปลวไฟสีแดงฉานก็กลายเป็นสีขาวโชติช่วง ทั้งอุณหภูมิและพลังการระเบิดที่แฝงอยู่ภายใน ต่างก็เพิ่มจากเมื่อครู่มากกว่าหนึ่งขั้น
“เปลวไฟสีแดงฉานมีอานุภาพด้อยกว่า แต่สามารถใช้ได้ทันที หรือจะสะสมเพื่อบีบอัดสักพัก จนกระทั่งกลายเป็นเปลวไฟสีขาวโชติช่วงที่ทรงอานุภาพยิ่งกว่า…” ฝ่ามือของลูเมี่ยนราวกับไม่หวั่นเกรงความร้อน ปล่อยให้เปลวไฟสีขาวลุกท่วมอย่างเงียบงัน
เด็กหนุ่มลองตรวจสอบสถานะของตน รวมถึงความรู้ทางศาสตร์เร้นลับที่ได้รับ ทำให้เริ่มเข้าใจพลังวิเศษของ ‘นักวางเพลิง’ ได้ค่อนข้างครอบคลุม:
ประการแรก พลังวิญญาณของ ‘นักวางเพลิง’ ถูกยกระดับขึ้นอย่างมาก ซึ่งทำให้ ‘เนตรวิญญาณ’ ของลูเมี่ยนเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ ไม่เพียงแต่สามารถ ‘กำหนดทางลัดในการเปิด’ ที่ซ่อนเร้นและรวดเร็วยิ่งกว่าเดิม แต่ในที่สุดก็มองเห็นสีสันของส่วนต่างๆ บน ‘กายอากาศ’ ตามที่พี่สาวเคยบรรยายไว้ มิใช่เพียงภาพอันอลหม่าน
นี่จะช่วยให้ ‘นักล่า’ สามารถเข้าใจสภาพร่างกายของเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น กำหนดเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ประการที่สอง ลางสังหรณ์เตือนภัยถูกยกระดับพอประมาณ สำหรับปัจจุบัน มิใช่เพียงปัญหาที่ใกล้จะปะทุเท่านั้น แต่ลางสังหรณ์ของลูเมี่ยนสามารถทำงานผ่านการสังเกตสภาพแวดล้อมเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล ช่วยให้ตระหนักได้ดีขึ้นว่ามีใครกำลังสะกดรอยตามตนอยู่หรือไม่ สามารถรีดศักยภาพของพลัง ‘ต่อต้านการสะกดรอย’ ได้ถึงขีดสุด
ประการที่สาม มีความสามารถในการควบคุมเปลวไฟ ซึ่งยังมาพร้อมกับเวทมนตร์อีกสองสามอย่าง
สำหรับตอนนี้ เปลวไฟที่ควบคุมได้หลักๆ จะต้องมาจากตัวเอง หรือสร้างขึ้นมาเอง ในกรณีของเปลวไฟและวัตถุไวไฟตามสภาพแวดล้อมรอบตัว เขารู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับพวกมันก็จริง แต่ยังมิอาจสร้างอิทธิพลได้มากนัก ไว้ย่อยโอสถ ‘นักวางเพลิง’ ได้เบื้องต้นเมื่อไร หรือเลื่อนขั้นสู่ลำดับที่สูงขึ้น ตรงจุดนี้อาจเกิดการเปลี่ยนแปลง
นอกจากนี้ ลูเมี่ยนสามารถใช้เปลวไฟที่ตนสร้างขึ้นเองโจมตีศัตรู แต่ทันทีที่เปลวไฟแยกออกจากร่างกาย พวกมันจะอยู่นอกเหนือการควบคุม เว้นแต่จะถ่ายพลังวิญญาณเข้าไปล่วงหน้า
กล่าวคือ การบังคับให้ลูกไฟที่ยิงออกไปเปลี่ยนทิศทางกลางอากาศ นับว่าค่อนข้างยากลำบาก จำเป็นต้องใช้พลังวิญญาณเพิ่มเติมจำนวนมากจึงจะบรรลุผล
อำนาจการควบคุมเปลวไฟ แบ่งออกเป็นเจ็ดด้านหลักได้แก่:
หนึ่ง การรวมตัวและบีบอัด โจมตีเป้าหมายในรูปแบบลูกไฟ ยิ่งใช้เวลาในการบีบอัดนานเท่าใด เปลวไฟที่สะสมก็จะยิ่งมาก และพลังทำลายก็จะยิ่งทรงอานุภาพ
สอง เสกเปลวไฟลุกไหม้คลุมผิวกายเอาไว้ ป้องกันผลกระทบจากการแช่แข็ง ความเสียหายจากแก๊สพิษ และการโจมตีที่คล้ายคลึงกันได้ในระดับหนึ่ง
สาม ใช้เปลวไฟเสกอาวุธชั่วคราวในรูปแบบต่างๆ เพื่อสร้างความเสียหายประเภท ‘ตัด’ ‘เผาไหม้’ หรือ ‘แทง’ ด้วยความร้อนสูง ซึ่งสามารถเลือกได้ว่าจะใช้ไฟสีแดงฉาน หรือสีขาวโชติช่วง ตามระยะเวลาในการรวบรวมพลัง
สี่ การระเบิดแบบหน่วงเวลา ด้วยการเพิ่มพลังวิญญาณและเปลี่ยนโครงสร้าง ทำให้ ‘ระเบิดเพลิง’ ที่สร้างขึ้น ระเบิดในเวลาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า แทนการจุดระเบิดในทันที
ห้า จุดระเบิดในรัศมี โดยการขยายเปลวไฟออกไปแทนการขว้าง เพื่อให้แน่ใจว่าเปลวไฟยังอยู่ในการควบคุมของตน แล้วระเบิดหรือเผาไหม้ในตำแหน่งที่กำหนด
หก การ ‘อัดไฟ’ ผ่านการสัมผัสทางกายภาพ หรือแรงกระแทกที่เกิดจากศึกระยะประชิด ค่อยๆ ‘ฝัง’ เปลวไฟใส่ร่างกายศัตรูไปทีละนิด แล้วจุดระเบิดในภายหลัง
เจ็ด การเคลือบเปลวไฟใส่อาวุธเพื่อเพิ่มความเสียหาย
เวทมนตร์ธาตุไฟสองสามชนิดที่ลูเมี่ยนได้รับ ล้วนเป็นการประยุกต์จากหลักการด้านบน แต่อาศัยเทคนิคบางอย่าง ช่วยให้บรรลุผลลัพธ์ที่มิอาจได้ด้วยวิธีการปกติ
เวทมนตร์เหล่านั้นได้แก่:
ในบรรดารายชื่อข้างต้น ‘วิชาอีกาเพลิง’ นับว่ามหัศจรรย์ที่สุด ช่วยให้ลูเมี่ยนสร้างฝูงอีกาเพลิงรอบตัวในพริบตา โดยจะมอบพลังวิญญาณให้แก่อีกาเพลิงแต่ละตัว ส่งผลให้ยังควบคุมได้ในระดับหนึ่งแม้จะแยกออกจากร่างไปแล้ว สามารถปรับวิถีกระสุนและล็อกเป้าได้พอประมาณ
หากไม่มีวิชาดังกล่าว ลูเมี่ยนที่เพิ่งเลื่อนลำดับเป็น ‘นักวางเพลิง’ ถ้าต้องการสร้างผลลัพธ์ที่คล้ายคลึงกัน จะต้องสิ้นเปลืองพลังวิญญาณอย่างน้อยสามเท่าของปัจจุบัน แถมอีกาเพลิงจะดูงุ่มง่ามและขาดความคล่องแคล่วไปมาก
‘หอกเพลิงขาวโชติช่วง’ เป็นเวทมนตร์ที่บีบอัดเปลวไฟสีขาวโชติช่วงได้เร็วกว่าปกติ แต่สามารถดำรงอยู่ในรูปทรงหอกยาวเท่านั้น และเมื่อเสริมด้วยพลังวิญญาณ ลูเมี่ยนสามารถควบคุมวิถีการโจมตีได้พอประมาณ
‘กำแพงแผดเผา’ ใช้พื้นดินเป็นสื่อกลาง โดยมีตัวเองเป็นจุดกำเนิด ผ่านการสร้างงูไฟสองตัวเลื้อยปราดเข้าหาศัตรู สร้างกำแพงที่ลุกโชนล้อมรอบตัวอีกฝ่าย
‘ลูกไฟยักษ์’ ต้องใช้เวลาประมาณสิบถึงยี่สิบวินาที เทียบเท่ากับการบีบอัดลูกไฟสีแดงฉานหลายลูกให้เป็นลูกเดียวแล้วยิงออกไป
เปลวไฟของ ‘นักวางเพลิง’ ล้วนมาจากตัวเอง โดยเน้นที่ความเสียหายทางกายภาพ แต่ก็สามารถเผาผลาญวิญญาณได้เบื้องต้น ตอนนี้ลูเมี่ยนไม่ถึงกับต้องพึ่งพาพลังจากภายนอกในการปราบกับสิ่งมีชีวิตประเภทวิญญาณแล้ว
ประการที่สี่ หลังจากได้โอสถช่วยยกระดับ ร่างกายของเด็กหนุ่มทนทานต่อเปลวไฟได้ดีมาก แม้จะถูกราดด้วยไขมันสัตว์และจุดไฟด้วยคบเพลิง ปล่อยให้ลุกไหม้นานครึ่งวัน ความเสียหายที่ได้รับก็ไม่ถึงขั้นรุนแรง แต่คลื่นกระแทกจากการระเบิดของลูกไฟ ยังคงสร้างความเสียหายในแง่การปะทะได้ตามปกติ
ลูเมี่ยนเชื่อว่า เมื่อลำดับของตนสูงขึ้น ร่างกายอาจมีอำนาจในการผสานกับเปลวไฟ
เด็กหนุ่มสะบัดมือขวาอย่างไม่ใส่ใจ ปล่อยให้เปลวไฟสีขาวโชติช่วงมลายหายไปในอากาศ
จากนั้นก็กำมือ เพื่อสร้างดาบยาวที่บีบอัดด้วยเปลวไฟสีแดงจากความว่างเปล่า
ลูเมี่ยนแกว่งดาบสองสามที แล้วส่ายหน้าด้วยความผิดหวังเล็กน้อย พลางพึมพำกับตัวเอง
“ทำร้ายศัตรูได้อย่างเดียว ใช้ป้องกันหรือปัดไม่ได้…”
ดาบเพลิงไม่มีมวลที่แท้จริง ลูเมี่ยนสงสัยว่าตนต้องไปถึงลำดับที่สูงกว่านี้ อาวุธประเภทนี้จึงจะเปลี่ยนจากนามธรรมเป็นรูปธรรม
เด็กหนุ่มสลายดาบเพลิงทิ้ง แล้วหยิบมีดของวิตถารเฮิดซ์ออกมา
เมื่อนิ้วของลูเมี่ยนลูบไปตามผิวใบมีด เปลวไฟก็ลุกโชนปกคลุมใบมีด
เขาจับด้ามมีดไว้ แล้วแกว่งแทงอากาศสองสามหน เห็นประกายไฟสีแดงเรื่อที่ยังหลงเหลืออยู่ในอากาศ ก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว เป็นฉากที่ดูน่าทึ่งอยู่ไม่น้อย
“ปัญหาในตอนนี้คือ อาวุธธรรมดาทนไฟได้ไม่นาน…” ลูเมี่ยนพยักหน้าอย่างครุ่นคิด
หลังจากยืนยันพลังวิเศษของ ‘นักวางเพลิง’ เด็กหนุ่มก็รีบเก็บโต๊ะ เปลี่ยนเสื้อเชิ้ตลินิน แจ็กเกตสีน้ำตาล และกางเกงขายาวสีเข้ม
ลูเมี่ยนมองตัวเองในกระจกอีกครั้ง ยกมุมปากขึ้นยิ้ม
ก่อนจะสวมหมวกแฟลตแก๊ปสีน้ำเงินเข้ม หันหลังกลับ และเดินไปทางประตู
ด้านหลังของเขา ก้อนเปลวเพลิงสีแดงฉานลุกไหม้อย่างเงียบงัน สว่างเจิดจ้าแล้วก็เลือนลับหายไป
…………
ถนนใหญ่ตลาด ด้านนอกอาคารสีเหลืองดินสี่ชั้น ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักงานสส.
ลูเมี่ยนนั่งลงท่ามกลางคนเร่ร่อนที่ปากตรอกฝั่งตรงข้ามถนน คอยจับตามองผู้คนที่เข้าออกอาคาร
เนื่องจากโศกนาฏกรรมโรงงานเคมีโกลด์ไวร์ระเบิด จนมีคนงานเสียชีวิตจำนวนมาก และบาดเจ็บอีกมากกว่า ผู้สื่อข่าวจากทั่วทั้งทรีอาร์จึงแห่แหนกันมาที่นี่ ส่งผลให้สำนักงานของฮิวจ์·อาร์ทัวส์ยังคงสว่างไสวด้วยแสงของโคมแก๊ส วุ่นวายกับการต้อนรับผู้มาเยือนที่มีจุดประสงค์ต่างกันไป
สส. ไม่ได้กลับบ้าน เจ้าหน้าที่ของเขาจึงต้องอยู่ในอาคารสีเหลืองดินไปโดยปริยาย จนแทบทุกห้องสว่างโร่
ลูเมี่ยนเอนหลังพิงผนังข้างถนน สังเกตผู้มาเยือนสำนักงานสส. ไปพลาง ครุ่นคิดถึงกลยุทธ์ที่ตนสามารถลงมือไปพลาง
เขาอยากจุด ‘ไฟ’ !
อยากจะ ‘เผา’ ไอ้ระยำที่นำพาโรคภัย!
เขาทราบดีว่าผลที่ตามมานั้นร้ายแรงมาก ทราบดีว่าตัวเองที่กลายเป็น ‘นักวางเพลิง’ ยังไม่แข็งแกร่งพอจะต่อกรกับเหล่าสาวกเทพมารรอบตัวรอบฮิวจ์·อาร์ทัวส์ตามลำพัง
เขาแค่อยากทำอะไรสักอย่าง แค่รู้สึกว่าทะเลเพลิงที่โชติช่วงมากที่สุด ก็ล้วนเริ่มต้นจากประกายไฟเพียงน้อยนิด
……………………………………………………..