ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 234 จริงใจ
- Home
- All Mangas
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 234 จริงใจ
ตอนที่ 234 จริงใจ
การ์ดเนอร์·มาร์ตินมองลูเมี่ยนด้วยสายตาแฝงความประหลาดใจ ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าว
“ไปคุยกันบนรถม้าดีกว่า”
ได้ยินประโยคนี้ พ่อบ้านฟอสติโนก็รีบไปนั่งหน้าห้องโดยสาร ชิดกับคนขับรถ
ลูเมี่ยนเดินตามการ์ดเนอร์·มาร์ตินขึ้นรถม้าโดยไม่พูดไม่จา และนั่งลงตรงข้าม
เมื่อรถเริ่มแล่นด้วยความเร็วไม่มาก การ์ดเนอร์·มาร์ตินมองลูเมี่ยนแล้วถาม
“ทำไมถึงเบิกเงินสดก้อนใหญ่ล่วงหน้าล่ะ”
ลูเมี่ยนตอบอย่างเถรตรง
“เพราะมีโอกาสที่จะเพิ่มพลัง ผมอยากเป็นลำดับ 7 ‘นักวางเพลิง’”
การ์ดเนอร์·มาร์ตินไม่คิดว่าเด็กหนุ่มจะพูดตรงถึงเพียงนี้ เว้นวรรคสองสามวินาที ก่อนถามพร้อมยิ้ม
“12,000 เฟลคินพอหรือ?”
“ยังมีอีก 18,000 เฟลคินที่คุณให้มาคราวก่อน และมีเงินเก็บจากเมื่อก่อนด้วย” ลูเมี่ยนตอบโดยไม่กะพริบตา
การ์ดเนอร์·มาร์ตินพยักหน้าเชื่องช้าๆ
“คุณไปเจอคนขายวัตถุดิบหลักโอสถ ‘นักวางเพลิง’ มาหรือ? ตอนนี้มีสูตรโอสถ ‘นักวางเพลิง’ แล้ว?”
“ใช่ครับ” ลูเมี่ยนไม่ปิดบัง
การ์ดเนอร์·มาร์ตินหัวเราะในคอ
“ยังจะเอามาเล่าให้ผมฟังอีกนะ ไม่ใช่ว่ามันควรเป็นความลับหรอกหรือ”
ลูเมี่ยนพูดด้วยความจริงใจอันไม่ปกติ
“ผมรู้สึกว่าตัวเองพร้อมดื่มโอสถ ‘นักวางเพลิง’ แล้ว ในอีกไม่ช้าก็คงกลายเป็นลำดับ 7…”
“เมื่อถึงตอนนั้น หากเกิดการปะทะขึ้นมา ก็คงปิดบังพลังตัวเองต่อไปไม่ได้ แค่ครู่เดียวเรื่องก็คงไปถึงหูบอสแล้ว ในเมื่อยังไงก็เลี่ยงไม่ได้ สู้ผมบอกคุณเลยไม่ดีกว่าหรือ”
นอกจากนี้ เรเน ผู้จัดการคาบาเร่ต์ก็เป็นคนของการ์ดเนอร์·มาร์ติน เรื่องที่เบิกเงินล่วงหน้า 12,000 เฟลคิน เขาจะต้องรายงานไปแน่
ลูเมี่ยนเว้นวรรคเล็กน้อยแล้วพูดต่อ
“นั่นคือหนึ่งในเหตุผล”
“อีกหนึ่งก็คือ ผมเคยเร่ร่อน อาศัยอยู่บ้านนอก ถูกออกหมายจับ ตอนนี้ผมยึดหลักการข้อเดียว นั่นคือ ใครดีกับผม ผมก็จะดีกับคนนั้น”
ประโยคนี้ของเด็กหนุ่มมิได้แฝงเจตนา ‘แสดงความภักดี’
ก็ตามที่จินนาเคยเตือน ในสถานการณ์ที่เพิ่งเคยเจอการ์ดเนอร์·มาร์ตินตัวเป็นๆ แค่ครั้งเดียว ความภักดีทำนองนี้ดูเล่นใหญ่เกินไป ยังขาดความน่าเชื่อถือ จุดประสงค์หลักของเขาคือ เพื่อแสดงท่าทีว่าตนต้องการภักดีต่ออีกฝ่าย
ในทางกลับกัน การ์ดเนอร์·มาร์ตินไม่มีทางไม่เข้าใจเหตุผลที่เด็กหนุ่มพูดความจริงล่วงหน้า จุดประสงค์ที่พูดออกไป คือเพื่อแสดงให้เห็นว่าตนเป็นคนมีสมอง
การ์ดเนอร์·มาร์ตินเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย หัวเราะในคอก่อนจะกล่าว
“ดีมาก”
“พวกบรินิแยร์ คริสโต ไม่มีใครที่ไม่มีความลับเล็กๆ กับผม เพียงแต่คิดว่าผมไม่รู้”
“คุณเข้าใจสถานการณ์ของตัวเอง เข้าใจเรื่องราวที่กำลังจะเกิด และเข้าใจทัศนคติของผมได้อย่างถูกต้อง แสดงว่าคุณฉลาดกว่าพวกเขาทั้งหมด บ่อยครั้งที่ความจริงใจเป็นวิธีที่ได้ผลที่สุด”
ความจริงใจ? ลูเมี่ยนถือโอกาสพูดอย่างจริงใจเป็นพิเศษ
“บอสครับ ผมมีเบาะแสของวัตถุดิบหลักแล้ว แต่ยังไม่รู้ว่าจะไปหาวัตถุดิบเสริมจากไหน”
“คุณช่วยผมมองหาเลือดซาลามันเดอร์อัคคี ผงไพรอกซีนลาวา และหญ้าเทียนหัวแดงได้ไหมครับ?”
ในสายตาลูเมี่ยน การ์ดเนอร์·มาร์ตินที่เป็น ‘นักล่า’ ลำดับ 6 หรือแม้แต่ลำดับ 5 คงหาวัตถุดิบเสริมของโอสถ ‘นักวางเพลิง’ ได้ง่ายกว่าฟรังก้า
ใครจะไปรู้ ตอนที่เขาเลื่อนลำดับเป็น ‘นักวางเพลิง’ อาจยังมีวัตถุดิบเสริมเหลือใช้อยู่ก็ได้?
ตามที่เขียนไว้ในสมุดบันทึกเวทมนตร์ของโอลัวร์ ตราบใดที่ดูแลอย่างเหมาะสม วัตถุดิบเสริมที่มีพลังวิญญาณ ก็สามารถเก็บรักษาไว้ได้นานโขอยู่
การ์ดเนอร์·มาร์ตินอึ้งไปครู่หนึ่ง ไม่คิดว่าชาร์ลจะกล้าขอโต้งๆ เช่นนี้
เดิมทีเขาตั้งใจไว้ว่า จะถามไถ่สารทุกข์สุกดิบสองสามคำ พอเข้าใจความต้องการแล้วก็จะเสนอความช่วยเหลือเอง เพื่อซื้อใจคน
ผ่านไปสองวินาที การ์ดเนอร์·มาร์ตินพยักหน้าเบาๆ
“ไม่มีปัญหา”
เห็นอีกฝ่ายมิได้ถามถึงปริมาณของวัตถุดิบเสริมทั้งสามชนิด ลูเมี่ยนยิ่งเชื่อมั่นว่า บอสใหญ่พรรคซาฟาห์รายนี้ คือผู้วิเศษลำดับกลางของเส้นทาง ‘นักล่า’
การ์ดเนอร์·มาร์ตินมองออกไปนอกหน้าต่าง พูดด้วยน้ำเสียงเหมือนครูสอบถามนักเรียน
“เท่าที่คุณนั่งสังเกตการณ์ด้านนอกสำนักงานสส. พบเห็นคนน่าสงสัยบ้างไหม?”
“ไม่มีครับ” ลูเมี่ยนส่ายหน้า “มีแต่คนที่ปรากฏบนหนังสือพิมพ์บ่อยๆ”
การ์ดเนอร์·มาร์ตินยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ
“นั่นสินะ มีทั้งประธานและรองประธานของสมาคมการค้าซาฟาห์เรา มีโบโน·โกลด์ไวร์เจ้าของโรงงานเคมีโกลด์ไวร์ มีเคลม็องต์ผู้จัดการของบริษัทแขนกลโนวา มีเอเตียนเจ้าของโรงงานโฟลจิสตันนักบุญเกอร์… ผมได้รับเชิญในฐานะหุ้นส่วนของท่าเรือริสต์ เจ้าของบริษัทขนส่งสินค้าริสต์ และบริษัทก่อสร้างซาฟาห์ ไม่ใช่ในฐานะบอสของพรรคซาฟาห์”
เล่าถึงตรงนี้ การ์ดเนอร์·มาร์ตินถอนหายใจเบาๆ
“แต่ในระดับของพวกเรา เรียกได้ว่าแค่พอฝืนๆ เข้าไปอยู่ในแวดวงชนชั้นสูงของทรีอาร์อย่างเต็มกลืน… ในวงการธุรกิจน่ะ บุคคลที่เป็นคนใหญ่คนโตตัวจริงคือประธานกรรมการ เจ้าของธนาคารอย่างเช่น ธนาคารทรีอาร์ ธนาคารซูสิต ธนาคารสินทรัพย์และสินเชื่อ หรือผู้ถือหุ้นขององค์กรยักษ์ใหญ่อย่าง กลุ่มสิ่งทอซูสิต สหพันธ์ถ่านหินและเหล็กกล้าเดลิส บริษัทเหล็กอนูบี สมาคม กลุ่มติดอาวุธฟัลกา บริษัทนำเข้าส่งออกไบลัม-เพิร์ธ”
ลูเมี่ยนเคยเห็นชื่อเหล่านี้ในหนังสือพิมพ์และนิตยสาร และที่ประทับใจที่สุดคือบริษัทนำเข้าส่งออกไบลัม-เพิร์ธ
เพื่อปกป้องผลประโยชน์ทางตอนใต้ของไบลัมตะวันออก รวมถึงหุบเขาเพิร์ธ บริษัทนี้ถึงกับได้รับอนุญาตให้เลี้ยงกองกำลังทหารส่วนตัวกลุ่มใหญ่และกองเรือ โดยอยู่ในรูปแบบของทหารรับจ้าง
“ก่อนดื่มโอสถ ต้องตรวจสอบให้ดีว่าร่างกายพร้อมหรือยัง ยอมเลื่อนออกไปสักพักยังดีกว่าเสี่ยง”
หลังจากตกปากรับคำ ลูเมี่ยนก็ลงจากรถม้า เดินไปยังถนนเสื้อนอกขาว
เขาจะนำเงินสดที่ติดตัวมาทั้งหมด ไปซ่อนไว้ในบ้านลับหลังดังกล่าว
เดินไปได้สักระยะ ลูเมี่ยนก็เริ่มสองจิตสองใจ
บ้านลับไม่ได้หมายความว่าจะปลอดภัย โดยเฉพาะสภาพแวดล้อมที่มีคนชั้นล่างเยอะ เช่น เขตตลาดและเขตสวนพฤกษศาสตร์ พวกขโมยขโจรงอกงามเป็นล่ำเป็นสัน
ถ้าโดนขโมยขึ้นบ้านจริง สมุดบันทึกเวทมนตร์ของโอลัวร์คงไม่เป็นไร ในสายตาพวกเขาคงไร้ค่า อย่างมากก็แค่เปิดดูว่ามีธนบัตรสอดอยู่หรือไม่ แต่เงินสองหมื่นหกพันกว่านี้ ต้องโดนขโมยไปหมดแน่นอน
“ทำกับดักไว้ที่บ้านลับสองสามอันเพื่อป้องกันขโมย?” ลูเมี่ยนเค้นสมองคิด และไม่นานก็ผุดไอเดียที่ดีกว่า
นั่นก็คือการนำเงินสองหมื่นหกพันเฟลคิน ไปจ่ายเป็นเงินมัดจำให้กับมาดามเมจิกเชี่ยน!
ด้วยวิธีนี้ ก็จะหมดปัญหาเรื่องถูกขโมยเงินสดจำนวนมาก
มาดามผู้มีฐานะสูงส่งเช่นนั้น ไม่มีทางทำเป็นลืมว่ายังไม่เคยได้รับเงินมัดจำ
ฟู่… หลังจากตัดสินใจได้ ลูเมี่ยนมาถึงบ้านลับในถนนเสื้อนอกขาว หยิบกระดาษและปากกาออกมา และเริ่มเขียนจดหมาย
“เรียนมาดามเมจิกเชี่ยนที่เคารพ”
“ผมระดมทุนได้ 26,000 เฟลคินแล้ว ซึ่งจะขอจ่ายเป็นเงินมัดจำให้คุณล่วงหน้า หากเมื่อใดผมชำระ 4,000 เฟลคินที่เหลือครบ รบกวนคุณช่วยส่งมอบตะกอนพลัง ‘นักวางเพลิง’ แก่ผมด้วย”
“ได้โปรดตอบกลับ”
ลูเมี่ยนมิได้ให้มาดามเมจิกเชี่ยนมอบตะกอนพลัง ‘นักวางเพลิง’ มาทันที เพราะตนยังไม่ได้รับวัตถุดิบเสริม ขณะเดียวกัน การเก็บรักษาตะกอนพลังถือเป็นเรื่องยุ่งยาก ซ้ำยังมีโอกาสสูญหาย
เรียกผู้ส่งสารตุ๊กตาออกมา รับถุงผ้าที่เต็มไปด้วยธนบัตรและเหรียญพร้อมจดหมายฉบับหนึ่ง ลูเมี่ยนรู้สึกผ่อนคลายลงไม่น้อย เพียงแต่ยังกังวลนิดๆ ว่า ผู้ส่งสารดังกล่าวอาจถูกดักปล้นในโลกวิญญาณ
ไม่นานนัก ผู้ส่งสารตุ๊กตาในชุดกระโปรงสีทอง ก็นำจดหมายตอบกลับจากมาดามเมจิกเชี่ยนมาให้
“เมจิกเชี่ยน”
ยังกับใบเสร็จรับเงิน… ลูเมี่ยนพึมพำและขอบคุณผู้ส่งสารตุ๊กตา
เด็กหนุ่มออกจากถนนเสื้อนอกขาวทันที กลับไปยังโรงแรมระกาทอง
เหมือนเคย หลังจากใช้ลวดเหล็กครึ่งท่อนไขประตูใหญ่ ลูเมี่ยนเดินผ่านห้องโถงที่มีเพียงแสงสลัวจากบาร์ใต้ดินส่องขึ้นมา เดินขึ้นบันไดไปตลอดทาง
ขึ้นมาถึงชั้นสอง เขาขบริมฝีปากแล้วเดินขึ้นไปต่อ จนมาถึงชั้นสาม มาถึงหน้าห้อง 310 ซึ่งเคยเป็นของฟลามง
ประตูไม้ของห้องนั้นไม่ได้ปิด เปิดกว้างอยู่ ผ้าม่านก็ไม่ได้รูด ปล่อยให้แสงจันทร์สีแดงเรื่อส่องทะลุกระจกเข้ามา
นี่เป็นธรรมเนียมที่ไม่เป็นทางการ ซึ่งค่อนข้างได้รับความนิยมในหมู่ชนชั้นล่างของทรีอาร์
ห้องที่มีคนตาย ต้องเปิดประตูและผ้าม่านทิ้งไว้สามวัน
คงกังวลว่าวิญญาณของคนตายจะไม่ยอมไปไหน
ลูเมี่ยนยืนอยู่ที่ประตู มองเข้าไปในห้องที่ไม่มีสิ่งของวางระเกะระกะแล้ว ราวกับได้เห็นคนบ้ากำลังกุมหัวร้องว่า ‘ฉันกำลังจะตาย’ อีกครั้ง
ผ่านไปครู่หนึ่ง เด็กหนุ่มถอนสายตากลับโดยไม่พูดไม่จา เดินตรงไปทางบันได
เขาได้ยินเสียงพูดคุยจากห้อง 302 เป็นเสียงที่พยายามกดให้เบา แต่ก็ควบคุมไม่ค่อยได้
ห้องนั้นเป็นของสามีภรรยารูเอลกับมิเชล คู่รักชราที่ขายรูปปลอมและเก็บขยะเป็นอาชีพเสริม
ค่อนข้างชัดเจนว่าพวกเขาไม่ได้จุดตะเกียงน้ำมันก๊าดหรือโคมไฟคาร์ไบด์ จึงไม่มีแสงสว่างส่องออกจากรอยแยกประตู
ลูเมี่ยนเดินเข้าใกล้ปากบันได แอบฟังบทสนทนาของคู่สามีภรรยาสูงอายุด้วยโสตประสาทอันดีเยี่ยมของตน
“ยายแก่ ดูสิ ดูพวกนี้สิ มีค่าทุกอย่างเลย! พวกมิสเตอร์กับมาดามโยนทิ้งมันไปเฉยๆ!”
“ถุงนี้น่าจะขายได้ถึงห้าเฟลคินเลยล่ะ…”
“ห้าเฟลคิน? อย่างน้อยก็สิบห้า!”
“ตาแก่ ถ้าได้เก็บขยะมีค่าแบบนี้ทุกวันก็คงดี”
“แบบนั้นคงต้องเลือกสส. วันละคน”
“สุริยันจงเจริญ ขอให้สส. คนนั้นจัดงานเลี้ยงทุกวันทีเถิด หากเป็นจริง แค่ปีเดียว แค่ปีเดียวเท่านั้น พวกเราก็จะได้กลับไปซื้อที่ดินสิบไร่ที่เออเมียร์เพื่อปลูกองุ่นแล้ว”
“ยายแก่ แกนี่ก็ช่างเพ้อเจ้อ”
“แค่คิดเอง มันจะเป็นไรไป? แกไม่ได้คิดบ้างหรือไง? ถึงจะไม่มีงานเลี้ยง พวกเราก็เก็บเงินได้ไม่น้อยแล้ว ถ้าเก็บอีกสี่ห้าปีก็น่าจะพอ”
“ใช่เลย ถึงตอนนั้นเราก็ไม่ต้องลำบากลำบนกันแล้ว ไม่ต้องกลัวว่าจะทำงานไม่ไหวด้วย…”
ลูเมี่ยนไม่ได้ฟังต่อ เพียงยิ้มเบาๆ เดินลงบันไดอย่างไร้เสียง กลับไปยังห้อง 207 ล้างหน้าล้างตาเล็กน้อย แล้วขึ้นเตียงนอน
นอนไปจนถึงดึก ท่ามกลางภาวะสะลึมสะลือ เขาได้ยินเสียงฝีเท้าวุ่นวายกะทันหัน
เพิ่งจะพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง มองไปทางโถงทางเดิน ประตูห้องก็ถูกเคาะ
ลูเมี่ยนเดินเข้าไปใกล้ด้วยท่าทีกึ่งระแวงกึ่งสงสัย เปิดประตูไม้ออก
ที่หน้าประตูคือนางมิเชล หญิงชราร่างเล็กผมขาว สวมกระโปรงผ้าสีเหลืองอมส้ม
เธอพูดด้วยใบหน้าตื่นกลัวเจือร้อนรน
“มิสเตอร์! รูเอลป่วยกะทันหันค่ะ! มิสเตอร์ชาร์ล คุณช่วยอุ้มเขาไปที่คลินิกบนถนนเสื้อนอกขาวให้หน่อยได้ไหมคะ?”
“ฉ…ฉันมีเงินรักษาเขาค่ะ!”
มิสเตอร์รูเอลป่วย? ก่อนเรานอน เขายังสบายดีอยู่เลย… ลูเมี่ยนรู้สึกประหลาดใจยกใหญ่
…………………………………………………….