ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 229 การแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม
- Home
- All Mangas
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 229 การแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม
ตอนที่ 229 การแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม
คนบ้ายังคงสวมเสื้อเชิ้ตผ้าลินินสกปรก กางเกงขายาวสีเหลือง ราวกับไม่มีความคิดที่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าเลย
เมื่อได้ยินคำพูดของลูเมี่ยน คนบ้าเงยศีรษะขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าที่ถูกบดบังด้วยเคราสีดำ
ดวงตาสีน้ำเงินของเขาดูเลือนรางและสับสน ราวกับว่าจดจำลูเมี่ยนไม่ได้
“ฉันกำลังจะตาย! ฉันกำลังจะตาย!” เขาขยุ้มผมสีดำยุ่งเหยิงที่ยาวถึงไหล่ของตน พลางตะโกนอย่างหวาดกลัวอีกครั้ง
ลูเมี่ยนเดินเข้าไปหา ใช้มือซ้ายที่สวมถุงมือดำ ชักปรอทเสื่อมทรามออกมา แล้วแทงใส่ไหล่ของคนบ้าอย่างไวว่อง
เสื้อเชิ้ตผ้าลินินสกปรกฉีกขาดในทันที บาดแผลไม่ลึกมาก แต่ก็มีเลือดสีแดงสดไหลซึมออกมา
คนบ้ามึนงงไปพักใหญ่ ประหนึ่งกำลังรอคอยการพิพากษาที่คาดหวังมาเนิ่นนาน
ผ่านไปไม่กี่วินาที เขาก็ทรุดลงนั่งยอง ใช้มือทั้งสองข้างค้ำพื้น ถอยหลังยิกๆ เพื่อทิ้งห่างจากลูเมี่ยน
ระหว่างถอยหลังก็แหกปากตะโกนอย่างหวาดผวาซ้ำไปซ้ำมา
“อย่าฆ่าฉัน! อย่าฆ่าฉันนะ!”
ผู้เช่าที่พักอยู่ในห้องข้างเคียง ได้ยินเสียงดังแต่ก็ไม่มีใครออกมาดู เพราะคนบ้ารายนี้ตะโกนโหวกเหวกทุกวัน ว่าตนกำลังจะตายแล้ว อย่าฆ่าตน
มีดพิสดารสีเงินดำถูกชักออกจากไหล่คนบ้าแล้ว โดยลูเมี่ยนกำลังเพ่งมองแม่น้ำมายาสีปรอทอันยาวเหยียด
เขามองเห็นครึ่งชีวิตแรกที่อุดมไปด้วยความสุขของอีกฝ่าย จนกระทั่งเห็นญาติพี่น้องทยอยจากไปทีละคนสองคนอย่างน่าพิศวง เด็กหนุ่มมีอารมณ์ร่วมในแง่มุมที่จิตใจพังทลายอย่างสิ้นเชิง ภายใต้การกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง
บางครั้ง ลูเมี่ยนก็หวังว่าตัวเองจะแตกสลายอย่างสมบูรณ์ได้เหมือนคนบ้า ไม่หลงเหลือสติปัญญาใดเลย ดำรงชีวิตไปตามสัญชาตญาณ ทำเรื่องที่คนปกติไม่ทำ จนกระทั่งถึงแก่ความตาย
แต่เขายังมีความหวัง แม้ความหวังจะริบหรี่เลือนราง ใกล้เคียงกับความเพ้อฝันมากก็ตาม มันก็ยังมีความหวัง เขาไม่อยากยอมแพ้ และต้องการไขว่คว้ามัน
ดังนั้น เด็กหนุ่มจึงมักหุนหันพลันแล่น ประสงค์จะทำลายตัวเองเป็นระยะ แต่ก็มักถูกสติที่เกิดจากความหวังริบหรี่เลือนรางนั่นกำราบไว้ จนไม่ได้ลงมือทำเรื่องโง่ๆ อย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง
เนื่องจากทราบดีว่า ตนต้องการแลกเปลี่ยนช่วงชีวิตไหน ประมาณวันที่เท่าไร ไม่นานลูเมี่ยนก็ค้นพบโชคชะตาของคนบ้าที่ได้เจอวิญญาณมงต์ซูรี ณ ใต้ดินเขตตลาด จึงใช้ปลายมีดปอกมันออกมา เปลี่ยนให้กลายเป็นหยดของเหลวสีปรอท ส่วนโชคชะตาดื่มเหล้าอย่างเปรมปรีดิ์ที่แต่เดิมเป็นของ ‘แมงป่องดำ’ โรเจอร์ ก็เข้าไปอยู่ในร่างของคนบ้าแทน
ลูเมี่ยนไม่สนใจเสียงร้องตะโกนด้วยความหวาดกลัวของคนบ้า เพียงย่อตัวลงเบื้องหน้าอีกฝ่าย ใช้เสื้อผ้าของคนบ้าเช็ดใบมีด และช่วยห้ามเลือดเบื้องต้น
ถัดมา เด็กหนุ่มก็ลากเก้าอี้ตัวเดียวมานั่งดู รอให้การแลกเปลี่ยนโชคชะตาเสร็จสมบูรณ์
“ฉันกำลังจะตาย! ฉันกำลังจะตาย!”
“อย่าฆ่าฉัน! อย่าฆ่าฉัน!”
ท่ามกลางเสียงตะโกนของคนบ้า นาทีแล้วนาทีเล่าผ่านไป ในที่สุด ‘ปรอทเสื่อมทราม’ ก็สั่นไหวแผ่วเบา
เสียงร้องของคนบ้าหยุดลงกะทันหัน พร้อมกับลุกพรวดขึ้นมา นัยน์ตากลับมาใสกระจ่างอีกครั้ง พลางพึมพำกับตัวเอง
“เราต้องไปดื่มเหล้า… เราต้องไปดื่มเหล้า…”
ลูเมี่ยนคลี่ยิ้ม ลุกขึ้นยืนหลังตรงพลางพูด
“เลี้ยงฉันหน่อยสิ ถือเป็นค่าตอบแทนที่ช่วยให้นายหลุดพ้นจากวิญญาณมงต์ซูรี”
แน่นอน ค่าตอบแทนที่แท้จริงก็คือ โชคชะตา ‘ได้พบวิญญาณมงต์ซูรี’
ขอเพียงวางแผนให้ดี และเป้าหมายขาดความรัดกุมแม้เพียงเล็กน้อย มันจะกลายเป็นอาวุธฆาตกรรมอำพรางที่ดีเลิศ
คนบ้าอึ้งไปชั่วขณะ แล้วจึงถาม
“หลุดพ้นแล้ว?”
“นายไม่ต้องเชื่อก็ได้” ลูเมี่ยนหันหลังกลับ เดินไปตามทางมืดๆ ที่ปราศจากโคมไฟ
คนบ้าถูกชักนำโดยความอยากเหล้าอย่างแรงกล้า จึงตามไปโดยไม่ทันคิด
ระหว่างทางลงไปยังบาร์ใต้ดิน เขาคอยมองรอบตัว พบว่าทุกสิ่งแตกต่างไปจากปกติ
ความรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งจ้องมองตนจากในความมืด บัดนี้ไม่หลงเหลืออยู่แล้ว!
คนบ้านั่งลงตรงเคาน์เตอร์บาร์ด้วยความสงสัยอย่างยิ่ง ด้วยท่าทีกึ่งเหม่อ เขาสั่งเบียร์ข้าวโอ๊ตสองแก้ว แก้วหนึ่งให้ลูเมี่ยน อีกแก้วก็ดื่มเองรวดเดียวหมด เหลืองแต่ฟองสีขาวที่มุมปาก
เนื่องจากเขามีสติเป็นครั้งคราว เคยมาดื่มเหล้าที่นี่บ้าง จึงไม่มีใครมองว่าเป็นปัญหา
หลังจากได้สนองความอยากเหล้าเต็มคราบแล้ว คนบ้าก็หันไปมองลูเมี่ยน ถามอีกครั้งว่า
“ผมหลุดพ้นจากวิญญาณมงต์ซูรีแล้วจริงหรือ?”
“คุณทำได้ยังไง?”
“ฉันกำจัดวิญญาณมงต์ซูรีไปแล้วน่ะ แต่ไม่รับปากนะว่ามันจะไม่คืนชีพ” ลูเมี่ยนตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “แน่นอน สำหรับใครที่เคยเจอมันแล้วยังไม่ตาย ก็คงจะไม่ถูกตามรังควานอีกแล้ว… นายต้องจำได้แน่ คราวก่อนที่เราพบกัน ฉันเล่าให้ฟังแล้วว่าตัวเองก็ได้เจอกับวิญญาณมงต์ซูรีมาเหมือนกัน ดูสิ จนถึงตอนนี้ยังสบายดีอยู่เลย”
“จริงหรือ?” คนบ้าไม่กล้าเชื่อว่า หนุ่มหล่อคนนี้จะเก่งกาจระดับที่กำจัดวิญญาณมงต์ซูรีได้
แม้แต่คนของศาสนจักรก็ทำไม่สำเร็จ!
ลูเมี่ยนหัวเราะ
“ล้อเล่นน่ะ ฉันแค่เจอคาถาช่วยป้องกันไม่ให้ถูกวิญญาณมงต์ซูรีตามรังควานต่างหาก แต่ต้องใช้เลือดสดของผู้ที่ถูกรังควานเป็นสื่อกลาง”
คนบ้าเข้าใจในทันที
“คุณถึงต้องแทงผมสินะ…”
เขารีบพูดต่อด้วยท่าทีเขินๆ
“ช่วงนี้ผมคงยังจ่ายค่าตอบแทนไม่ได้ เงินเก็บแทบไม่เหลือแล้ว คงต้องหางานใหม่ให้ได้ก่อน…”
“เรียกนายว่าอะไรดี” ลูเมี่ยนขัดจังหวะพูดของคนบ้า
“เรียกฟลามงก็พอ” คนบ้าถามลูเมี่ยนบ้าง “แล้วคุณล่ะ?”
“ชาร์ล” ลูเมี่ยนยกเบียร์ข้าวโอ๊ตขึ้นดื่มอึกๆ
เมื่อเบียร์ในแก้วเหลือเพียงชั้นบางๆ คนบ้าฟลามงก็เริ่มกึ่มๆ จึงคว้าแขนลูเมี่ยนแล้วเริ่มพร่ำ
“รู้ไหม… ผมเคยเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยมาก่อน ต้องคอยรับผิดชอบความปลอดภัยของพวกนักศึกษาบางกลุ่มด้วย”
“นักศึกษาพวกนั้นนะ หลายคนกล้าหาญและบ้าบิ่นเกินพอดี กล้าทำไปหมด อยากลองทุกอย่าง หากเราห้ามปราม พวกเขาก็จะตะโกนคำขวัญ ‘อิสรภาพ’ ‘อิสรภาพ’ ใส่หน้าเรา”
“พวกเขาทำแม้กระทั่งจัดงานพรอม (Prom) กันในสุสานใต้ดิน ใช้กระดูกศพนิรนามเป็นฟืนสุมไฟให้ตัวเองอุ่นก้น ไม่เชื่ออะไรทั้งนั้น ไม่กลัวอะไรเลย แน่นอน ทีแรกผมก็เป็นไปกับพวกเขาด้วย”
ฟลามงเล่าถึงช่วงชีวิตครึ่งแรกของตน บ้างก็ภูมิใจ บ้างก็ยิ้มร่า บ้างก็ประณามเรื่องไร้สาระ และบ้างก็ระลึกถึงความหลังดีๆ
“คุณลงไปใต้ดินทรีอาร์เพื่อห้ามไม่ให้นักศึกษาผจญภัย?” ลูเมี่ยนจิบเบียร์ไปด้วย พลางถามอย่างเป็นกันเอง
ฟลามงส่ายหัว
“เปล่าครับ ผมเป็นนักวิชาการด้านแร่ธาตุ การกระจายตัวของชั้นหินใต้ดินในทรีอาร์มีลักษณะพิเศษมาก น่าศึกษาวิจัยมากทีเดียว พวกเราเคยร่วมกับคณะแพทย์ฯ สร้าง ‘พิพิธภัณฑ์แร่ธาตุวิทยาและพยาธิวิทยา’ ในสุสานใต้ดินด้วย…”
“ผมเพิ่งกลับออกจากพิพิธภัณฑ์ อ้อมไปยังใต้ดินเขตตลาด แล้วกะว่าจะตรงกลับบ้านเลย แต่ดันไปเจอวิญญาณมงต์ซูรีเข้า”
“ซันดรีนาที่รักของผม… บาสเตียนของพ่อ…”
ฟลามงยกมือทั้งสองข้างกุมศีรษะ เสียงของเขาเปลี่ยนเป็นความเจ็บปวดรวดร้าว
ได้เห็นสถานการณ์ดังกล่าว ลูเมี่ยนจึงเปลี่ยนเรื่องคุย
“ชั้นหินใต้ดินของทรีอาร์มีลักษณะพิเศษมาก?”
“ครับ” ทีแรกฟลามงตอบโดยสัญชาตญาณ ก่อนจะดึงสติกลับมา แล้วร่ายยาวไม่พัก “พวกเราตั้งชื่อที่เป็นบทกวีให้ชั้นหินพวกนั้นด้วย จากบนลงล่างตามลำดับคือ ‘ช่อบุปผา’ ‘ดาวเมษา’ ‘หญ้าแห้วหมู’ …”
ลูเมี่ยนกับฟลามงคุยกันจนถึงรุ่งสาง บรรยากาศในช่วงหลังค่อนข้างตื่นเต้น ใบหน้าที่ปกคลุมด้วยเคราดำดูแดงเรื่อ
เขาไม่กลับไปเสียสติอีก มั่นใจแล้วว่าไม่มีสิ่งใดคอยจ้องตนในความมืด จึงกลับเป็นคนปกติ
ลูเมี่ยนโบกมือลาฟลามงที่เมามาย ถอนสายตากลับพลางอมยิ้ม เดินเข้าห้อง 207 และเริ่มเขียนจดหมายถึงมาดามเมจิกเชี่ยน
ช่วงแรกเด็กหนุ่มเกริ่นว่า ตนเกือบถูกเทอร์มีโพลอสดลใจจนลากชาร์ลีเข้ามาเอี่ยว รวมถึงเรื่องที่ฆ่า ‘แมงป่องดำ’ โรเจอร์กับบริวารคนอื่นๆ ของมาดามจันทรา จากนั้นเขาก็แจ้งว่าโอสถ ‘นักยั่วยุ’ ถูกย่อยอย่างสมบูรณ์แล้วเพราะรายหลัง อยากทราบว่ามาดามมีสูตรโอสถ ‘นักวางเพลิง’ กับตะกอนพลังหรือไม่ และต้องแลกเปลี่ยนด้วยสิ่งใด
ลูเมี่ยนเก็บกวาดสถานที่ให้สะอาด หลังจากอัญเชิญตุ๊กตาผู้ส่งสารมารับจดหมาย ไม่นานมาดามเมจิกเชี่ยนก็ตอบกลับมา:
“ไม่เลว เธอตระหนักได้ด้วยตัวเองแล้วว่า เจ้าชื่อยาวนั่นส่งอิทธิพลดลใจเธอตอนไหนบ้าง และคิดจะทำอะไร ขอให้รักษาความระมัดระวังนี้ไว้”
“จากคำบรรยายของเธอ ‘มาดามจันทรา’ ผู้นั้นคงเป็นลำดับ 3 แล้ว เมื่อประสบความสำเร็จในการยั่วยุครึ่งเทพอย่างแท้จริง เป็นธรรมดาที่เธอจะย่อยโอสถได้หลายส่วน”
“หากฉันจำไม่ผิด พรุ่งนี้กลางคืนเธอต้องไปร่วมชุมนุมของมิสเตอร์ K และแสดงตนว่าต้องการเปลี่ยนความศรัทธา หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง เธอจะกลายเป็นหนึ่งในพวกเขาอย่างแท้จริงแล้ว ถือเป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจขั้นแรกที่ฉันมอบหมาย เมื่อถึงตอนนั้น ฉันจะยกสูตรโอสถ ‘นักวางเพลิง’ ให้เธอโดยไม่คิดค่าตอบแทน”
“ตะกอนพลัง ‘นักวางเพลิง’ ยังอยู่กับฉัน แต่เราต้องยึดหลักการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม”
“ในอินทิส วัตถุดิบหลักสองชนิดของโอสถ ‘นักวางเพลิง’ มีราคาเกิน 18,000 เฟลคิน และหลายครั้งอาจเกิน 20,000 ด้วยซ้ำ แต่ถ้าเป็นราคาของ ‘ตะกอนพลัง’ โดยทั่วไปจะอยู่ราวๆ 35,000 เฟลคิน”
“สิ่งนี้บอกอะไรเรา? มันบ่งบอกว่าในอินทิสมีคนไม่น้อยกลายเป็น ‘นักวางเพลิง’ แต่ก็มี ‘นักวางเพลิง’ จำนวนไม่น้อยที่เสียชีวิต”
“ในฐานะผู้ถือไพ่สำรับเล็ก ฉันจะให้ส่วนลดกับเธอเป็นพิเศษ โดยจะขายตะกอนพลังก้อนดังกล่าวในราคาเพียง 30,000 เฟลคิน”
“ขอให้โชคดี”
ฟู่… 30,000 เฟลคิน… ลูเมี่ยนถอนหายใจ รู้สึกว่าอย่างน้อยก็ไม่ใช่จำนวนเงินที่ห่างไกลเกินเอื้อม
ปัจจุบันเขามีเงินออมอยู่ราวสี่พันกว่าเฟลคิน เคียวชั่วร้ายที่ชื่อ ‘พิธีเก็บเกี่ยว’ ก็คงขายได้ราคาดี เมื่อถึงตอนนั้น ยืมจากฟรังก้าอีกสักหน่อย ยักยอกเงินสดจากคาบาเร่ต์ลมเอื่อยอีกสักหน่อย ก็คงไม่ห่างไกลจาก 30,000 เฟลคินมากนัก
และ “มาดามจันทรา” ก็ไม่ผิดจากที่ลูเมี่ยนคาดไว้ — ในเมื่อพระองค์เปลี่ยนจาก “คุณนาย” เป็นสุภาพสตรีผู้ฟูมฟักเทพแล้ว ลำดับต้องไม่ใช่แค่ 4 แน่นอน
ดีที่ในการต่อสู้คราวก่อน พวกเราทำตัวเหมือนกำลังจะแพ้อยู่ตลอด จน ‘แมงป่องดำ’ โรเจอร์มองว่าไม่จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือ… ลูเมี่ยนเผากระดาษจดหมายทิ้ง ล้างหน้าล้างตาเล็กน้อย แล้วล้มตัวลงบนเตียง เข้าสู่ภาวะหลับใหล
…………
เลยหกโมงเช้ามาเล็กน้อย เด็กหนุ่มเพิ่งจะล้างหน้าล้างตาเสร็จ ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว เสื้อกั๊กสีดำ กางเกงขายาวสีน้ำตาล และรองเท้าบูตหนังไร้สายรัด ก็ได้ยินเสียงคนย่ำเท้าลงมาจากชั้นสาม
ไม่ใช่ใครนอกจากคู่สามีภรรยารูเอลและมิเชล ซึ่งใส่เสื้อผ้าสกปรกส่งกลิ่นขยะเหม็นเน่า
รูเอลมองลูเมี่ยนหน้าประตูห้อง 207 แล้วตะโกนเรียกอย่างร้อนใจปนตื่นตระหนก
“ชาร์ล มิสเตอร์ชาร์ล!”
“คนบ้านั่นตายแล้ว!”
คนบ้านั่นตายแล้ว? ฟลามงตายแล้ว? ลูเมี่ยนชะงักงันทันที ก่อนจะวิ่งแซงคู่สามีภรรยารูเอลและมิเชล ตรงไปยังชั้นสามในรวดเดียว
ประตูห้อง 310 เปิดอ้าอยู่ ลูเมี่ยนมองเข้าไปแวบเดียวก็เห็นฟลามงแขวนตัวอยู่ริมหน้าต่าง
ศพหันหน้าเข้าหาประตูห้อง โกนหนวดเคราจนเกลี้ยงเกลา เผยให้เห็นใบหน้าที่ดูภูมิฐานแต่ซูบผอม
ยามนี้เขาไม่มีลมหายใจแล้ว ใบหน้าเปลี่ยนเป็นม่วงคล้ำ ตาโปนเล็กน้อย ปากอ้ากว้าง ร่างกายอาบแสงอรุณสดใสที่ส่องจากนอกหน้าต่าง แขวนนิ่งอยู่ในเข็มขัดที่ผูกติดกับกรอบหน้าต่างอย่างเงียบเชียบ
ด้านล่างของเขา บนโต๊ะไม้ตัวนั้น มีตะเกียงน้ำมันก๊าดที่ใกล้ดับวางอยู่ หนังสือเล่มใหญ่สองสามเล่ม และกระดาษขาวแผ่นหนึ่งที่ถูกปากกาทับไว้ ดูเหมือนจะมีบางสิ่งเขียนอยู่บนนั้น
ลูเมี่ยนเงียบไปสองสามวินาที ก้าวเดินไปอย่างเชื่องช้า ตรวจดูกระดาษแผ่นดังกล่าว
เนื้อหาถูกเขียนด้วยตัวอักษรกลมมนของอินทิส มีใจความว่า:
“ตอนที่ผมบ้า กลับยังอยากมีชีวิต”
“แต่พอผมสร่าง กลับหาความหมายของชีวิตไม่พบ”
“กรุณาฝังศพผมไว้ที่ ‘ห้องใต้ดินตะเกียงหลุมศพ’ ในสุสานใต้ดิน”
ลูเมี่ยนเงยหน้าขึ้น มองไปยังนัยน์ตาสีน้ำเงินที่นูนออกมาเล็กน้อย ประหนึ่งกำลังสบตากับฟลามงที่สิ้นลมแล้ว
เด็กหนุ่มจ้องมองแน่นิ่ง ราวกับกลายเป็นหินไป ไม่ไหวติงเป็นเวลานาน
…………………………………………………….