ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 211 สื่อวิญญาณ
- Home
- All Mangas
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 211 สื่อวิญญาณ
ตอนที่ 211 สื่อวิญญาณ
ในขณะที่ลูเมี่ยนกำลังจาม ฟรังก้าเดินไปสองก้าว คุกเข่าลงข้างศพเอฟฟ์ปลอม เพื่อตรวจสอบศพนั้น
หญิงสาวบีบมือแผ่วเบา ทำให้เปลวไฟสีดำที่ยังคงลุกโชนดับสนิท
“โชคดีที่วิญญาณยังสลายไปไม่หมด” ฟรังก้าถอนหายใจโล่งอก ลุกขึ้นยืน และหยิบผงสีดำราวกับคืนเดือนมืดออกมา
ลูเมี่ยนเก็บขวดแก๊สฉุนเข้าที่เดิม มองไปทางฟรังก้าแล้วพูด
“คุณจะสื่อวิญญาณ?”
ในการต่อสู้เมื่อครู่ เอฟฟ์ปลอมแสดงฝีมือที่เทียบชั้นผู้วิเศษลำดับกลาง ซ้ำยังมีความสามารถประหลาด เด็กหนุ่มมิอาจอ่อนข้อได้เลย ไม่เช่นนั้นบทสรุปอาจสวนทางกับปัจจุบัน
ฟรังก้าพยักหน้าแผ่วเบา แล้วกล่าวว่า
“ใช่ ถ้าสื่อวิญญาณตอนนี้จะได้ผลดีมาก”
“คุณจะขอพรจากองค์ใด” ลูเมี่ยนถามอย่างเป็นกันเอง
ฟรังก้าหัวเราะเสียงค่อยก่อนจะตอบ
“ไม่มี”
“ฉันผนวกหลักการของศาสตร์ ‘ทำนายด้วยกระจกวิเศษ’ แล้วสร้างเทคนิคการสื่อวิญญาณขึ้นมาเอง ถึงแม้จะเทียบพวกมืออาชีพไม่ได้ แต่ก็เพียงพอแล้ว ซ้ำยังไม่ต้องถูกเทพในขอบเขตจับตามองด้วย”
“ฉลาดไม่เบา” คำชมของลูเมี่ยนแฝงไปด้วยการเสียดสีเบาๆ
ฟรังก้าพูดตอบโต้อย่างขัดเคืองปนขำขัน
“สิ่งนี้เรียกว่า ‘จิตวิญญาณแห่งการค้นคว้า’ พวกเรา… เอ่อ… พี่สาวของนายก็วิจัยและทดลองแบบนี้เหมือนกัน ปกติแล้วฉันเป็นพวกขี้เกียจคิด ไม่ใช่เพราะไร้สมอง แต่เพราะเวลาคิดมากไปแล้วมันปวดหัว การใช้ชีวิตเนี่ย ผ่อนคลายหน่อยดีกว่า ไม่ต้องสนใจเรื่องหยุมหยิมนักหรอก”
เธอมองผ่านไปยังชาร์ลีที่ยังคงหมอบอยู่ในอุโมงค์ซากหิน พลางกลืนคำพูดที่กำลังจะเอ่ยถึงประธานสมาคมวิจัยลิงบาบูนขนหยิก ‘แกนดาล์ฟ’ กลับลงไป
เพราะไม่คิดอะไรเยอะ ก็เลยปรับตัวได้ดีหลังจากกลายเป็นผู้หญิง? ลูเมี่ยนเห็นฟรังก้าเริ่มสร้างกำแพงวิญญาณล้อมรอบ จึงเดินไปทางชาร์ลี
เมื่อชาร์ลีเห็นชาร์ลเดินเข้าใกล้ ก็รีบตื่นขึ้นมาทันใด ใช้สองมือเท้าคลานออกจากกองซากหิน
ลูเมี่ยนเพ่งมองอีกฝ่าย ใบหน้าไร้อารมณ์โดยสิ้นเชิง
ในใจกำลังคิดว่า
ชาร์ลีเพิ่งเห็นการต่อสู้ระหว่างเรา ฟรังก้า และเอฟฟ์ปลอม ถ้าเขาไปขอพรคุ้มครองจากวิหารสุริยันเจิดจรัส เมื่อเผชิญคำถามจากผู้วิเศษทางการที่ใช้พลังวิเศษ ชาร์ลีน่าจะปกปิดไม่ได้ เพราะครั้งนี้ไม่เหมือนคราวก่อน ผู้วิเศษทางการจะไม่ประมาทพลาดพลั้งอีกแล้ว
ชาร์ลีรู้สึกโชคดีและมีความสุขมากในตอนแรก แต่หลังจากถูกลูเมี่ยนจ้องอยู่หลายวินาที หัวใจก็เต้นรัวราวกับจังหวะกลองของวงดนตรีในคาบาเร่ต์
เขาถามด้วยความประหม่าเจือสับสน
“เกิดอะไรขึ้น?”
ลูเมี่ยนเห็นดวงชะตาของชาร์ลียังคงเป็นสีแดงปนดำ เพียงแต่ดูดีขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ภัยคุกคามจากซูซานน่า·มาติสยังไม่ถูกถอดรากถอนโคน
เด็กหนุ่มนิ่งไปอีกสองสามวินาทีก่อนจะตอบ
“อย่าลืมไปที่วิหารนักบุญโรแบร์นะ”
ในสถานการณ์ที่ติดต่อกับคุณนายปัวริสได้แล้ว ลูเมี่ยนไม่จำเป็นต้องอยู่ในเขตตลาดคนซื่อ หรือต้องบริหารจัดการคาบาเร่ต์ลมเอื่อย ตราบใดที่ยังไม่แยกตัวออกจากพรรคซาฟาห์ ก็ยังมีความหวังที่จะทำภารกิจของมิสเตอร์ K ให้สำเร็จได้
มิหนำซ้ำ ครั้งนี้ยังเกี่ยวพันถึงฟรังก้าด้วย มีเธออยู่ข้างหมอนของบอส ช่วยพูดเชิดชูเกียรติให้ฟัง ถึงแม้ตนจะไม่มีคาบาเร่ต์ลมเอื่อยแล้ว ก็คงยังได้ดูแลธุรกิจหาเงินอื่นอยู่ แต่รายได้อาจไม่สูงนัก
“อ…อื้อ!” ชาร์ลีถอนหายใจโล่งอก
เขาเคยผ่านเรื่องราวมาไม่น้อย ผนวกกับนิสัยร่าเริง จัดอยู่ในประเภทยิ่งมีคนมากยิ่งตื่นเต้น ไม่นานจึงเกิดความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา ชี้ไปทางเอฟฟ์ปลอมที่นอนอยู่บนพื้นแล้วเอ่ยปากถาม
“นั่นใครหรือ ทำไมถึงหน้าตาเหมือนนายเปี๊ยบเลย…”
ชาร์ลียังพูดไม่ทันจบ ก็ชะงักไปก่อน เพราะเมื่อเอฟฟ์ปลอมตายไป กล้ามเนื้อใบหน้าของศพก็หย่อนยานลง ไม่เหมือนชาร์ลอีกต่อไป ดูแปลกตายิ่งนัก
“สาวกเทพมาร พวกที่ได้รับพลังประหลาดๆ น่ะ” ลูเมี่ยนอธิบายรวบรัด ในแบบที่ชาร์ลีพอจะเข้าใจ “มันเชื่อมโยงกับซูซานน่า·มาติส”
ชาร์ลีฟังแล้วขนลุกซู่
“อย่างนี้นี่เอง ถึงได้เซ้าซี้พาฉันลงใต้ดินตลอด…”
ลูเมี่ยนอดไม่ได้ที่จะด่า
“เจ้าโง่ เดินอยู่กับมันตั้งนาน ไม่รู้สึกผิดปกติเลยหรือไง?”
“แค่หน้าตาเหมือนฉัน ก็นับว่าเป็นฉันได้แล้ว?”
ชาร์ลีพูดอย่างเก้อเขิน
“ตอนลงใต้ดินมา ฉันก็ตงิดใจแล้วว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง”
“หมอนี่เอาแต่เงียบ บอกเพียงว่าจะพาลงไปที่ใดสักแห่งข้างล่าง เพื่อสะสางปัญหาของซูซานน่า·มาติสให้เรียบร้อย ไม่เหมือนนายที่ชอบพูดเล่น ชอบแกล้งอำ”
“ฉันนึกว่าเพราะสถานการณ์ค่อนข้างเร่งด่วน นายเลยไม่ค่อยมีอารมณ์…”
พอนึกถึงว่าชาร์ลีเป็นแค่คนธรรมดา ต่อให้ฉลาดเพียงใด ก็ยากที่จะจับได้ว่าการปลอมตัวที่กระทั่งผู้วิเศษทางการก็หลงกลเข้าเต็มเปา เกิดจากพลังเหนือธรรมชาติ ลูเมี่ยนทำได้เพียงถอนใจ แล้วหันเหสายตาไปทางฟรังก้า
‘แม่มด’ รายนี้เตรียมตัวเสร็จแล้ว พร้อมใช้เทคนิคสื่อวิญญาณที่คิดค้นขึ้นเอง
เธอยืนอยู่หน้าศพเอฟฟ์ปลอมที่จุดเทียนขาวสองเล่มวางไว้ กล่าวคาถาด้วยภาษาเฮอร์มิสเสียงเบา
เนื่องจากมีกำแพงวิญญาณขวางกั้นอยู่ ลูเมี่ยนจึงได้ยินแค่บางส่วน นั่นรวมถึงคำบรรยายเกี่ยวกับตัวฟรังก้าเองและเอฟฟ์ปลอม อย่างแรกคือแหล่งพลังวิญญาณ เป็นรากฐานการดำรงอยู่ของพิธีกรรม ส่วนอย่างหลังคือวัตถุแห่งการวิงวอน หรือก็คือ ‘กระจกวิเศษ’ ที่จะเป็นสื่อกลางสำหรับตอบคำถาม
ส่วนชาร์ลีได้ยินน้อยกว่า ซ้ำยังฟังไม่เข้าใจ
ฟรังก้าถือกระจกแต่งหน้า ซึ่งผิวมันเงากำลังส่องแสงเจือจาง ด้านในดูลึกลับและมืดมนยิ่งนัก ราวกับจมลงก้นแม่น้ำสักสายหนึ่ง
ใบหน้าอันซีดเซียวและพร่าเลือน ปรากฏบนผิวกระจกทันที คล้ายคลึงกับหน้าตาของศพเอฟฟ์ปลอมในตอนนี้ราวห้าหกส่วน
ฟรังก้าเปลี่ยนมาถามด้วยภาษาอินทิส
“แกเป็นใคร มาจากองค์กรอะไร”
เอฟฟ์ปลอมตอบอย่างงุนงงปนเหม่อลอย
“ลุนทาส เป็นสมาชิกของสมาคมเสียวซ่าน”
ลุนทาส… ลูเมี่ยนจำชื่อนี้ได้
บนโปสเตอร์ด้านนอกประตูของกรงพิราบเก่า มักมีคำว่า ‘ลุนทาส’ ปรากฏอยู่บ่อยๆ ในฐานะตัวประกอบชายคนสำคัญ
ฟรังก้าถามต่อไป
“สมาคมเสียวซ่านเป็นองค์กรแบบไหน เกี่ยวข้องยังไงกับซูซานน่า·มาติส”
เอฟฟ์ปลอม ลุนทาส พูดด้วยเสียงล่องลอย
“สมาคมเสียวซ่านเดิมทีเป็นกลุ่มลับของหญิงรักหญิง ซูซานน่าคือหนึ่งในสมาชิก”
“เธอเบื่อหน่ายการต้องหมุนเวียนอยู่ในอ้อมกอดของ สส. ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ นายธนาคาร เจ้าพ่อหนังสือพิมพ์ และพวกผู้ชายดังๆ คนอื่น จึงแสวงหาการปลอบโยนจากสุภาพสตรีและคุณนายที่เป็นเพศเดียวกัน ต่อมา เธอได้รับการดลใจ ได้รับพรวิเศษ กลายเป็นนักบวชหญิงของพระองค์ท่าน และบ่มเพาะสมาคมเสียวซ่านที่มีสมาชิกไม่มากนัก ให้กลายเป็นองค์กรลับที่นับถือพระองค์ท่าน”
“ในสังคมปัจจุบัน สตรีไม่สะดวกที่จะออกหน้าในหลายเรื่อง สมาคมเสียวซ่านจึงเริ่มบ่มเพาะสมาชิกชายขึ้นมา ซึ่งก็สามารถได้รับพรเช่นกัน แต่ไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมในกิจกรรมสำคัญที่สุด หรือรู้เรื่องลับที่สุด”
“เจ๋งเป้ง!” ฟรังก้าปรบมือเบาๆ
เธอรู้ว่า ‘พระองค์ท่าน’ ที่ลุนทาสเอ่ยถึง น่าจะเป็นเทพมารที่ชื่อ ‘มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย’ แต่มิได้ขุดลึกเรื่องนี้ต่อ ด้วยเกรงว่าจะได้ฟังปัญญาเร้นลับที่ไม่ควรฟัง
กลุ่มลับของหญิงรักหญิง… สมาชิกชายไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมในกิจกรรมสำคัญที่สุด… ลูเมี่ยนนึกถึงเรื่องหนึ่งทันที
เด็กหนุ่มยืนอยู่ริมขอบกำแพงวิญญาณ มองกระจกแต่งหน้าในมือฟรังก้า แล้วเอ่ยถามว่า
“ที่เฮิดซ์ต้องซื้อบริการเป็นประจำ ซ้ำยังต้องหาเหยื่อ เป็นเพราะสมาคมเสียวซ่านตอบสนองกำหนัดของมันไม่ได้สินะ?”
“ถูกต้อง” ลุนทาสตอบ “สตรีรักเพียงสตรี สมัยที่ฉันยังเป็น ‘ผู้เสพติดสังวาส’ ก็ต้องแก้ปัญหาเอง โชคดีที่ฉันหล่อกว่าเขา มีสตรีมาชมชอบอยู่บ้าง ในเขตตลาดก็มีหญิงขายบริการมากพอ ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงตามหาความตื่นเต้น”
“โคตรเอา!” ฟรังก้าใช้ศัพท์แปลกๆ แสดงอารมณ์ความรู้สึก แล้วถอนหายใจอย่างอัศจรรย์ใจ “ไม่มีสมาคมลับของหญิงรักหญิงตามปกติบ้างเลยหรือ?”
“มี” ลุนทาสตอบอย่างมั่นใจ “เฉพาะที่ฉันรู้ ก็มี ‘สมาคมบัดเดี๋ยวนี้’ กับ ‘สมาคมเซียนวารี’ … พวกเธอมักจะจัดงานเลี้ยงรื่นเริงของสตรีที่ร้านกาแฟเรือนแดงในชาโย พวกเรากำลังพยายามติดต่อพวกเธอ อยากให้มาร่วมเป็นสาวกของพระองค์ท่านด้วยกัน” (หมายเหตุ 1)
ชาโยตั้งอยู่บนฝั่งเหนือของแม่น้ำเซอเรนโซ่ในเขต 16 หรือก็คือเขตจัตุรัส ซึ่งตั้งชื่อตามอนุสาวรีย์แห่งชัยชนะของจักรพรรดิโรซายล์มหาราช มีลักษณะเป็นเมืองเล็ก มีป่าชานเมืองกว้างใหญ่ เป็นหนึ่งในแหล่งผลิตไวน์ชั้นดี ไวน์ชาโยมีชื่อเสียงไปทั่วโลก รองจากไวน์แดงเออเมียร์เท่านั้น
ฟรังก้าฟังแล้วรู้สึกใฝ่ฝันไกลโพ้น ทวนคำนามเหล่านั้นซ้ำไปซ้ำมา
“ชาโย… ร้านกาแฟเรือนแดง… งานเลี้ยงรื่นเริงของสตรี…”
ลูเมี่ยนให้ความสนใจกับคำว่า ‘ผู้เสพติดสังวาส’ มากกว่า รู้สึกว่ามันสอดคล้องกับความวิตถารของเฮิดซ์ คงเป็นลำดับ 8 บนเส้นทางของ ‘มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย’ แต่เด็กหนุ่มเกรงว่าเวลาสำหรับการสื่อวิญญาณจะไม่พอ จึงไม่รีบถามเนื้อหาทางด้านนี้ แต่เปลี่ยนประเด็นกลับไปยังซูซานน่า·มาติส
“ซูซานน่า·มาติสกลายเป็นวิญญาณมารได้ยังไง ทำไมแกถึงพาชาร์ลีลงใต้ดิน?”
ใบหน้าซีดเซียวรางเลือนของลุนทาสบิดเบี้ยวไปเล็กน้อย
“เธอเสียชีวิตระหว่างการรับพรครั้งหนึ่ง จนกลายเป็นวิญญาณมาร”
“เธอบอกพวกเราว่า เนื่องจากชื่อของเธอยังคงถูกผู้คนในเมืองทรีอาร์จำนวนมากเล่าขาน ภาพเขียนของเธอยังถูกผู้ชายหลายคนใช้เป็นเครื่องปลอบประโลมตัวเอง ดังนั้น เธอจึงมิได้พังทลายอย่างสิ้นเชิง ยังคงรักษาสติสัมปชัญญะไว้ได้ระดับหนึ่ง แต่ชัดเจนว่านิสัยกลายเป็นสุดโต่ง เอาแต่ยึดติดกับเรื่องที่ตัวเองสนใจ โดยไม่คำนึงถึงสิ่งอื่น”
“คราวก่อนเธอถูกผู้วิเศษทางการโจมตีสถานหนัก ตอนนี้กำลังฟื้นตัวที่แท่นบูชา ทางเรากลัวว่าเธอจะไปตามหาชาร์ลีทันทีหลังจากฟื้นตัวเสร็จ จนถูกทางการเพ่งเล็ง พวกเราจึงฉวยโอกาสระหว่างเทศกาลเลือกตั้ง รีบพาชาร์ลีไปที่แท่นบูชาก่อน แล้วจึงประเคนให้เธอในภายหลัง”
ชาร์ลีเดินมาใกล้ลูเมี่ยนแล้ว สีหน้าซีดเผือดเมื่อได้ยินเรื่องราว ตระหนักว่าตนเกือบก้าวเท้าเข้าสู่ประตูนรกไปแล้ว
ฟรังก้าพยักหน้าเล็กน้อยแล้วถามต่อ
“แท่นบูชานั่นอยู่ที่ไหน ซูซานน่า·มาติสจะฟื้นตัวเต็มที่เมื่อไร?”
“แท่นบูชา…” บนผิวกระจกแต่งหน้า ใบหน้าอันเลือนรางเริ่มจางหาย กลายเป็นฉากอุโมงค์ใต้ดินแทน
อุโมงค์ทอดยาวออกไป ทอดลึกลงไป สร้างทางแยกหลายครั้ง ในที่สุดก็มาถึงโพรงเหมืองหินเล็กๆ ที่มีเถาวัลย์กับกิ่งไม้ปกคลุมผนังและเพดานถ้ำ
ที่นั่นมีตอไม้ยักษ์สีน้ำตาลอมเขียว โผล่พ้นพื้นดินอย่างผิดวิสัย ประกอบด้วยกิ่งก้านหนาใหญ่ ส่วนรากไม่รู้ว่ามาจากที่ใด
เมื่อเห็นตอไม้ชัดเจนยิ่งขึ้น ฟรังก้ารีบขัดจังหวะการแสดงภาพทันที ด้วยเกรงว่าจะไปกระตุ้นความผิดปกติเข้า
ลุนทาสตอบต่อไปว่า
“ซูซานน่ายังต้องใช้เวลาอีกสองวัน จึงจะฟื้นตัวเต็มที่และออกจากแท่นบูชาได้”
หมายเหตุ 1: ตามประวัติศาสตร์ ในยุคนั้นมีสิ่งเหล่านี้จริงๆ ชาวปารีสน่าทึ่งมาก ดูรายละเอียดได้ใน ‘ประวัติศาสตร์ร้านกาแฟในปารีส’
…………………………………………………….