ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 194 กระตุ้น
- Home
- All Mangas
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 194 กระตุ้น
ตอนที่ 194 กระตุ้น
เมื่อลูเมี่ยนเห็นดังนั้น ก็รีบยุติพิธีกรรม ดับเทียนตามลำดับที่ถูกต้อง
ช่วยให้เสียงพึมพำในหูจางลงทันที ความเจ็บปวดแสนสาหัสสิ้นสุดลงก่อนจะได้ปะทุ
เก็บกวาดแท่นบูชาเสร็จคร่าวๆ ลูเมี่ยนหันสายตาไปยังเหรียญทองมูลค่า 5 เฟลคิน
ภายใต้แสงสว่างของโคมไฟคาร์ไบด์ มันดูเหมือนปกติทุกประการ เปล่งประกายสีทองอร่ามตา มองยังไงก็ไม่ต่างจากเหรียญอื่นๆ
ดวงตาลูเมี่ยนลึกล้ำขึ้นในบันดล มองเหรียญทองนั้นราวกับกำลัง ‘อ่านชะตา’ ให้คนจริงๆ
โดยปกติแล้ว เขาไม่สามารถ ‘อ่าน’ โชคชะตาของวัตถุ แต่หนนี้แตกต่างออกไป หลังจากที่เพ่งสมาธิ เด็กหนุ่มพบว่าเหรียญทองดังกล่าวถูกหมอกควันสีดำรายล้อม ปะปนกับแสงสีเลือดจางๆ
อย่างแรกคือสัญลักษณ์ของโชคร้าย อย่างหลังแสดงถึงภัยพิบัติจากเลือดประมาณหนึ่ง
“ฟู่…” ลูเมี่ยนถอนหายใจ
นี่หมายความว่า ‘ศาสตร์การเปลี่ยนชะตา’ ประสบความสำเร็จ โชคชะตาร้ายๆ ของคนไร้บ้านในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ถูกถ่ายโอนไปยังเหรียญทองแล้ว!
แต่หากภายในสามวันยังหาคนมารับชะตากรรมนี้ไม่ได้ มันก็จะกลับคืนสู่คนไร้บ้าน และมิอาจถ่ายโอนได้อีก
ลูเมี่ยนจ้องคนไร้บ้านต่ออีกสองสามวินาที เพื่อให้แน่ใจว่าดวงชะตาของเขากลับเป็นปกติแล้วชั่วคราว ไม่ดีไม่เลว
ยืนยันเสร็จ เด็กหนุ่มผู้กำลังยืนอยู่ขอบแท่นบูชา ยื่นมือไปหยิบเหรียญทองมูลค่าห้าเฟลคิน ซึ่งใช้เป็นสื่อกลางในการเปลี่ยนชะตา
เขาไม่กังวลว่าการกระทำนี้จะส่งผลให้เคราะห์ร้ายที่ติดบนวัตถุถ่ายทอดมายังตน เพราะ ‘ศาสตร์การเปลี่ยนชะตา’ จะถูกกระตุ้นเมื่อตรงตามเงื่อนไขเฉพาะเท่านั้น
หนึ่ง เป้าหมายต้องหยิบเหรียญทองนี้ด้วยความสมัครใจ และในใจต้องมีความรู้สึกอยากครอบครอง
สอง ตลอดทั้งกระบวนการ เป้าหมายต้องได้เปรียบจากสิ่งที่ไม่ควรได้
ยกตัวอย่างเช่น หากลูเมี่ยนนำเหรียญทองนี้ไปซื้อของ เจ้าของร้านจะไม่ได้รับโชคร้ายจากการสัมผัสวัตถุ เว้นแต่จะขายของปลอมให้ลูเมี่ยน หรือใช้วิธีฉ้อโกงเพื่อให้เกิดกำไรที่ไม่ชอบธรรม
ในทำนองเดียวกัน หากเด็กหนุ่มจงใจนำเหรียญทองใส่กระเป๋าเสื้อชาร์ลี แม้เขาจะไม่ทันสังเกต และนำเหรียญออกมาใช้ ชาร์ลีก็จะไม่ประสบโชคร้าย
ในฐานะเจ้าของเหรียญทองคนแรก การที่ลูเมี่ยนหยิบมันขึ้นมา จึงไม่ได้รับผลกระทบจาก ‘ศาสตร์การเปลี่ยนชะตา’
วิธีง่ายๆ สองวิธีที่จะกระตุ้น ‘ศาสตร์การเปลี่ยนชะตา’ ได้แก่ หนึ่ง ใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ ปล่อยให้เป้าหมายขโมยไป หรือสอง แกล้งทำหล่นเพื่อให้เป้าหมายหยิบไปด้วยเจตนาครอบครอง
ลูเมี่ยนเชื่อว่าคนที่มีนิสัยตระหนี่อย่างมิสเตอร์เอฟฟ์ หากไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ยังคงมีนิสัยรักเงินมากเกินพอดี ก็ง่ายที่จะตกหลุมพรางแบบนี้
เก็บกวาดร่องรอยต่างๆ บนแท่นบูชาเสร็จ เด็กหนุ่มแบกคนไร้บ้านเดินกลับไปบนผิวดิน ปล่อยทิ้งไว้ในตรอกเดิม แล้วแกะเชือกที่มัดมือเท้า ผ้าปิดตา และผ้าอุดหูออก
หลังจากสังเกตอาการของคนไร้บ้าน ลูเมี่ยนเตะใส่ทีหนึ่งแล้วเดินจากไป
คนไร้บ้านค่อยๆ ได้สติกลับมา ร้องสะดุ้งด้วยความหวาดผวา ราวกับเป็นปฏิกิริยาตอบสนอง:
“ปล่อยผมไปเถอะ ได้โปรด!”
เขาลืมตาขึ้น มองไปรอบตัวตามสัญชาตญาณ พบว่าไม่มีใครอยู่เลย และตนยังคงนอนในจุดคุ้นเคย
“…” คนไร้บ้านปิดปากเงียบ
เมื่อพอจะได้สติกลับมาบ้าง การตอบสนองแรกคือการยื่นมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ
ความรู้สึกแข็งๆ เย็นๆ ถ่ายทอดมาถึงสมอง เขาดึงเหรียญเงินมูลค่าหนึ่งเฟลคินออกมาด้วยความดีใจ
มันยังอยู่!
ยังอยู่จริงๆ!
เมื่อสักครู่ไม่ใช่ความฝัน!
ภายใต้แสงจันทร์สีแดงอ่อนและแสงจางๆ จากโคมไฟถนนใหญ่ คนไร้บ้านพลิกเหรียญเงินอยู่หลายหน จนมั่นใจว่าไม่ใช่ของปลอม
เขาเพิ่งนึกได้ว่าควรรีบตรวจสอบร่างกาย
ไม่นานก็พบผ้าพันแผลอยู่ตรงแขน ความเจ็บปวดแล่นสู่สมองเป็นระยะๆ
นอกจากนี้แล้ว ไม่มีความผิดปกติในจุดอื่น
คนไร้บ้านลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก ลองขยี้ก้นตัวเอง พึมพำเสียงเบา
“ไม่ใช่พวกวิปริตแบบนั้นสินะ…”
ก่อนจะล้มละลาย เขาเคยเห็นโลกมาพอสมควร รู้ว่าในทรีอาร์มีพวกรสนิยมทางเพศแปลกๆ อยู่ไม่น้อย ถึงขั้นเกิดเป็นองค์กรลับ เช่น สโมสรบางแห่งสอนว่าชายหญิงมีไว้เพื่อขยายเผ่าพันธุ์เท่านั้น แต่ความรักที่แท้จริงคือระหว่างผู้ชายด้วยกัน หรือชุมนุมสีชมพูที่เชื่อว่ามีเพียงสตรีเท่านั้นที่รักสตรีอย่างถูกต้อง
เมื่อสักครู่ คนไร้บ้านนึกว่าตนถูกจู่โจมโดยพวกนิยมชมชอบ ‘ผู้ชายสกปรก’ และถูกล่วงละเมิดไปแล้ว แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่แบบนั้น
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สงสัยว่าเลือดของตนถูกมองเห็นค่า อีกฝ่ายจึงดูดออกไปบางส่วน โดยให้เหรียญหนึ่งเฟลคินเป็นค่าตอบแทน
ก่อนหน้านี้เขาเคยได้ยินว่า มีคนใหญ่คนโตบางคนยื้อชีวิตด้วยการถ่ายเลือดอยู่บ่อยๆ
“อย่างน้อยก็ได้หนึ่งเฟลคิน” คนไร้บ้านรู้สึกยินดีขึ้นมาทันที เลิกคิดเรื่องที่เสียเลือดไป
เขาถึงกับหวังให้อีกฝ่ายย้อนกลับมาอีก เมื่อถึงตอนนั้น ตนจะถามด้วยความเต็มใจว่าอยากได้เท่าไร
…………
ลูเมี่ยนโยนเหรียญทองแดงเสี่ยงทาย จนได้ข้อสรุปว่าคืนนี้พักที่โรงแรมระกาทอง จึงย้อนกลับไปยังห้อง 207 และนอนยันเช้าตรู่หกโมง
หลังจากออกไปกินมื้อเช้า ออกกำลังกาย แล้วกลับมาที่โรงแรม เปลี่ยนเสื้อผ้า ปลอมตัว และเตรียมจะออกไปถนนใหญ่ตลาด สองแม่บ้านทำความสะอาดก็เริ่มง่วนอยู่กับงาน
มองไปทางแม่บ้านทำความสะอาดที่สวมวิกผมสีบลอนด์ แต่งหน้าทาปาก อายุน่าจะราวๆ ห้าสิบ ซึ่งกำลังจัดการขยะในโถง ลูเมี่ยนหยุดฝีเท้า ถามด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“คุณคือเอโลดีสินะ?”
เขาเคยได้ยินชาร์ลีเอ่ยชื่ออีกฝ่าย
“ใช่ค่ะมิสเตอร์ชาร์ล” เอโลดีเหยียดตัวตรง
เธอใส่ชุดกระโปรงยาวสีเทาขาวเก่าๆ แต่สะอาด รูปร่างไม่เตี้ยนัก คงราว 1.65 เมตร โครงหน้ามีเค้าลางว่าตอนสาวๆ คงสวยไม่เบา
“คุณรู้จักผมด้วยหรือ” ลูเมี่ยนถามอย่างเป็นกันเอง
เอโลดีตอบไปตามจริง
“มิสเตอร์ชาร์ลี·คอร์แรงต์เคยพูดถึงคุณ บอกว่าคุณเป็นคนคุมโรงแรมนี้”
หึๆ สมกับเป็นชาร์ลีจริงๆ … หืม… ท่าทางของเธอดูปกติมาก ไม่มีความรู้สึกต่ำต้อยหรือหวาดกลัวเลย… ลูเมี่ยนเริ่มรู้สึกว่าสมัยที่เอโลดี แม่บ้านคนนี้ยังสาว เธอคงไม่ใช่หญิงขายบริการตามที่ชาร์ลีสงสัย
เด็กหนุ่มถามในบรรยากาศเป็นมิตร
“ผมได้ยินจากชาร์ลีว่า คุณเคยเป็นนักแสดงละครใช่ไหมครับ”
“ใช่ค่ะ” เอโลดียิ้มออกมา “ฉันเคยแสดงในโรงละครสองแห่ง แต่รับบทรองทั้งหมด ต่อมาโรงละครหนึ่งล้มละลาย อีกแห่งไม่จ้างฉันด้วยเหตุผลบางประการ และตอนนั้นฉันก็อายุมากแล้วด้วย”
เมื่อพูดถึงเรื่องเก่า อารมณ์ของหญิงวัยกลางคนหมองลงชัดเจน
ลูเมี่ยนพยักหน้า มองไปที่ประตูทางเข้าโรงแรม
“คุณรู้จักโรงละครกรงพิราบเก่าไหม?”
นี่คือสิ่งที่เด็กหนุ่มอยากรู้จริงๆ
แม่บ้านทำความสะอาดที่ชื่อเอโลดีคนนี้เคยเป็นนักแสดง และยังถูกจ้างโดยมิสเตอร์เอฟฟ์ เจ้าของโรงแรมที่มีความสัมพันธ์ชิดเชื้อกับโรงละครกรงพิราบเก่า เป็นธรรมดาที่จะน่าสงสัย
สีหน้าของเอโลดีกลายเป็นมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที
“รู้จักค่ะ ละครทุกเรื่องของพวกเขาล้วนยอดเยี่ยม นักแสดงส่วนใหญ่มีฝีมือการแสดงโดดเด่น เป็นโรงละครที่คุ้มค่าให้ฉันเก็บเงินทั้งเดือนเพื่อซื้อตั๋วเข้าชม”
“ฉันเห็นประกาศรับสมัครแม่บ้านทำความสะอาดครึ่งวัน ก็ตอนที่ไปดูการแสดงที่โรงละครกรงพิราบเก่า จึงได้มาทำงานที่นี่”
อย่างนี้นี่เอง… ดูแล้วไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับโรงละครหรือมิสเตอร์เอฟฟ์… ลูเมี่ยนยังไม่อยากถามซักไซ้ตอนนี้ เพื่อมิให้อีกฝ่ายระแวง เพียงยิ้มแล้วพูด
“ฟังดูเหมือนคุณมีงานอื่นด้วยสินะ”
เอโลดีคิดว่ามิสเตอร์ชาร์ลอยากทำความเข้าใจที่มาของแม่บ้าน เพื่อมิให้ก่อความเสียหายต่อโรงแรม จึงตอบอย่างตรงไปตรงมา
“ฉันทำงานที่โรงงานแห่งหนึ่งทางใต้ของเขตตลาดตั้งแต่บ่ายสองถึงสองทุ่มทุกวัน… อา… ที่ถนนนักบุญเกอร์น่ะค่ะ ชื่อโรงงานโกลด์ไวร์”
ถนนนักบุญเกอร์อยู่ติดกับกำแพงเมืองทรีอาร์ และเป็นละแวกเดียวกับย่านโรงงานในเขตสวนพฤกษศาสตร์
ตั้งแต่สมัยโรซายล์ โรงงานในทรีอาร์มีธรรมเนียมปฏิบัติว่า หากคิดจะผลิตตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง จะต้องแบ่งคนงานออกเป็นสามกะ กะหนึ่งรับผิดชอบตั้งแต่เช้าจรดเที่ยง กะสองรับผิดชอบเที่ยงจนถึงเย็น และกะสามรับผิดชอบช่วงดึก
“คงเหนื่อยมากสินะ” ลูเมี่ยนทอดถอนใจ
เอโลดียิ้มแล้วกล่าวอย่างอ่อนโยน
“ฉันมีลูกสองคน ใกล้จะเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวกันแล้ว ไว้มีงานทำเมื่อไร ฉันก็ไม่ต้องเหนื่อยขนาดนี้แล้วล่ะค่ะ”
“แล้วสามีล่ะ” ลูเมี่ยนถามไปเรื่อย
สีหน้าของเอโลดีหม่นลง
“เมื่อหลายปีก่อน เขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุในโรงงานค่ะ”
ลูเมี่ยนไม่ถามต่อ เพียงเปลี่ยนไปคุยกับแม่บ้านอีกคนพอเป็นพิธี ทำหน้าที่ ‘คนคุม’ โรงแรมระกาทอง
จากนั้น เขาออกจากถนนอลเวง เข้าสู่ถนนใหญ่ตลาด แล้วเดินไปทางโรงละครกรงพิราบเก่า
เด็กหนุ่มมิได้คิดจะจับตามองมิสเตอร์เอฟฟ์ที่คงเป็นตัวปลอม แต่แวะมาเพื่อตรวจตรา จุดประสงค์หลักคือการจับตาดูคนที่เดินเข้าไปในบ้าน 126 ถนนใหญ่ตลาด
‘ศาสตร์การดูดวง’ แจ้งว่า เขาจะได้พบกับลูอิส·ลุนด์อีกครั้งที่ถนนใหญ่ตลาด ส่วน ‘ค้อนเหล็ก’ แอตก็บอกว่า ลูอิส·ลุนด์จะมาหา ‘แมงป่องดำ’ โรเจอร์ บอสใหญ่แก๊งหนามพิษอีกครั้งในวันเสาร์หรือวันอาทิตย์นี้ ซึ่งบ้านของโรเจอร์ก็คือ 126 ถนนใหญ่ตลาด
ผสมผสานทั้งสองส่วนเข้าด้วยกัน ลูเมี่ยนตัดสินใจว่าจะ ‘ปักหลัก’ ที่ถนนใหญ่ตลาดในวันเสาร์ เดินเตร็ดเตร่ไปทั่ว ดูว่าจะพบเป้าหมายหรือไม่
เมื่อมาถึงใกล้ๆ กับโรงละครกรงพิราบเก่า ใกล้กับอพาร์ตเมนต์ของมิสเตอร์เอฟฟ์ ลูเมี่ยนชะลอฝีเท้าลง บางครั้งนั่งร่วมกับคนไร้บ้าน บางครั้งก็ไปหาอะไรดื่มในร้านกาแฟข้างๆ
ในเมื่อมาถึงแล้ว เขาก็ได้จับตามองมิสเตอร์เอฟฟ์เป็นของแถม อย่างไรเสีย ที่นี่คือถนนใหญ่ตลาด
หลังจากผ่านไปเกือบสี่สิบห้านาที ลูเมี่ยนก็เห็นเจ้าของโรงแรม
เขาสวมแจ็กเกตสีซีดจนขาว สวมหมวกกึ่งสูงเก่าๆ ถือไม้ตะพดสีดำที่ใกล้ลอก เดินออกจากอพาร์ตเมนต์ มุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟไอน้ำซูสิต
ลูเมี่ยนลุกขึ้นอย่างไม่รีบร้อน เหลียวมองด้านหลัง ทำท่าทางตื่นตระหนกราวกับกำลังถูกศัตรูไล่ล่า แล้ววิ่งกระหืดกระหอบออกไป
เมื่อเขาแซงมิสเตอร์เอฟฟ์จากด้านหลัง ก็เผลอชนเข้ากับอีกฝ่ายเบาๆ
กิ๊ง! เหรียญทองหล่นลงพื้น แต่ลูเมี่ยนดูเหมือนไม่ทันสังเกตเห็น เอาแต่ก้มหน้างุด วิ่งหนีอย่างตื่นตระหนก
มิสเตอร์เอฟฟ์บ่นอุบคำสองคำ สายตาเหลือบไปเห็นเหรียญทองบนพื้น จึงรีบหันขวับไปมองทันที
ทีแรกเขาคิดจะเรียกคนที่เผลอทำหล่น แต่พอยื่นมือออกไปแล้ว กลับมิได้ส่งเสียงเรียกออกมา
เขาเหลียวซ้ายแลขวาปราดเดียว ย่อตัวลงไปเก็บเหรียญทองมูลค่าห้าเฟลคินนั่น แล้วทำทีว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยัดมันเข้ากระเป๋ากางเกง
…………………………………………………….