ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 193 เปลี่ยนชะตา
- Home
- All Mangas
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 193 เปลี่ยนชะตา
ตอนที่ 193 เปลี่ยนชะตา
ลูเมี่ยนอดทนรอจนถึงเที่ยงคืน
ใกล้ห้าทุ่มครึ่ง ไฟในห้องมิสเตอร์เอฟฟ์ก็ดับลง แต่ไม่มีใครออกจากอพาร์ตเมนต์เลย
คงเพราะเห็นว่าดึกแล้ว ชายตระหนี่คนนั้นจึงปิดไฟนอนเพื่อประหยัดค่าแก๊ส
เมื่อถึงเที่ยงคืน ละครเรื่องสุดท้ายที่โรงละครกรงพิราบเก่าก็จบลง ผู้ชมทยอยกันออกไป ไม่มีใครเข้ามา
ลูเมี่ยนพึมพำกับตัวเองในใจอีกครั้ง
“หรือว่าคำตอบที่ได้จาก ‘ศาสตร์การดูดวง’ จะไม่แม่นยำจริงๆ? ก็อาจเป็นได้… ในเมื่ออาคมพิธีกรรมดังกล่าวเป็นการขอพรกับตัวเอง มีเหตุที่ประสิทธิภาพอาจไม่ดี”
“อา… นี่ก็อีกหนึ่งความเป็นไปได้”
“แต่ว่า… ถ้า ‘ศาสตร์การดูดวง’ แม่นยำล่ะ?”
ลูเมี่ยนที่ลองเปลี่ยนมุมมอง ตกใจจนขนลุก
เด็กหนุ่มรีบหันไปมองประตูใหญ่ของโรงละครกรงพิราบเก่าที่มีโปสเตอร์แปะอยู่เต็ม
ถ้า ‘ศาสตร์การดูดวง’ นั้นถูกต้อง แสดงว่าในช่วงเวลาห้าทุ่มถึงเที่ยงคืน มิสเตอร์เอฟฟ์ได้อยู่ในโรงละครกรงพิราบเก่าจริงๆ
แล้วมิสเตอร์เอฟฟ์ที่เพิ่งเข้าไปในอพาร์ตเมนต์ แต่ไม่ได้ออกมา เป็นใครกันล่ะ?
มีโอกาสสูงที่จะเป็นตัวปลอม!
ตัวปลอม!
“ไม่น่าเป็นไปได้นะ…” ลูเมี่ยนไม่กล้าเชื่อข้อสันนิษฐานของตัวเอง
เขาไม่ใช่ไม่เคยเจอมิสเตอร์เอฟฟ์ ไม่ใช่ไม่เคยคุยด้วย แล้วจะถูกของปลอมหลอกได้ยังไง?
เมื่อเทียบกันแล้ว เด็กหนุ่มอยากเชื่อว่าผลของ ‘ศาสตร์การดูดวง’ ได้ผลไม่ค่อยดีมากกว่า
“หรือว่า… ใต้อพาร์ตเมนต์มีอุโมงค์ลับที่เชื่อมไปยังโรงละครกรงพิราบเก่า?” ลูเมี่ยนพยายามหาเหตุผล
การขุดอุโมงค์ในกรุงทรีอาร์นั้นง่ายกว่าเมืองอื่น เพียงแค่ขุดระยะสั้นๆ ก็เชื่อมต่ออุโมงค์ใต้ดินหรือท่อระบายน้ำได้แล้ว แต่ก็ถูกค้นพบได้ง่ายเช่นกัน เพราะใต้ดินกรุงทรีอาร์มีผู้คนพลุกพล่าน มีตำรวจเหมืองหินลาดตระเวนบ่อยครั้ง คาราวานลักลอบผ่านไปผ่านมา มีชาวไร่เดินผ่าน ถ้าไม่ขุดอุโมงค์ลงไปอีกชั้นหรือมีวิธีปกปิดทางเข้าออก ไม่นานก็จะมีคนมาดักซุ่มแน่
และถ้าอพาร์ตเมนต์ของมิสเตอร์เอฟฟ์มีอุโมงค์แบบนั้นจริง ครั้งก่อนคงไม่ออกไปตอนมืดค่ำ เพื่อไปยังทางเข้าใต้ดินทรีอาร์ที่อยู่ใกล้ๆ
ท่ามกลางกระแสความคิด ลูเมี่ยนนึกถึงสองเรื่อง:
หนึ่ง ตอนที่เด็กหนุ่มเจอมิสเตอร์เอฟฟ์ครั้งแรก เขา ‘อ่าน’ ดวงชะตาของอีกฝ่าย แต่พอ ‘เจอ’ กันอีกครั้งวันรุ่งขึ้น กลับพบว่าดวงชะตาของเขาเปลี่ยนไปอย่างน่าประหลาด
สอง มิสเตอร์เอฟฟ์มีพลังวิเศษแน่นอน มีแนวโน้มสูงว่าจะนับถือเทพมาร ‘มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหาย’ โดยมีลำดับไม่สูงนัก แต่เมื่อผู้วิเศษทางการเรียกเขาไปสอบปากคำที่กองบัญชาการตำรวจ กลับไม่พบความผิดปกติใดเลย
เมื่อนำคำตอบจาก ‘ศาสตร์การดูดวง’ มารวมกับความขัดแย้งในชีวิตจริง ดวงตาของลูเมี่ยนหรี่ลง พึมพำกับตัวเองด้วยเสียงต่ำ
“จริงกลายเป็นเท็จ?”
คนที่อาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์ฝั่งตรงข้ามหลังจากถูกตน ‘ปล้น’ คือมิสเตอร์เอฟฟ์ปลอม?
นั่นเลยทำให้ดวงชะตาไม่เหมือนเดิม และไม่ถูกผู้วิเศษทางการค้นพบปัญหา?
“ทำไมเขาถึงหน้าตาเหมือนมิสเตอร์เอฟฟ์ได้ทุกกระเบียดนิ้ว? ใช้สมบัติวิเศษอย่าง ‘แว่นส่องความลับ’ แต่งหน้า หรือวิธีที่คล้ายคลึงกัน? มิสเตอร์เอฟฟ์ตัวปลอมเป็นแค่คนธรรมดา? ส่วนตัวจริงซ่อนอยู่ที่ใดสักแห่งในโรงละครกรงพิราบเก่ามาตลอด?” ยิ่งลูเมี่ยนคิดก็ยิ่งรู้สึกขนลุก
สามารถแทนที่กันโดยที่ไม่มีใครจับได้เลย!
อย่างน้อยคนในกระจกของคริสโตก็ยังสลับซ้ายขวา!
“เรื่องนี้ยิ่งเหนือธรรมชาติขึ้นเรื่อยๆ … สมแล้วที่เป็นสาวกเทพมาร…” ลูเมี่ยนถอนหายใจจากก้นบึ้ง
คำนึงจากพลังต่างๆ ของไอ้วิตถารเฮิดซ์นั่น เด็กหนุ่มเดาได้ว่ามิสเตอร์เอฟฟ์คงตระหนักถึงความผิดปกติหลังจากถูก ‘ปล้น’ อย่างไรเสีย หนึ่งเฟลคินก็เป็นเงิน ไม่มีโจรชิงทรัพย์คนไหนยอมทิ้งมันไป และถ้าทิ้งจริงๆ นั่นแสดงว่าการปล้นไม่ใช่เป้าหมายหลัก ดังนั้น เป็นธรรมดาที่มิสเตอร์เอฟฟ์จะเตรียมตัวล่วงหน้า หาลูกไม้มาตบตาผู้วิเศษทางการ ลูเมี่ยนแค่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะใช้วิธีประหลาดขนาดนี้:
ถึงกับสร้างคนที่หน้าตาเหมือนมิสเตอร์เอฟฟ์ทุกกระเบียดนิ้วขึ้นมา!
ชั่วขณะหนึ่ง ลูเมี่ยนไม่อาจตัดสินได้ว่า มิสเตอร์เอฟฟ์ปลอมในอพาร์ตเมนต์ เป็นคนธรรมดาที่ถูกผู้วิเศษ ‘แต่งหน้าด้วยเครื่องสำอางมหัศจรรย์’ หรือเป็นสาวกเทพมารที่มีพลังวิเศษกันแน่
หากเป็นกรณีแรก เขาอยากจะฉวยโอกาสตอนกลางดึกอันเงียบสงัดนี้ บุกเข้าไปจับตัวอีกฝ่าย ทุบตีสักยก บีบให้สารภาพความจริง แล้วจับโยนใส่กองบัญชาการตำรวจหรือวิหารสักแห่ง ให้เจ้าหน้าที่ผู้วิเศษจัดการในส่วนที่เหลือ
แต่ถ้าเป็นกรณีหลัง เด็กหนุ่มก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามบุกเข้าไป ไม่มีใครรู้ว่า ‘ตัวปลอม’ นั่นแข็งแกร่งเทียบเท่าลำดับเท่าไร มีความสามารถอะไรบ้าง
ลูเมี่ยนหันหน้าไปอีกครั้ง มองอาคารสามชั้นสีอิฐแดงที่ตั้งโรงละครกรงพิราบเก่า พบว่าไม่ค่อยมีผู้ชมเดินออกมาแล้ว
นี่ทำให้เด็กหนุ่มล้มเลิกความคิดที่จะเข้าไปสำรวจอีกรอบ
ละครเรื่องสุดท้ายของวันนี้จบลงแล้ว!
ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ลูเมี่ยนวางแผนเตรียมตัวเล็กน้อย
เขาบรรจงพยุงตัวขึ้น เดินเลียบเงามืดที่แสงจากโคมไฟแก๊สส่องไม่ถึง มุ่งหน้าไปยังตลาดคนซื่อ
ตลอดทาง เด็กหนุ่มพินิจพิเคราะห์คนไร้บ้านที่นอนอยู่ข้างทางในมุมต่างๆ อย่างละเอียด ด้วยแววตาลึกลับและจริงจังยิ่ง
ในที่สุดก็พบเป้าหมายที่เหมาะสม:
คนไร้บ้านนั่นนอนขดตัวอยู่ใต้เครื่องกีดขวางในตรอก เสื้อผ้าขาดวิ่นเปื้อนโคลน มีบาดแผลถูกสุนัขจรจัดกัดที่ขา รอยเลือดดูน่าหวาดเสียว มีน้ำเหลืองซึมออกมา
ในสายตาลูเมี่ยน ชายคนนี้ถูกโชคร้ายเล่นงานอย่างหนักในสองสามวันข้างหน้า ยังจะประสบเคราะห์กรรมอีกมาก แม้กระทั่งชีวิตก็ตกอยู่ในอันตราย
นี่คือ ‘วัตถุดิบ’ ที่เหมาะเจาะสำหรับประกอบพิธี ‘ศาสตร์การเปลี่ยนชะตา’ !
ใช่แล้ว ลูเมี่ยนวางแผนจะใช้ประโยชน์จากอาคมพิธีกรรม ‘ศาสตร์การเปลี่ยนชะตา’ ของภิกษุบิณฑบาต เพื่อสร้างวัตถุที่สามารถส่งผ่านโชคร้าย
หากมิสเตอร์เอฟฟ์ตัวปลอมโชคร้ายสุดขีด เจอปัญหารุมเร้า เขาก็น่าจะเผลอเปิดเผยปัญหาของตนให้ผู้วิเศษทางการรู้โดยไม่ระวังตัว!
ด้วยความคิดนี้ ลูเมี่ยนจึงเลือกคนไร้บ้านที่โชคร้ายที่สุด—กลุ่มคนที่มักมีชะตาชีวิตไม่ค่อยดีอยู่แล้ว
เด็กหนุ่มดึงหมวกแฟลตแก๊ปลง เดินไปหยุดข้างๆ คนไร้บ้านนั่น หันหลังให้โคมไฟแก๊สบนถนน ซ่อนใบหน้าไว้ใต้เงามืดทั้งหมด
ลูเมี่ยนย่อตัวลงทันที สวมถุงมือสีดำ แล้วเขย่าคนไร้บ้านนั่น
“หือ…” คนไร้บ้านตื่นขึ้นมา ถามด้วยความเจ็บปวดระคนสงสัย
“ผมมีเรื่องอยากให้ช่วยหน่อย เต็มใจไหม?” ลูเมี่ยนหยิบเหรียญเงินมูลค่าหนึ่งเฟลคินออกมา แกะสลักภาพเทวทูตและเส้นรัศมีแผ่ซ้ายขวา
สายตาของคนไร้บ้านจับจ้องเหรียญเงินทันที ก่อนจะพยักหน้าโดยแทบไม่ลังเล
“ไม่มีปัญหา!”
เขาพูดไปพลางยื่นมือออกไปพลาง ปลายจมูกฟุดฟิดราวกับได้กลิ่นไซเดอร์แอปเปิลและพายเนื้อหนาฉ่ำ
หลังจากรับเหรียญเงินมา ตาของคนไร้บ้านก็เบิกกว้างทันใด มองไปทางด้านหลังลูเมี่ยน อุทานด้วยความตกตะลึง
“นั่นมัน…”
ฉวยจังหวะตอนที่ลูเมี่ยนหันหลัง เขาใช้สองมือยันร่างกาย ลุกพรวดในพริบตา พยายามปีนข้ามเครื่องกีดขวาง วิ่งตรงไปยังส่วนลึกของตรอก
การให้เงินคนไร้บ้านเพื่อให้ทำอะไรบางอย่าง ฟังยังไงก็ดูอันตราย!
คนไร้บ้านส่วนใหญ่จึงตอบสนองด้วยการรับเงินมาแล้วรีบวิ่งหนีให้ไกล!
ผัวะ!
ลูเมี่ยนชักมือขวากลับ มองคนไร้บ้านล้มลงบนเครื่องกีดขวางและหมดสติไปอย่างเลือดเย็น
เขาไม่คิดจะปล่อยให้คนไร้บ้านมีสติระหว่างกระบวนการอยู่แล้ว เพราะถึงจะปิดตาและอุดหูอย่างดี ก็ยังขจัดความเสี่ยงออกไปไม่ได้หมด มีโอกาสที่ ‘ตัวจริงของเขา’ และ ‘ศาสตร์การเปลี่ยนชะตา’ จะถูกแพร่งพรายออกไป
ดังนั้น แผนของเขาคือ ‘ขออนุญาต’ อีกฝ่ายให้เป็นกิจจะลักษณะ พอได้รับอนุญาตก็ทำให้หมดสติทันที
ลูเมี่ยนประคองคนไร้บ้านประหนึ่งคนเมา พาเขาไปยังทางเข้าใต้ดินทรีอาร์ใกล้ๆ ซ่อนไว้ในช่องลับไม่ไกลนัก แล้วมัดมือมัดเท้า ปิดตาอุดหู
จัดการทั้งหมดเสร็จ เด็กหนุ่มแอบกลับมายังคาบาเร่ต์ลมเอื่อย หาโคมไฟคาร์ไบด์กับเครื่องมือที่จำเป็นมาด้วย
จากนั้น เขากลับไปยังทางเข้าเดิม แบกคนไร้บ้านที่หมดสติไปยังโพรงเหมืองหินที่ประกอบพิธี ‘ศาสตร์การดูดวง’ เมื่อคราวก่อน
ต่างจากคราวที่แล้ว แม้จะยังเป็นพิธีกรรมทวิภาคเหมือนเดิม แต่เทียนสีส้มอมเหลืองที่แทน ‘เทพ’ หรือ ‘เป้าหมายการวิงวอน’ ถูกเปลี่ยนเป็นสีเทาอมขาว
ในนั้นผสมเลือดของลูเมี่ยนไว้
เพื่อเพิ่มโอกาสสำเร็จ ลูเมี่ยนตั้งใจว่าในพิธีกรรมจะ ‘วิงวอน’ ต่อมลพิษที่ถูกผนึกอยู่ในอก ระดมพลังของมันมาเล็กน้อย
หลังจากจัดแท่นบูชาง่ายๆ และสร้างกำแพงวิญญาณเสร็จ เด็กหนุ่มใช้มีดสั้นของไอ้วิตถารเฮิดซ์ แทงใส่คนไร้บ้านหนึ่งครั้ง ปล่อยให้เลือดไหลลงในขวดโลหะใบเล็ก
คนไร้บ้านได้สติตื่นทันที แต่ก็ถูกทำให้หมดสติในทันทีเช่นกัน
ลูเมี่ยนรีบฆ่าเชื้อและพันแผลให้ทันที ใช้เลือดเหล่านั้น กับขี้เถ้าที่ได้จากการเผาผมคนไร้บ้านสองสามเส้น มาผสมเป็น ‘หมึก’ แล้วหยิบพู่กันหัวเล็กสุด เริ่มวาดสัญลักษณ์อันลึกลับซับซ้อนบนกระดาษหนังแกะเทียม
เด็กหนุ่มคุ้นเคยกับวงกลมที่ประกอบจากหนามสีดำ มีงูตัวเล็กที่หัวกับหางชนกัน มีแม่น้ำที่ประกอบจากงูเล็กๆ เหล่านั้น มีเส้นบิดเบี้ยว มีดวงตาประหลาด และอื่นๆ อีกมาก
ลูเมี่ยนวาดจนเสร็จอย่างยากลำบาก บนหน้าผากมีเหงื่อเย็นผุดซึม
เขาวางทั้งคนไร้บ้านกับกระดาษหนังเทียมที่เต็มไปด้วยสัญลักษณ์พิลึกพิลั่น ลงบนหินก้อนใหญ่ที่ใช้แทนโต๊ะแท่นบูชา หยดน้ำหอมลงในเปลวไฟ โรยผง จากนั้นก็ถอยหลังสองก้าว มองเปลวเทียนสีเหลืองอ่อนสั่นไหวแผ่วเบา พลางเปล่งเสียงภาษาเฮอร์มิสโบราณ
“ข้าแต่อำนาจแห่งชะตากรรมเอ๋ย!”
“ท่านคืออดีต คือปัจจุบัน คืออนาคต”
“ท่านคือเหตุ คือผล คือกระบวนการ”
เช่นเดียวกับหลายครั้งก่อนหน้า เปลวเทียนที่เป็นตัวแทน ‘เทพ’ ถูกบีบอัดจนเล็กกระจิริด แล้วจึงขยายใหญ่เท่ากำปั้น มีสีเงินผสมดำ ขณะเดียวกัน ทุกสิ่งโดยรอบพลันบิดเบี้ยว หมอกสีเทาปกคลุมไปทั่ว สายลมสีดำพัดหวีดหวิว
ลูเมี่ยนที่โสตประสาทเต็มไปด้วยเสียงเพรียกอันบ้าคลั่ง อดทนต่ออาการวิงเวียน เปลี่ยนมาพูดเป็นภาษาเฮอร์มิสไม่โบราณ
“ข้าขอวิงวอนต่อพระองค์”
“ขอพระองค์โปรดเปลี่ยนโชคชะตาของชายผู้น่าสงสารนี้ด้วยเถิด”
“ขอพระองค์โปรดพรากเอาโชคร้ายของเขาไป”
ท่องถึงตรงนี้ ลูเมี่ยนก้าวไปข้างหน้า นำกระดาษหนังแกะเทียมที่เต็มไปด้วยสัญลักษณ์ลึกลับ ไปอิงกับเปลวไฟสีเงินอมดำให้ลุกไหม้ แล้ววางไว้ในแอ่งธรรมชาติบนผิวหินแท่นบูชา
วินาทีถัดมา เด็กหนุ่มล้วงเหรียญทองมูลค่าห้าเฟลคินที่สลักรูปวิหคสุริยันออกมา วางไว้ข้างมือของคนไร้บ้าน
สำหรับพวกตระหนี่สุดโต่ง เงินทองคือสิ่งที่ยากจะปฏิเสธ ย่อมเป็นสื่อกลางที่ดีที่สุด!
ราวกับถูกน้ำหนักพันชั่งกดทับ ลูเมี่ยนต้องถอยหลังหนึ่งก้าว รอจนกระทั่งกระดาษหนังแกะเทียมไหม้จนหมด จึงกล่าวคาถาท่อนสุดท้าย
“อำพันสีเทาเอ๋ย สมุนไพรแห่งชะตากรรมเอ๋ย ได้โปรดส่งพลังให้แก่คาถาของข้าด้วยเถิด…”
ทันใดนั้น แท่นบูชาพลันสว่างวาบและดูไม่จริง คล้ายกับมีสายน้ำสีปรอทเย็นเยียบเลื่อนไหล สลับซับซ้อนอยู่ตรงหน้าลูเมี่ยน
มันหุ้มห่อคนไร้บ้านและเหรียญทองห้าเฟลคิน ซ้ำยังทำให้เสียงเพรียกข้างหูลูเมี่ยนยิ่งแจ่มชัด เส้นเลือดสีเขียวบนใบหน้าทยอยนูนปูดทีละหนึ่ง
สัญชาตญาณบีบบังคับลูเมี่ยนหวาดกลัวต่อความเจ็บปวดที่คล้ายกับเมื่อครั้งขอ ‘พร’ ทันใดนั้น ภาพมายาพลันหดตัวลง ก่อนจะตกไปบนผิวของเหรียญทองบนแท่นบูชา
ทุกอย่างกลับคืนสู่ปกติ มีเพียงเหรียญทองนั่นที่ดูหม่นลงเล็กน้อยภายใต้แสงสีเงินอมดำ
…………………………………………………….