ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability) - ตอนที่ 180 ขี้เกียจ
- Home
- All Mangas
- ราชันเร้นลับ 2 : วัฏจักรแห่งชะตา (Circle of Inevitability)
- ตอนที่ 180 ขี้เกียจ
ตอนที่ 180 ขี้เกียจ
กาเบรียลจิบอัปแซ็งต์แล้วพูด
“ไมป์·ไมเออร์”
“เขาเป็นผู้จัดการโรงละครที่ทะเยอทะยานมาก ต้องการให้กรงพิราบเก่าเป็นโรงละครที่โด่งดังที่สุดในทรีอาร์ และหวังจะใช้ความสำเร็จดังกล่าวเพื่อให้ได้รับเครื่องอิสริยาภรณ์ ‘เลฌียงดอเนอร์’ (Légion d’honneur)”
เหรียญอินทิสเลฌียงดอเนอร์เริ่มใช้ครั้งแรกในสมัยที่จักรพรรดิโรซายล์ยังเป็นกงสุล ถูกสถาปนาขึ้นเพื่อแทนที่การแจกบรรดาศักดิ์ของราชวงศ์เก่า จนกระทั่งโรซายล์ประกาศตัวเป็น ‘ซีซาร์’ จึงได้ยกเลิกระบบเหรียญเลฌียงดอเนอร์ แล้วกลับไปใช้ระบบดยุก มาร์ควิส บารอน และอัศวินอีกครั้ง
ต่อมา เมื่อสาธารณรัฐอินทิสก่อตั้งขึ้น ก็ได้นำระบบเหรียญอินทิสเลฌียงดอเนอร์กลับมาใช้ใหม่ มอบแด่ทหารและพลเรือนที่ทำผลงานโดดเด่นให้แก่สาธารณรัฐ ไม่จำกัดเฉพาะในด้านการทหาร แต่ยังรวมถึงในทุกสาขาอาชีพ ปัจจุบันถือเป็นเกียรติยศสูงสุดของสาธารณรัฐอินทิส ผู้ได้รับแต่ละคนเทียบเท่าอัศวินในยุคเก่า
จิตรกร นักเขียน นักแสดง นักข่าว และช่างแกะสลักหลายคนเคยได้รับเหรียญอินทิสเลฌียงดอเนอร์ ซึ่งเป็นแบบอย่างที่ดีแก่คนรุ่นหลัง
ในตอนที่ลูเมี่ยนแต่งเรื่องโกหกชาวบ้านกอร์ตูในความฝัน ว่าโอลัวร์จะไปรับเครื่องราชฯ กับกองทัพอินทิสที่กรุงทรีอาร์ ก็มิใช่เรื่องละเมอเพ้อพกเสียทีเดียว หากโอลัวร์สามารถกลายเป็น ‘ฟอร์ส·วอลล์’ แห่งอินทิสได้ กลายเป็นนักเขียนขายดีที่สุดของทวีปเหนือ และถูกยอมรับจากสถาบันวรรณกรรมอินทิส เธอก็มีโอกาสได้รับเหรียญเลฌียงดอเนอร์จริงๆ
“คนที่ไม่มีความฝัน จะต่างอะไรกับปลาเค็มหมักเกลือ?” ลูเมี่ยนอมยิ้มพลางคิดว่า ผู้จัดการโรงละครที่ชื่อไมป์·ไมเออร์คนนี้ค่อนข้างปกติ
นี่ทำให้เขาเชื่อว่า คนส่วนใหญ่ของโรงละครกรงพิราบเก่าไม่มีปัญหา ปัญหาอยู่ที่กลุ่มน้อยซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับมิสเตอร์เอฟฟ์ เจ้าของโรงแรมระกาทองผู้ไม่ปกติ
หลังจากคุยเล่นกับกาเบรียลสองสามคำ ลูเมี่ยนก็พาลูอิสกับซาโกตาเดินขึ้นชั้นสอง ให้พวกเขารออยู่หน้าห้อง 207
เขาปิดประตูห้อง สะพายซองปืนไว้ใต้รักแร้ซ้าย ซ่อนซองกระสุนให้มิดชิด จากนั้นก็สวมเสื้อแจ็กเกตสีเข้มทับด้านนอก
จากนั้น ลูเมี่ยนหยิบนิ้วมือของมิสเตอร์ K ออกจากใต้หมอน ใส่ลงไปในกระเป๋าเสื้อฝั่งขวา
ส่วนปรอทเสื่อมทราม มีดของเฮิดซ์ แก๊สฉุนที่ช่วยให้คนตื่นตัว และของเหลวไม่ทราบจุดประสงค์การใช้ เขาพกติดตัวไว้ตลอด ส่วนมีดสามคมนั่น ลูเมี่ยนยังไม่ได้ใช้ จึงเก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะไม้
หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จ ลูเมี่ยนก้มตัวลง ลากกระเป๋าเดินทางสีน้ำตาลออกจากใต้เตียง แล้วใส่สมุดบันทึกเวทมนตร์ของโอลัวร์ลงไปทั้งหมด
เมื่อสถานะทางสังคมเพิ่มขึ้น แถมยังไปสร้างความแค้นให้แก๊งหนามพิษอีก เด็กหนุ่มรู้สึกว่าตนจำเป็นต้องซ่อนสมุดบันทึกเวทมนตร์พวกนี้ไว้ในที่ปลอดภัยและเป็นความลับมากขึ้น หรือก็คือ ‘บ้านลับ’ ที่เช่าไว้บนถนนเสื้อนอกขาว
สิ่งเหล่านี้สำหรับเขาแล้ว หนึ่งคือเบาะแสและความรู้ที่โอลัวร์ทิ้งไว้ สองคือคุณค่าทางใจที่ไม่มีสิ่งใดทดแทนได้ จึงต้องปกป้องให้ดี
ส่วนการเรียนในแต่ละวัน เขาจะคอยคัดลอกบางส่วนไว้ล่วงหน้า เก็บไว้ที่โรงแรมระกาทองหรือคาบาเร่ต์ลมเอื่อย จนกว่าจะเข้าใจพวกมันอย่างถ่องแท้ และยืนยันว่าทางสะดวก จึงค่อยไปคัดลอกเพิ่มอีกสักสองสามแผ่นจากบ้านลับ
หลังจากปฏิเสธความหวังดีของลูอิสที่จะช่วยยกกระเป๋า ลูเมี่ยนเดินทางกลับคาบาเร่ต์ลมเอื่อย เข้าไปในห้องที่ติดกับสำนักงาน
เขาหยิบสมุดบันทึกเวทมนตร์ที่กำลังอ่านในช่วงนี้ออกมา วางลงบนโต๊ะทำงาน จับปากกาหมึกซึมสีแดงเข้ม แล้วเริ่มคัดลอกลงบนกระดาษขาวแผ่นหนา
ลูเมี่ยนคัดลอกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งรู้สึกเบื่อหน่ายและไร้ความหมาย จึงอดไม่ได้ที่จะคิดหาวิธีช่วยให้ตัวเองสามารถ ‘ขี้เกียจ’
ไม่นานนัก เขาก็ผุดแนวคิดหนึ่ง
อัญเชิญสิ่งมีชีวิตรูปร่างกระต่ายจากโลกวิญญาณ ตัวที่เคยช่วยเขียนจดหมายฟ้อง ให้มันช่วยคัดลอกสมุดบันทึกแทน!
“แม้ว่าเจ้านั่นจะไม่ค่อยฉลาด ค่อนข้างโง่เลยแหละ แต่ข้อดีคือมันเชื่องมาก ความเร็วในการคัดลอกก็สุดยอด และยังเลียนแบบลายมือได้ด้วย… อา… สิ่งที่เราเสียมีแค่พลังวิญญาณ สามารถนั่งอ่านหนังสือพิมพ์และนิตยสารไปพลาง รอจนกว่ามันจะช่วยเขียนการบ้านให้เสร็จ ไม่สิ ช่วยคัดลอกสมุดบันทึก…” ลูเมี่ยนใคร่ครวญแล้ววางปากกาหมึกซึมลง เตรียมทำพิธีอัญเชิญ
เรื่องที่ขี้เกียจได้ ทำไมจะไม่ขี้เกียจล่ะ?
ตอนอยู่ที่หมู่บ้านกอร์ตู ทุกครั้งที่เขาทำการบ้านและแบบฝึกหัดที่พี่สาวสั่งจนเสร็จ เด็กหนุ่มจะคิดอย่างจริงจังเสมอ ว่าต้องทำอย่างไรจึงจะขี้เกียจได้บ้าง
เวลาที่เขาสอนให้แรมงต์กับเอวารู้จักคำศัพท์ ส่วนหนึ่งก็เพื่อหาวิธีขี้เกียจ โดยหวังว่าเมื่อทั้งสองพัฒนาขึ้นจะได้ช่วยตนเขียนการบ้าน
แต่น่าเสียดายที่ช่องว่างความรู้ระหว่างทั้งสองฝ่ายห่างกันเกินไป ถ้าไม่ใช้เวลาหลายปี ก็คงยากที่พวกเขาจะตามทัน
ไม่นานนัก ลูเมี่ยนก็จัดแท่นบูชาเสร็จ ประกอบพิธีชำระล้างกริชเงินพิธีกรรม สร้างกำแพงวิญญาณ
สูดกลิ่นส้มและลาเวนเดอร์ที่ลอยคลุ้ง เด็กหนุ่มจ้องเปลวเทียนสีเหลืองอมส้ม แล้วเอ่ยเป็นภาษาเฮอร์มิสโบราณ
“ตัวข้า!”
วินาทีถัดมา ลูเมี่ยนเปลี่ยนเป็นภาษาเฮอร์มิสแทน
“ขออัญเชิญในนามของข้า”
“วิญญาณที่เตร็ดเตร่ในความว่างเปล่า สิ่งมีชีวิตเป็นมิตรที่สามารถสื่อสาร ผู้อ่อนแอที่สามารถเขียนภาษาอินทิส…”
เปลวเทียนเปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้มอย่างรวดเร็ว พองโตขึ้นจนมีขนาดเท่าหัวมนุษย์
เมื่อลูเมี่ยนท่องคาถาที่เหลือจบ ร่างโปร่งใสอันพร่ามัวก็โผล่ออกจากเปลวเทียน
สูงเกือบหนึ่งเมตรเก้า มีหัวเป็นวัว ตัวเป็นมนุษย์ สวมเสื้อผ้าหนังสัตว์สีน้ำตาล
ไม่ใช่กระต่ายตัวนั้นสินะ… อา… สิ่งมีชีวิตโลกวิญญาณที่สอดคล้องกับคำนิยามในคาถาของเราน่าจะมีอยู่ไม่น้อย แต่ละครั้งจะได้ใครก็ต้องสุ่มออกมา… ลูเมี่ยนผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็อีกใจหนึ่งก็คาดหวัง พลางชี้ไปยังสมุดบันทึกเวทมนตร์
“ช่วยคัดลอกสมุดบันทึกเล่มนี้ให้หน่อย”
‘คนหัววัว’ ตัวใสมัวๆ พยักหน้ารับ
“ตกลง”
มันนั่งลงทันที หยิบปากกาหมึกซึมสีแดงเข้มขึ้นมา แล้วเริ่มคัดลอกสมุดบันทึกเวทมนตร์ของโอลัวร์
ไม่เลว ฉลาดกว่ากระต่ายโง่ๆ เยอะเลย… ลูเมี่ยนคิดด้วยความปลาบปลื้มใจยิ่ง
ขณะเตรียมจะนั่งลงบนเก้าอี้เอนหลัง เพื่ออ่านหนังสือพิมพ์และนิตยสาร ก็พลันรู้สึกตงิดใจขึ้นมา
มันคัดช้าไปหน่อยไหม? นี่ก็ผ่านไปสิบกว่าวินาทีแล้ว ยังเขียนไม่เสร็จแม้แต่คำเดียว!
ไม่สิ มันเพิ่งเขียนไปแค่สองตัวอักษรเท่านั้น!
“เร็วกว่านี้ได้ไหม?” ลูเมี่ยนถามหยั่งเชิง
“ที่คือความเร็วสูงสุดของข้าแล้ว” ‘คนหัววัว’ ตอบตามจริง
อย่างน้อยมันก็เป็นเครื่องพิมพ์ดีดเร้นลับเลยนะ ใช้เวลาไม่ถึงนาทีก็คัดลอกได้ทั้งหน้า!
ลูเมี่ยนนึกอยากจะสิ้นสุดพิธีและส่งคนหัววัวกลับไป เพื่อเรียกสัตว์วิญญาณตัวใหม่มาแทน แต่เมื่อคิดว่าตัวต่อๆ ไปก็คงจะเป็นพวก ‘ไม่เต็มเต็ง’ เหมือนเดิม เด็กหนุ่มจึงปล่อยวางด้วยท่าทีเหนื่อยหน่าย
จนกระทั่งพิธีกรรมยุติลงตามธรรมชาติ คนหัววัวก็คัดลอกได้เพียงครึ่งหน้า
ลูเมี่ยนบีบนวดขมับ พลางได้ข้อสรุปว่าคงต้องลงมือทำเอง
หลังจากคัดลอกเสร็จสามหน้ารวด เด็กหนุ่มก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังกุกกัก
“มีอะไร?” ลูเมี่ยนพับปิดสมุดบันทึก วางปากกาหมึกซึมลง ลุกขึ้นเดินไปทางประตู
ด้านนอกคือลูอิส
ด้วยรูปลักษณ์ของนักเลงแข็งกร้าว เขาหรี่เสียงต่ำก่อนจะพูด
“ลูกพี่… ‘คนยักษ์’ ซิมงต์มาหา”
“เขามาทำอะไร?” ลูเมี่ยนยังไม่ลืมว่า ‘คนยักษ์’ ซิมงต์คือหัวหน้าหน่วยแก๊งซาฟาห์ที่ดูแลคาบาเร่ต์และบาร์หลายแห่งบนถนนไนติงเกล ต้องสงสัยว่าเป็นผู้วิเศษเส้นทาง ‘นักรบ’ ที่น่าจะอยู่ในลำดับ 8
ลูอิสส่ายหน้า
“ไม่ทราบครับ”
ลูเมี่ยนเปลี่ยนคำถาม
“คราวก่อนที่เขามาหาบรินิแยร์ พวกเขาคุยอะไรกัน ดูเหมือนจะไม่ค่อยราบรื่นนะ?”
ลูอิสลงรายละเอียด
“‘คนยักษ์’ ซิมงต์ไม่กินเส้นกับบารอนมาตลอด เพราะบารอนเป็นคนคุมคาบาเร่ต์ลมเอื่อย”
เขาเผลอใช้สรรพนามว่าบารอนโดยไม่ทันคิด
เห็นว่าลูเมี่ยนไม่ได้รังเกียจอะไร ลูอิสจึงเล่าต่อ
“รายได้ของคาบาเร่ต์ลมเอื่อยน่ะ มากกว่าคาบาเร่ต์และบาร์ทั้งหมดของเขารวมกัน ทั้งๆ ที่เขาเปิดบ่อนในบาร์ด้วยซ้ำ!”
“คราวก่อนที่เขามาหาบารอน เพราะหวังว่าบารอนจะไม่รับหางเครื่องสวยๆ มาทำงานร้านนี้ แต่ให้ไปที่ถนนไนติงเกลแทน… บารอนตอบไปว่า หางเครื่องทั้งหมดอยู่ในความดูแลของ ‘บูตแดง’ ให้ไปคุยกับ ‘บูตแดง’ เอาเอง ตัวเขาไม่ขอออกความเห็น”
“บนถนนไนติงเกลน่ะ ค่า ‘ดีล’ แต่ละครั้งถูกยังกับให้ฟรี พวกหางเครื่องสวยๆ ไม่อยากไปกันหรอก”
ลูเมี่ยนนึกถึงคำพูดชาร์ลีที่เคยบอกว่า บนถนนไนติงเกล ใช้เงินเพียง 52 โกเปต์ก็หา ‘ลูกแมวน้อย’ ราคาถูกได้แล้ว นั่นแทบจะครึ่งเฟลคินเอง แต่ถ้าเป็นคาบาเร่ต์ลมเอื่อย หากได้เจอลูกค้าใจดีหน่อย พวกหางเครื่องสวยๆ สามารถต่อรองราคาได้ถึงสิบเฟลคิน ปกติก็ได้ตั้งแต่สามถึงห้าเฟลคินแล้ว
ต้องไม่ลืมว่ารายได้เฉลี่ยต่อหัวของชาวบ้านเขตตลาดถือว่าค่อนข้างต่ำ ถ้าเทียบกับถนนกำแพงเมืองหรือถนนเจ้าหญิงสีชาด สาวสวยสักคนจะขายตัวได้สิบกว่าเฟลคินต่อครั้งเลยทีเดียว
‘คนยักษ์’ ซิมงต์อิจฉาที่เราได้คุมคาบาเร่ต์ลมเอื่อย? ลูเมี่ยนพยักหน้าแผ่วเบา ถามด้วยท่าทีปนสงสัย
“มีเรื่องหนึ่งที่ฉันยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร ทำไมกำไรของคาบาเร่ต์ลมเอื่อยถึงสูงขนาดนี้?”
ลูอิสตอบยิ้มๆ
“เหล้าของเราส่วนใหญ่มาจาก ‘มุสิก’ คริสโต ไม่เสียภาษี ราคาถูกมาก”
“แล้วเราก็ไม่ต้องจ่ายค่าเช่าที่ด้วย”
‘มุสิก’ คริสโตที่คุมธุรกิจลักลอบ? ลูเมี่ยนเริ่มเข้าใจสาเหตุคร่าวๆ แล้ว
เด็กหนุ่มเดินออกจากห้อง ผ่านโถงทางเดิน เข้าไปในร้านกาแฟ
‘คนยักษ์’ ซิมงต์ยังคงใส่สูทสีดำที่ค่อนข้างรัดรูป ผมสีเหลืองอ่อนเกาะแนบหนังหัว
ตอนนี้เขาวางหมวกกลมปีกกว้างไว้บนโต๊ะ ตัวเองออกไปยืนข้างหน้าต่าง อัดบุหรี่มวนเข้าปอด
ส่วนกลุ่มมือปืนที่ติดตามมาด้วย คอยกระจายอยู่รอบตัว เผชิญหน้ากับซาโกตาและคนของคาบาเร่ต์ลมเอื่อยในระยะห่าง
เมื่อเห็นลูเมี่ยนเดินเข้าไป ‘คนยักษ์’ ซิมงต์ก็ดับบุหรี่ในมือ แค่นหัวเราะแล้วเสแสร้งเล่นบทคนใจกว้าง
“ชาร์ล ในเมื่อบอสยอมรับในตัวคุณแล้ว ได้รับมอบหมายให้ดูแลคาบาเร่ต์ลมเอื่อยทั้งที ทำไมไม่เลี้ยงเหล้าพี่น้องอย่างเราๆ บ้างล่ะ?”
ซิมงต์พูดพลางเดินเข้าหาลูเมี่ยน
ความสูงเกือบหนึ่งเมตรเก้าของเขา ทำให้ลูเมี่ยนที่สูงหนึ่งเมตรแปดดูเตี้ยลงไปมาก
ลูเมี่ยนเงยหน้ามองจมูกที่ค่อนข้างโตและใบหน้าขรุขระของ ‘คนยักษ์’ ซิมงต์ แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“ผมเป็นโรคกลัวการเข้าสังคม ก็เลยไม่กล้าไปหาพวกคุณน่ะ”
“หืม… ตัวสูงจังแฮะ สมกับฉายา ‘คนยักษ์’ จริงๆ … สูงกว่า ‘ค้อนเหล็ก’ อีกนะเนี่ย”
ความหมายแฝงจากสองประโยคนี้ก็คือ ต่างคนต่างอยู่ นายไม่ยุ่งกับฉัน ฉันก็ไม่ยุ่งกับนาย ไม่อย่างนั้น ฉันที่ฆ่า ‘ค้อนเหล็ก’ ลำดับ 8 แห่งเส้นทางนักรบได้ ก็ฆ่านายได้เหมือนกัน
‘คนยักษ์’ ซิมงต์ไม่เข้าใจประโยคแรก แต่ความหมายเชิงท้าทายในประโยคหลัง เขาสามารถอ่านออก
นั่นทำให้ใบหน้าของเขาขรึมลง พร้อมกับสลัดความคิดดูแคลน ‘ราชสีห์’ ชาร์ลออกไป
ไอ้เด็กนี่ไม่ใช่นักเลงธรรมดา รอยยิ้มและท่าทีเป็นมิตรใช้กับมันไม่ได้ผล!
‘คนยักษ์’ ซิมงต์ชี้ไปที่โต๊ะประจำของบารอนบรินิแยร์
“ผมมีเรื่องจะคุยด้วย”
……………………………………………………..