รักเล่ห์เร้นใจ - ตอนที่ 312
รักเล่ห์เร้นใจ – ตอนที่ 312 พักผ่อน
ตอนค่ำ
เซียวจิ่งสือไม่ได้นอนหลับสนิทมาหลายคืนแล้ว ในที่สุดคืนนี้เขาก็ได้นอนหลับฝันหวานที่บ้านซะที ในฝันเขายังแอบยิ้มที่มุมปากอยู่เลย
นับแต่เขาไปคุยกับอันจี๋ถิง ทำความเข้าใจกับเรื่องทั้งหมดแล้ว เซียวจิ่งสือก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมาเป็นกอง เขาคิดว่าขอเพียงบอกความจริงทั้งหมดกับหลินหว่าน ก็อาจสามารถคลี่คลายความบาดหมางระหว่างสองแม่ลูกได้ จึงแอบดีใจอยู่บ้าง เด็กดื้อนี่ทั้งๆ ที่ในใจคิดถึงแม่มาก และก็อยากจะได้รับความรักจากแม่ที่เธอไม่เคยได้รับมาก่อน แต่กลับยังดื้อดึงดันไม่ยอมสนใจอันจี๋ถิง แข็งใจทำท่าเย็นชาใส่แม่อีก
ความกล้ำกลืนฝืนทนของเธอ เขาเห็นตลอดและก็พลอยปวดใจไปด้วย
กลิ่นหญ้าชุ่มชื้นลอยมาในอากาศ แสงแดดยามเช้าส่องตรงเข้ามาเปิดฉากเช้าวันใหม่ “ติ๊งต่อง…” หลินหว่านกำลังก้มหน้าก้มหน้าค้นข้อมูลว่าจะทำยังไงให้เป็นผู้กำกับที่ดีได้อยู่ทีเดียว ตอนนี้ใครกันนะที่มาขัดจังหวะเธอ? แต่ถึงยังไงก็ต้องไปเปิดประตูอยู่ดี “เอ๋? คุณมาทำอะไรคะ?” พอเห็นว่าเป็นเซียวจิ่งสือ ไฟโทสะก็มอดลงไปกว่าครึ่ง
หลินหว่านเปิดทางให้เซียวจิ่งสือเข้าห้อง เชิญให้เขานั่งลงบนเสื่อตาตามิที่ริมหน้าต่าง แล้วเข้าครัวไปยกขนมหวานที่จัดไว้อย่างสวยงามมาอีกหลายจาน หลินหว่านต้มน้ำชงชามาให้เซียวจิ่งสือ แล้วจึงนั่งลงที่ตรงหน้าเขา หลินหว่านอยู่ในชุดอยู่บ้านสีขาวนวล ผูกผมทรงหางม้าอย่างเรียบง่าย เธอยกมือขึ้นเท้าคางมองดูเซียวจิ่งสือด้วยรอยยิ้มอารมณ์ดี
“เสี่ยวหว่าน” เซียวจิ่งสือวางถ้วยชาลง ปรับโหมดเป็นท่าทีจริงจัง แล้วเล่าเรื่องที่เขาคุยกับอันจี๋ถิงให้หลินหว่านฟังอย่างละเอียด พอเขาพูดถึงตอนที่อันจี๋ถิงถูกบีบจนต้องทิ้งเธอไว้คนเดียวนั้น หลินหว่านมีท่าทีอ่อนลงเล็กน้อย ถึงแม้จะเป็นความเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย แต่ก็ไม่อาจหลุดรอดสายตาของเซียวจิ่งสือไปได้
หลินหว่านนั่งนิ่งรับฟังเงียบๆ จนจบ ขมวดคิ้วพูดว่า “งั้นทำไมเธอไม่มาหาฉันก่อนหน้านี้คะ?” ตอนเป็นเด็ก ทุกครั้งที่ได้ยินพวกเด็กผู้หญิงพูดคุยกันเรื่องสุดสัปดาห์จะไปเที่ยวกับพ่อแม่ที่ไหนๆ เธอก็มักจะรู้สึกเคว้งคว้างอย่างบอกไม่ถูก ไม่ว่าตัวเองจะพยายามสืบเสาะค้นหาขนาดไหน ในความทรงจำส่วนลึก ตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก เข้าสู่วัยรุ่น จนถึงวัยทำงานสร้างเนื้อสร้างตัว ส่วนความทรงจำเกี่ยวกับอันจี๋ถิงนั้น เป็นเพียงผืนแผ่นสีเทาหม่นที่ตายไปแล้วเท่านั้น
ในเมื่อทำได้ ทำไมไม่ส่งคนมารับตัวเธอไป? ถึงจะไม่สามารถเอาตัวเธอไปด้วยได้ อย่างน้อยก็ควรจะให้เธอได้รู้ว่าเธอยังมีแม่อยู่ แม่ไม่ได้เหมือนกับที่คนอื่นพูดกันว่าจากโลกนี้ไปอย่างน่าเศร้าใจเช่นนั้น อย่างน้อยก็ควรให้เธอได้รู้ว่าเธอไม่ใช่เป็นยัยเด็กน่าสงสารที่ไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อ!
หลินหว่านมองพื้นนิ่งนาน น้ำตาไหลพรากเป็นเส้นสาย ดวงตาเป็นหมอกมัว “เธอไม่เพียงไม่ได้มาหาฉัน ยังเข้าใจผิดเห็นอี้อวิ๋นฉังเป็นลูกอีก! จิ่งสือคะ ฉันไม่มีแม่ แม่ฉันที่ชื่ออันจี๋ถิง เธอได้ตายไปแล้วตั้งแต่ฉันยังเล็กมาก ส่วนหลางอี้ เธอไม่ใช่แม่ของฉัน”
เซียวจิ่งสือลุกขึ้นมาหาหลินหว่าน ลูบศีรษะเธอ โอบเธอไว้ในอ้อมกอด “เสี่ยวหว่าน ถ้าหากคุณไม่ยอมรับเธอเป็นแม่ พวกเราก็ลืมเรื่องนี้ไปเถอะ แต่เสี่ยวหว่าน ในใจคุณยังมีเธออยู่ชัดๆ คุณยังคิดถึงเธอ ตราบใดที่ยังไม่ยอมรับเธอ ใจคุณก็ไม่อาจเป็นสุขได้หรอก”
“ผมจะเป็นเพื่อนคุณ เราไปหาเธอถามกันให้รู้เรื่องไปเลย ถ้าหากถึงตอนนั้นแล้ว คุณยังยอมรับอันจี๋ถิงเป็นแม่ไม่ได้ ผมก็จะตามใจคุณ ดีไหม?” หาได้ยากที่เซียวจิ่งสือจะมีเวลาอบอุ่นนุ่มนวลแบบนี้ หลินหว่านฟังเขาพูดด้วยหัวใจเต้นโครมคราม จนค่อยๆ สงบใจลงได้
หลินหว่านบอกว่าเธอต้องการเวลาคิดสักนิด เซียวจิ่งสือจึงเสนอว่าให้ไปเที่ยวอเมริกา เขาจะได้ถือโอกาสพาเธอไปดูโรงถ่ายภาพยนตร์ด้วย จะได้รู้ว่าการเป็นผู้กำกับที่ดีนั้นเป็นอย่างไร ค่ำวันนั้น ทั้งสองจึงนั่งเครื่องบินตรงไปยังเมืองลอสแอนเจลิส
พนักงานบนเครื่องเข็นรถอาหารมาแล้ว ล้อรถที่วิ่งไปตามพรมหนา ตามด้วยเสียงพูดคุยกันเบาๆ บนเครื่องดังขึ้นเป็นพักๆ ตอนแรกเป็นเหมือนเส้นเสียงเล็กๆ ที่กระจายไปตามมุมต่างๆ จากนั้นค่อยๆ ประสานกันเข้าถักทอเป็นเส้นสายอยู่ในบรรยากาศ เสียงคำพูดเหล่านี้ชอนไชเข้าสู่ใบหูของหลินหว่านที่นอนหลับอิงร่างอยู่กับเซียวจิ่งสือ
เช้าตรู่ สนามบินนานาชาติลอสแอนเจลิส
เซียวจิ่งสือกุมมือหลินหว่าน เดินออกจากสนามบินท่ามกลางสายตาที่มองมาอย่างอิจฉาหนุ่มหล่อสาวสวยคู่นี้ แสงสว่างยามเช้าแผ่ปกคลุมไปในลมหนาวของฤดูใบไม้ร่วง ต้นไม้สองข้างทางแผ่กิ่งก้านออกรับแสงบางเบา โบกไหวไปมาอยู่บนไหล่ของคนทั้งสอง แม่น้ำใสไหลรินไปท่ามกลางแสงแดดยามเช้าตรู่เป็นประกายวิบวับ
หลายวันต่อจากนั้น เซียวจิ่งสือได้จัดกิจกรรมบันเทิงหลากหลายรูปแบบให้หลินหว่าน อาทิ พาเธอไปชมสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ในฮอลีวูด ไปสถาบันอบรมใหญ่สุดในลอสแอนเจลิส หาอาจารย์ที่มีชื่อเสียงด้านนี้มาช่วยอบรมความรู้ด้านการกำกับภาพยนตร์ให้หลินหว่าน…
เซียวจิ่งสือยืนยันว่าจะทำกับข้าวกินเอง แต่ไม่ยอมให้หลินหว่านช่วย หลินหว่านได้แต่ส่ายศีรษะเดินมาหยุดที่หน้าต่าง ทั่วทั้งเมืองลอสแอนเจลิสสว่างไสวด้วยแสงไฟเจิดจ้าจนกลบแสงจากดวงดาว แสงจันทร์เสี้ยว เป็นทิวทัศน์ยามราตรีที่ไม่เหมือนใคร “อย่าเหม่อแล้ว มาทานข้าวกันเถอะ!” เซียวจิ่งสือเรียกขึ้น ดึงให้หลินหว่านกลับสู่ความเป็นจริง “อื้อ มาแล้วค่ะ”
“เสี่ยวหว่าน ผมเซียวจิ่งสือนี่แหละจะทำให้คุณกลายเป็นผู้กำกับระดับแนวหน้าให้ได้ ถ้าคุณไม่ต้องการคืนดีกับคุณน้าอัน เราก็มาสู้ด้วยกัน คุณจำไว้นะ คุณมีผมอยู่ ผมจะช่วยคุณเสมอ ขอเพียงมีผมอยู่ คุณสบายใจได้เลย”
หลายวันมานี้ถึงแม้เปลือกนอกหลินหว่านจะยุ่งวุ่นวายกับการเล่าเรียนอย่างมีความสุข แต่เซียวจิ่งสือยังรับรู้ได้ถึงปมขัดแย้งในใจของเธอ เขาต้องคลายปมในใจให้หลินหว่าน แม่จะอย่างไรก็เป็นแม่อยู่ดี ถึงแม้เธอจะเคยทำผิดมาก่อน แต่ความรักและความรู้สึกผิดของเธอที่มีต่อหลินหว่านนั้น เพียงพอที่จะแสดงถึงความจริงใจของเธอได้เป็นอย่างดี
“จิ่งสือคะ พวกเราจะกลับกันเมื่อไหร่คะ? เรากลับไปถามเธอให้รู้กันไปเลยเถอะ” หลินหว่านเชิดหน้าปาดน้ำตา หัวใจเต้นกระชั้นขึ้น ขณะเอ่ยกับเซียวจิ่งสือด้วยรอยยิ้ม ที่จริงแล้วในใจเธอยังหวาดหวั่นอยู่มาก เธอไม่สบายใจเลย เรื่องพวกนี้ต้องสะสางกันให้ชัดไปเลยจึงจะไม่ค้างคาใจอีก
พอดีกับคลาสเรียนกำกับการแสดงของหลินหว่านใกล้จบลง อีกสองวันก็กลับบ้านได้แล้ว “ได้สิ ทานข้าวกันเถอะ”
หลังอาหาร เซียวจิ่งสือชี้ไปที่เปียนโนหลังที่ตั้งอยู่ในห้องรับแขก ตื้อจะให้หลินหว่านเล่นและร้องเพลงให้เขาฟัง หลินหว่านอดถอนใจอีกครั้งไม่ได้ ฉายา ‘เซียวสามขวบ’ ของพี่แกนี่ไม่ได้มาเปล่าๆ จริงๆ “หากไม่มีคุณ ฉันยังจะมีอะไรให้เสียใจได้อีก…” ถึงอย่างไรหลินหว่านก็เคยเป็นนักร้องนำมาก่อน การเล่นเปียนโนร้องเพลงเป็นเรื่องง่ายมากสำหรับเธอ และเพลงนี้ก็เพียงพอที่จะแสดงอารมณ์ความรู้สึกและความรักสารพันของเธอที่มีต่อเซียวจิ่งสือ
ภายในประเทศ
พอลงจากเครื่อง ทั้งสองก็หาสปาเก็ตตี้ทานกันง่ายๆ แล้วกลับบ้านไป หลินหว่านนอนหลับสบายอยู่บนเตียงในบ้านตื่นหนึ่ง วันรุ่งขึ้น เซียวจิ่งสือก็จัดรถมารับเธอไปพบอันจี๋ถิง ถึงเวลาที่ทุกอย่างจะเปิดเผยออกมาเสียที