ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก - บทที่ 569 สถานการณ์ตึงเครียด
บทที่ 569 สถานการณ์ตึงเครียด
บทที่ 569 สถานการณ์ตึงเครียด
เมื่อเห็นท่าทีตอบรับอันรุนแรงของกัวจื่อหมิง ที่ปรึกษาก็ไม่คิดเกลี้ยกล่อมแม้แต่น้อย เนื่องจากเขาติดตามรับใช้อีกฝ่ายมานานหลายปี ดังนั้นจึงทราบดีว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไร ก่อนหน้านี้หากกัวจื่อหมิงคิดโจมตีเล่นงานอู๋ฝานก็เกรงว่าจะไม่มีข้ออ้างที่ดีพอ ขณะนี้อีกฝ่ายหาข้ออ้างมาให้ด้วยตนเอง รวมกับโทสะที่กำลังพลุ่งพล่าน ถ้าจะตัดสินใจลงมือก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
ยิ่งไปกว่านั้น ที่ปรึกษายังเพิ่งถูกอู๋ฝานเล่นงานมาอย่างหนัก ในใจเขาจึงยิ่งปรารถนาที่จะเห็นอีกฝ่ายประสบโชคร้าย
เพราะอู๋ฝานคือจื่อเจวี๋ย ทั่วทั้งเทศมณฑลชิงหยวนจึงมีเพียงกัวจื่อหมิงที่สามารถสยบเขาได้ ดังนั้นกัวจื่อหมิงจึงตัดสินใจนำกำลังคนมุ่งหน้าไปยังจวนอู๋ด้วยตนเองอย่างยิ่งใหญ่
ส่วนที่ปรึกษา เขาเพียงติดตามอยู่ข้างกายกัวจื่อหมิงด้วยสีหน้าแม้บวมปูดแต่ก็อิ่มเอม เขาคิดอยากเป็นประจักษ์พยานต่อเคราะห์กรรมที่อู๋ฝานจะได้รับ ถึงขนาดไม่คิดอยู่ที่ว่าการเทศมณฑลเพื่อรักษาบาดแผล
ขณะกัวจื่อหมิงและที่ปรึกษานำกำลังคนกลุ่มใหญ่เดินทัพเตรียมบุกไปยังจวนอู๋ มันเป็นช่วงเวลาที่ซุนเลี่ยงจัดเตรียมสินค้าให้อู๋ฝานพร้อมพอดี ทางด้านชายหนุ่มก็กำลังเตรียมจะขนย้ายสินค้ากลับออกไปนอกเมือง
“พวกเจ้าไสหัวไปให้พ้นทาง!”
“อาวุธไม่มีตา คนไม่เกี่ยวข้องจงเร่งรีบไสหัวไป!”
กัวจื่อหมิงและที่ปรึกษาต่างตะโกนเสียงดังใส่พวกอู๋ฝานตั้งแต่อยู่ไกล ๆ ส่วนคนสัญจรไปมา เมื่อเห็นว่ากำลังจะเกิดเรื่องจึงหวาดกลัวจนเผ่นหนีแต่ก็ยังมีคนใจกล้าเกิดความสงสัยจนเลือกอยู่ดู แน่นอนว่าพวกเขาหลบไปข้างทางเพื่อเตรียมรับชมเรื่องสนุก
หลังกัวจื่อหมิงและพรรคพวกมาถึง เหล่าองครักษ์จึงรีบปิดล้อมพวกอู๋ฝาน ทั้งกัวจื่อหมิงและที่ปรึกษาต่างเดินผ่านฝูงชนเข้าไปยืนตรงหน้าพร้อมจับจ้องมองคู่กรณี
“ใต้เท้ากัว ทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร?” อู๋ฝานเอ่ยถามอย่างเฉยชา สีหน้าไม่มีวี่แววของอาการตื่นตระหนกหรือตกใจแม้แต่น้อย
“หมายความว่าอะไร? เจ้ากล้าทุบตีคนของที่ว่าการเทศมณฑลโดยไร้ซึ่งเหตุผล นี่จึงเป็นการกระทำผิดกฎหมายบ้านเมือง!” กัวจื่อหมิงจ้องอู๋ฝานพร้อมเอ่ยเสียงเย็นเยียบ “นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่เจ้ามีความคิดกบฏคิดยึดครองเทศมณฑลชิงหยวน เจ้าคือกบฏต่อบ้านเมือง! ในฐานะขุนนางแห่งราชสำนักและผู้ปกครองเทศมณฑลชิงหยวน ข้าไม่อาจนิ่งเฉยหรือมองข้าม วันนี้จึงมาจับกุมตัวเจ้าขังคุกข้อหาเป็นกบฏต่อราชสำนัก!”
“ทหารจับกุมตัวกบฏอู๋ฝานให้ข้า!” กัวจื่อหมิงตะโกนเสียงดัง
“ใครหน้าไหนกล้าจับกุมนายท่านของข้า!” ทั้งซุนเลี่ยงและถังซานต่างมายืนขวางตรงหน้าอู๋ฝาน สายตาของพวกเขาจับจ้องไปยังองครักษ์และเจ้าหน้าที่ซึ่งกัวจื่อหมิงนำพามา
เมื่อข้ารับใช้ในจวนอู๋ฝานทราบถึงความวุ่นวาย พวกเขาต่างพร้อมจับมีด เคียว และอาวุธอื่นใดก็ตามที่สามารถหาได้ออกมาเตรียมต่อกรกับอีกฝ่าย พวกเขาเหล่านี้คือข้ารับใช้ของอู๋ฝาน รวมถึงทาสที่ถูกซื้อตัวมา ชายหนุ่มคือเจ้านายของพวกเขา ช่วงที่ผ่านมาพวกเขาทั้งรู้สึกเป็นเกียรติและยินดีที่ได้รับใช้ นับตั้งแต่วันที่ชายหนุ่มซื้อตัวพวกเขามา ชีวิตของพวกเขาก็คือชีวิตของเจ้านาย
ฝั่งอู๋ฝานเองก็มีองครักษ์เช่นเดียวกัน เนื่องจากเขาเคยขอให้ซุนเลี่ยงรับคนมาก่อนหน้านี้ เพื่อเตรียมไว้ต่อกรกับกัวจื่อหมิงและทัพกบฏภายนอก ทำให้ตอนนี้พวกเขาต่างออกมายืนหยัดเคียงข้างพร้อมอาวุธในมือ
“พวกเจ้ามันกบฏ! พวกเจ้ากล้าต่อต้านราชสำนัก! เป็นอาชญากรรมรุนแรงที่มีโทษประหาร!” เมื่อกัวจื่อหมิงเห็นกลุ่มคนมากมายออกมายืนหยัดเคียงข้างอู๋ฝาน ก็รู้สึกกราดเกรี้ยวขึ้นมา
“ใต้เท้ากัวช่างมีจิตใจคิดถึงราชสำนักดีเสียจริง” อู๋ฝานตอบกลับอย่างสงบ “ข้าคือจื่อเจวี๋ยที่องค์เหนือหัวแต่งตั้ง ทว่าตอนนี้ใต้เท้ากัวกำลังยกเหตุผลที่ไร้ซึ่งหลักฐานมาจับกุมข้าขังคุก แต่กลับเป็นข้าที่คิดว่าเจ้าต่างหากกำลังขัดคำสั่งองค์เหนือหัว หรือว่าไม่ใช่?”
“ข้ามีหลักฐาน อู๋ฝาน หากเจ้าไม่อยากมีโทษหนัก ข้าขอแนะนำให้ยอมวางอาวุธ อย่าได้ขัดขืนโดยเปล่าประโยชน์” กัวจื่อหมิงตอบกลับ
“ไหนเล่าหลักฐาน? ใต้เท้ากัวนำออกมาให้ข้ารับชมหน่อยเป็นไร ไม่ใช่ว่ามีปากแล้วจะพูดอะไรก็ได้” อู๋ฝานตอบกลับ “ส่วนเรื่องที่ข้าทุบตีที่ปรึกษา เพราะมันผู้นั้นหยาบคายกับข้าก่อน ในฐานะผู้ถือครองบรรดาศักดิ์ คนเช่นนั้นกล้าดีอย่างไรมาหยาบคายต่อหน้าข้า? ที่ทุบตียังถือว่าเบามือแล้วเสียด้วยซ้ำ เพราะต่อให้ประหารมันคาที่ก็ยังสมควรแก่เหตุ!”
ที่ปรึกษาที่ยืนอย่างอาจหาญข้างกายกัวจื่อหมิงเพื่อรับชมความน่าอับอายของอีกฝ่าย ขณะนี้เมื่อได้ยินถ้อยคำของอู๋ฝานพลันต้องหดศีรษะพร้อมถอยเท้ากลับโดยไม่รู้ตัว
อู๋ฝานคือจื่อเจวี๋ย ส่วนเขาคือที่ปรึกษาที่ไม่ได้เป็นแม้แต่ขุนนางขั้นใด หากทั้งสองฝ่ายมีปัญหากันจริง นอกจากกัวจื่อหมิงแล้วก็ไม่มีใครที่จะสามารถปกป้องเขาได้อีกต่อไป
“หลักฐานย่อมมีอยู่ เมื่อใดเจ้าติดตามข้ากลับไปยังที่ว่าการเทศมณฑลแล้วจะเปิดเผยให้รับชม” กัวจื่อหมิงตอบกลับ อย่างน้อยเขาก็ยังฉลาดพอไม่อ้างเรื่องทุบตีที่ปรึกษา เขาทราบดีอยู่แก่ใจว่าการที่ขุนนางผู้มีบรรดาศักดิ์ทุบตีที่ปรึกษาไร้ขั้นเช่นนั้น ไม่ว่าผู้สูงศักดิ์จะมีเหตุผลที่ดีพอหรือไม่ ก็ไม่มีใครกล้าที่จะพูดแทนที่ปรึกษาเพราะความต่างทางสถานะที่มากมายจนเกินไป
“ให้ข้ากลับไปกับเจ้างั้นหรือ? คงเป็นการบีบบังคับให้ยอมจำนนหรือหาทางใส่ร้ายแล้วกระมัง?” อู๋ฝานตอบกลับ
“อู๋ฝาน หยุดวาจาอันไร้สาระของเจ้า! ข้าหรือจะทำเรื่องเช่นนั้น?!” เมื่ออีกฝ่ายเปิดเผยความในใจแท้จริงของเขาออกมา กัวจื่อหมิงจึงโกรธแค้นพร้อมชี้หน้าด่าทอ “ข้าจะให้โอกาสอีกครั้ง เจ้าจะตามมาหรือไม่ตามมา? จะไปยังที่ว่าการเทศมณฑลกับข้าหรือว่าไม่ไป?”
“ไม่ไป!” อู๋ฝานตอบกลับอย่างหนักแน่น
อู๋ฝานที่เดาได้ว่ากัวจื่อหมิงจะหาทางจัดฉากใส่ร้าย มีหรือจะยอมเล่นเกมและไปเดินอยู่บนฝ่ามือของอีกฝ่าย เขาไม่คิดปล่อยให้อีกฝ่ายทำเช่นนั้น อีกทั้งการมาเยือนเทศมณฑลชิงหยวนครั้งนี้ยังไม่มีเวลาให้เสีย ดังนั้นตนจะเอาเวลาที่ไหนตามอีกฝ่ายไปยังที่ว่าการเทศมณฑล?
“ดี ตอบได้ดี!” กัวจื่อหมิงโกรธจัด “บุกเข้าไปและจับตัวกบฏอู๋ฝาน! หากใครกล้าต่อต้านให้ประหารโดยไม่ต้องปรานี!”
ถ้อยคำของกัวจื่อหมิงอัดแน่นด้วยจิตสังหาร เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ล้อเล่น ใจเขากระทั่งคาดหวังให้อู๋ฝานต่อต้านเสียด้วยซ้ำ หากเป็นเช่นนั้นจะได้มีข้ออ้างประหารอีกฝ่ายท่ามกลางความโกลาหล เมื่อใดคนตาย ตอนนั้นจึงไม่มีปากเสียง ต่อให้ใส่ความหรือให้ร้ายเพียงใดก็มีแต่ต้องยอมรับโดยไม่อาจเอ่ยวาจา
ส่วนเรื่องฝีมือของอู๋ฝาน กัวจื่อหมิงไม่คิดกังวลแม้แต่น้อย เนื่องจากฝ่ายเขามีคนเยอะกว่า อย่างไรอีกฝ่ายก็ไม่มีทางรับมือได้ไหว ต่อให้มีคนช่วยก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์
“ขอรับ!” เหล่าองครักษ์และเจ้าหน้าที่ทางการที่กัวจื่อหมิงนำพามาต่างตอบรับโดยพร้อมกัน เสียงนี้ดังและยิ่งใหญ่
ทว่าอู๋ฝานไม่หวาดเกรงแม้แต่น้อย หากต้องจัดการกับกัวจื่อหมิง มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรที่เขาต้องใส่ใจ อย่างไรตนก็มีเหตุผล ทั้งยังมีสถานะสูงส่งกว่าอีกฝ่าย ดังนั้นแม้จะทำให้เรื่องราวเลวร้ายลงกว่านี้ก็ไม่มีอะไรต้องกลัวเกรง
ทั้งสองฝ่ายไม่มีใครเปิดฉากลงมือก่อน ทำให้สถานการณ์เริ่มตึงเครียด ผู้คนที่รับชมอยู่รอบด้านต่างรับรู้ได้ว่ากำลังจะเกิดสงครามกลางเมือง ขณะนี้จึงพร้อมใจกันถอยห่างเว้นระยะออกไปให้ไกลยิ่งขึ้น
“มีพระราชโองการ!”
ขณะฝ่ายองครักษ์และเจ้าหน้าที่ทางการที่กัวจื่อหมิงนำมากำลังจะลงมือ เสียงหนึ่งกลับดังแหลมขึ้นให้ได้ยิน ตอนนี้เองที่ทุกคนได้เห็นกลุ่มทหารม้าเดินทัพมาแต่ไกล ผู้ที่นำมาสวมใส่ชุดมหาขันที
พระราชโองการ?
ไฉนจึงมีพระราชโองการที่นี่? แล้วถึงผู้ใด?
ทุกคนกำลังสับสนและสงสัย
ขณะกลุ่มทหารม้าเดินทางมาหยุดอยู่ตรงหน้าผู้คน องครักษ์และเจ้าหน้าที่ทางการต่างต้องสลายตัวกันโดยสัญชาตญาณ
“มีพระราชโองการ!” มหาขันทีผู้นำสารมามองต่ำจากหลังม้าลงไปยังผู้คนทั้งหลายด้วยเสียงแหลม
“กัวจื่อหมิงรับราชโองการ!”