ระบบศัลยเเพทย์…ในยุคสิ้นโลก - ตอนที่ 172
ตอนที่ 172 ที่มาของโรค
“แต่ลุงด้านไม่รู้จักคาถา เธอจะเรียกมาทําไม? อีกอย่างหนึ่งลุงต้านกําลังยุ่งอยู่ เขากําลังตรวจสอบศพของเหล่าสาวก”
ตอนที่เสี่ยป้ากําลังเดินไปหาลุงต้านเพื่อให้ลุงต้านมาตรวจดูอาการของคู่จวิน เขาเห็นลุงต้านที่กําลังตรวจของเนื้อเยื่อเหล่าสาวก รวมทั้งเก็บเนื้อเยื่อของหมาป่ากลายพันธุ์อีกด้วย…
และนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งในภารกิจของทีมการแพทย์ แน่นอนว่าภารกิจนี้เดิมที่เป็นของหน่วยวิทยาศาสตร์ที่หลินม่อสังกัดอยู่ แต่เนื่องจากหลินต่อมานอนเลี้ยงอยู่ข้างๆกู้จวินซะแล้วก็ไม่มีใครทําหน้าที่นี้อีก
หลินม่อมองจวินแล้วเขาก็ใช้มือของเขาเกาแก้มเบาๆ “เธอจะเรียกลุงต้านมาทําไม ลุงต้านไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องของคาถาไม่ใช่เหรอ?”
กู้จวินถอนหายใจเล็กน้อยจากนั้นก็ถามพร้อมตอบด้วยความสัตย์จริง
“พวกเราไม่ได้มาที่นี่เพื่อสืบหาต้นตอของการกําเนิดโรคต้นไทรมนุษย์หรอกเหรอครับ พวกคุณไม่อยากรู้เหรอว่าโรคต้นไทรมนุษย์ที่แสนจะน่ากลัวและอันตรายนั่นมันเกิดขึ้นได้ยังไง?”
กู้จวินพูดด้วยท่าทางยั่วยวน เขาต้องการจูงใจให้ทุกคนในหน่วยนักล่าอสูรเห็นด้วยกับเขาและต้องการให้ทุกคนเห็นพ้องต้องกันด้วย
พอได้ยินคําพูดของคู่จวิน เสี่ยป้าและหลินม่อที่กําลังนั่งฟังอยู่ก็งงงงเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่เข้าใจเรื่องนี้ แต่สักพักหนึ่งพวกเขาก็เริ่มรู้เหตุผลที่จวินสั่งให้เรียกลุงต้านมาที่นี้
นั่นก็เพราะว่าขีดความสามารถและอํานาจที่แสนจะจํากัดของคู่จวินนั่นเอง เพราะว่ากูจวินนั้นพึ่งเข้าองค์กรมาได้ไม่นาน เขายังเป็นเพียงเด็กใหม่ที่หัดเดินได้ไม่กี่ก้าว แม้เขาจะมีผลงานมากมายและเป็นคนสําคัญ แต่ในแง่ประสบการณ์ของเขาก็ยังไม่มากอยู่ดี ดังนั้นตําแหน่งสมาชิกระดับ G ที่พึ่งได้มาไม่กี่วันจึงทําให้ชายหนุ่มไม่รู้ข้อมูลอะไรมากนัก ซึ่งตรงข้ามกับลุงต้านที่อยู่ในองค์กรเฟคต้ามาตั้งแต่หนุ่มจนแก่ เขาจะต้องรู้อะไร มากกว่าคู่จวินแน่นอน และอีกอย่างหนึ่งนอกจากลุงต้านยังเป็นหมอของหน่วยปฏิบัติการเคลื่อนที่แล้ว เขายังมตําแหน่งสูงกว่ากูจวินอีกด้วย ดังนั้นข้อมูลที่ได้ก็จะยิ่งลึกยิ่งกว่าหมอที่อยู่ประจําตึกในตึกฝึกสอนของเฟคต้า แน่นอน
“โรคต้นไทรมนุษย์นี้แพร่กระจายในหมู่บ้านต่างๆ… แต่หมู่บ้านที่อยู่ติดกับแหล่งของทรัพยากรที่ทันสมัย และติดชุมชนใหญ่นั้นปกติดี ไม่มีร่องรอยของโรคต้นไทรมนุษย์และไม่มีข่าวของโรคนี้เลยด้วยซ้ํา ชาวบ้านทุกคนที่นั้นสขสบายดีและไม่ต้องทนทุกข์ทรมานกับโรคระบาดเหมือนกับหมู่บ้านอื่นที่โชคร้ายถูกโรคระบาดต้นไทรมนุษย์ครอบงํา แต่ว่าหมู่บ้านที่มีประวัติของโรคต้นไทรมนุษย์แล้ว… มันมักจะแพร่กระจายไปยังหมู่บ้านอีกหมู่บ้านหนึ่งที่มีอะไรบางอย่างที่คล้ายคลึงกัน อย่างน้อยในหมู่บ้านเหล่านั้นจะต้องมีต้นไทรปลูกในบริเวณใกล้เคียง นั่นจึงเป็นเงื่อนไขของการเกิดโรคนี้… งั้นตอนนี้อย่างแรกที่พวกคุณควรทําก็คือมองไปรอบๆตัวของพวกคุณ ก่อนและคุณก็จะรู้คําตอบในไม่ช้” กู้จวินพูดด้วยน้ําเสียงจริงจัง ทําให้เสี่ยป้าและหลินม่อต้องรีบหันไปมองรอบๆข้างโดยทันที และพวกเขาก็เห็น…
ต้นไทร
ต้นไทรที่อยู่รอบๆตัวพวกเขาและรอบๆ ศาลเจ้านั้นเต็มไปด้วยกิ่งก้านสาขาที่บิดเบี้ยวแปลกตา… มันมีลําต้นที่ใหญ่ผิดจากต้นไทรปกติ ไม่ว่าจะเป็นกิ่งก้านหรือรากลัวนใหญ่โตและคดเคี้ยวอย่างน่าหวาดผวา… แค่มองดูก็ทําให้ทุกคนรู้สึกหวาดกลัวไปถึงไขสันหลัง
“นี่คือศูนย์กลางการแพร่กระจายของโรคมนุษย์ต้นไทรที่มีรูปร่างผิดปกติครับ” คู่จวินตอบเสี่ยป้าและหลินม่อด้วยน้ําเสียงที่สั่นเครือ ความรู้สึกของเขาตอนนี้มืดมนอย่างมาก… เขามองไปที่ต้นไทรทั้งหมดที่อยู่รอบๆ หัวใจของเขายิงจมดิ่งลงในความมืดมิด
มันเป็นเรื่องที่โหดร้าย คนมากมายจะต้องมาเจ็บปวดพิกลพิการและตายจากโรคนี้… ทั้งหมดคือคําตอบที่เขาได้รับจากกระดาษหนังเทียมแผ่นที่ 5
และแผนที่ 5 ที่ว่านี้มันเป็นแผ่นเดียวที่ไม่ได้มีอย่างอื่นเขียนนอกจากคาถา กู้จวินคาดว่าสาวกพวกนั้นเป็นคนร่ายคาถานี้ที่หน้าต้นไทร จากนั้นก็ทําให้เกิดเรื่องราวร้ายแรงโรคระบาดในโลกของเขา….
หรือว่าหลายปีที่เก็บตัวไปก็เพื่อต้องการค้นคว้าและทดลองคาถานี้… กู้จวินคิดถึงวันคืนตอนสมัยที่เขายังเด็กจนกระทั่งก่อนเข้าคณะแพทย์ ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่สงบสุข บริษัทไล่เฉิงไม่ได้มาไล่ตามเขาอย่างเปิดเผย…ต่อให้จะเฝ้าติดตามอยู่บ้างก็ตามแต่พวกก็ไม่ได้เปิดเผยตัว ดังนั้นช่วงเวลาก่อนหน้านี้พวกเขาน่าจะยังไม่มีคาถา…
แต่ทั้งหมดมันก็แค่ข้อสันนิษฐาน กู้จวินไม่สามารถคาดเดาความจริงได้อย่างสิ้นเชิงถ้าไม่ได้เห็นด้วยตาของตัวเอง
“หากร่ายคาถานี้ล่ะก็… ต้นไทรที่ผิดปกติอยู่ในศาลเจ้านี้ทุกต้นจะส่งโรคมนุษย์ต้นไทรไปยังต้นไทรที่อยู่อีกโลกหนึ่งทันที และหลังจากนั้นต้นไทรเหล่านั้นก็จะแพร่เชื้อโรคมนุษย์ต้นไทรไปยังมนุษย์ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการแพร่ระบาดของโรคต้นไทรมนุษย์ในหมู่บ้านทางตะวันออก… และสําหรับหมู่บ้านคู่หรงนั้นก็น่าจะเป็นแบบนี้เช่นกันครับ” เสียงของจวินที่บอกความจริงนี้ออกมาเป็นน้ําเสียงที่โศกเศร้าและดูคล้ายกับการยอมจํานน เขารู้สึกเศร้าจริงๆที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้กับมนุษยชาติ… เพราะมันคือหายนะที่ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะตัวเอง มันเป็นแค่ความโชคร้ายก็เท่านั้น คนพวกนั้นโชคร้ายเอง….
แพร่กระจายไปอีกโลกนึงอย่างนั้นเหรอ?
จากนั้นกู้จวินคิดถึงข้อสมมติฐานของเขาได้อีกอย่างหนึ่ง… นั่นก็คือจักรวาลนี้มีโลกเพียงแห่งเดียวจริงหรือไม่ แล้วต่างโลกที่ว่านั่นคืออะไร แล้วถ้ามีอีกหนึ่งโลกล่ะ!? สรุปแล้วโลกมันมีเพียงสองโลกหรือหรือมันจะมีโลกอื่นอีกกันแน่?
และถ้ามันยังมีในกรณีของการมีโลกใบอื่นอีกและโรคต้นไทรจะสามารถส่งไปถึงโลกแห่งนั้นได้หรือไม่…แต่เรื่องนี้เองเขาก็ไม่รู้ และท้องฟ้าสีเทาของศาลเจ้าแห่งนี้ก็คงบอกคําตอบให้เขาไม่ได้เช่นกัน…..
“ถ้าอย่างนั้นต้นไทรเหล่านี้มีโรคไทรผิดรูปด้วยหรือไม่? เป็นอันตรายไหม?” กรามของเสวี่ยป่ากระชับขึ้น แม้คําถามจะบอกถึงความสงบนิ่ง แต่ในใจของเสวี่ยป้าก็เต้นระรัวด้วยความตื่นตระหนกแล้ว… แม้เขาจะเคยเป็นสมาชิกในทีมตรวจพลังงานผิดปกติ แต่ก็ใช่ว่าเขาจะคุ้นชินกับเรื่องพวกนี้เสมอไป ฉับพลันเขาเริ่มรู้สึกว่าต้นไทร ที่ล้อมรอบศาลเจ้าแห่งนี้มันน่ากลัวดั่งพญามัจจุราช ใบหน้าที่แสนจริงจังของเขาจริงจังมากกว่าเดิมอีก 10 เท่า เขารู้ได้ทันทีว่านี่มันไม่ใช่ข่าวดี!
หลินต่อที่นั่งมานานก็เอ่ยตั้งคําถามบ้าง “แต่ทําไมคนจากบริษัทไล่เฉิงไม่เห็นกลัวที่จะเข้าใกล้ต้นไทรพวกนี้ล่ะ? พวกเขามีภูมิต้านทานต่อโรคหรือไม่?”
“เรื่องนี้ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน…ถ้าถามจากบรรดาคนผู้รอดชีวิตก็อาจจะรู้อยู่บ้าง แต่ก็เสียดายที่พวกเขาตายกันหมดแล้ว แต่อย่างน้อยผมก็รู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่าที่นี่คือแหล่งที่มาของโรคต้นไทรที่ผิดปกติหรือมนุษย์ต้นไทรอย่างแน่นอน ผมสัมผัสได้ถึงความผิดปกติที่ล่องลอยออกมาจากต้นไม้…” แน่นอนว่ากู้จวินย่อมไม่ยอมให้เป้าหมายอันดํามืดของตัวเขาเองหลุดออกมาให้คนพวกนี้จับจุดอ่อนได้อย่างเด็ดขาด สิ่งที่เขาทําได้ตอนนี้ก็คือการทําให้เรื่องนี้มันสมเหตุสมผล…
กูจะวินหายใจเข้าลึกๆเพื่อระงับความตั้งใจที่ชั่วร้ายในใจของตัวเอง… เพราะยังไงเรื่องที่เขาตั้งใจทําหลังจากตอนนี้มันก็เป็นจุดประสงค์เดียวกับเฟคต้าอยู่แล้ว เขาเองคงไม่ปล่อยให้โรคที่น่ากลัวแบบนี้อยู่ในโลกมนุษย์นานนักหรอก ไม่อย่างนั้นอาจจะเป็นเขาที่แย่เอง และกู้จวินก็ไม่มีวันยอมให้เรื่องที่เสี่ยงต่อความตายของตัวเอง มาเข้าใกล้อย่างแน่นอน เขาจะไม่มีวันตายตราบใดที่ยังค้นหาปริศนานั้นไม่พบ
“ต้นไทรพวกนี้คือตัวหายนะของโลกเรา ถ้าพวกเราไม่จัดการสถานที่นี้เสียต่อตอนนี้ ไม่แน่ว่าขึ้นโรคระบาดรอบที่ 2 มันจะบุกโลกของเราอีก ผมขอแนะนําว่าเราควรจะทําการชําระสถานที่นี้ให้สะอาดเสีย และโรคต้นไทรทั้งหมดก็จะสูญหายไปจากโลกนี้…” กู้จวินพูดขึ้นด้วยน้ําเสียงมุ่งมั่น
หากแปลความหมายตรงตัวก็คือการเผาต้นไทรที่เป็นพาหะของโรคเหล่านี้ทั้งหมดก็เท่ากับการทําลายต้นตอของโรคด้วย… และต่อไปในอนาคตก็จะไม่มีการแพร่ระบาดของโรคต้นไทรมนุษย์อีกต่อไป มันจะทําให้หายนะในอนาคตของมนุษยชาติไม่ถือกําเนิด และมนุษยชาติก็จะคงอยู่อย่างมีความสุขโดยที่ไม่ต้องหวาดกลัวโลกนี้อีกต่อไป
เสวี่ยป่าหายใจเอาลมร้อนออกมาและสูดลมหายใจเย็นในยะเยือกเข้าปอด เขาฟังคําพูดของกู้จวินด้วยหัวใจที่บีบรัด ความคิดของเขานั้นเริ่มเกิดความสับสน
ก่อนที่จะมาเขาได้รับภารกิจจากเบื้องบน แม้จะบอกว่าเป็นการสํารวจแต่ถ้ามีโอกาสได้ทําลายพาหะของโรคนี้มันก็ยิ่งดีกว่าไม่ใช่หรือ? ทางหัวหน้าเองก็กําชับมาแบบนั้นเหมือนกัน ทีแรกเสี่ยป้าคิดเอาไว้ในใจตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าภารกิจนี้มันเป็นไปไม่ได้… เพราะทางบริษัทไล่เฉิงนั้นน่าหวั่นเกรงและอันตรายมากเกินไป หน่วยปฏิบัติการที่ออกไปทําภารกิจในครั้งนั้นยังตายจนเกือบหมด ดังนั้นภารกิจนี้มันยากเกินไปกว่าที่จะยอมรับได้ตั้ง แต่แรกอยู่แล้ว ดังนั้นเขาถึงมุ่งมั่นไปที่การสํารวจมากกว่า ใครจะรู้ว่าครั้งนี้มันจะสําเร็จขึ้นมาจริงๆ
“ทางออกจากสถานที่แห่งนี้ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในแผ่นหนังเหล่านี้ แต่ฉันเชื่อว่าควรมีเส้นทางอยู่ใกล้ๆอยู่กระมัง ไม่อย่างนั้นพวกสาวกจะเข้ามาได้อย่างไร?” กู้จวินเอ่ยปากกล่าวเสริม เขาเองก็มีลางสังหรณ์เป็นของตัวเองเหมือนกัน… เขาจึงคิดว่าทางออกน่าจะอยู่ใกล้ๆแถวๆนี้ จากนั้นเมื่อนึกถึงเรื่องเก่าก่อนกู้จวินจึงตัดสินใจอธิบายให้ฟัง
“จําปฏิบัติการล่าสุดของกรมปฏิบัติการได้ไหมครับ? ฉันเชื่อว่าสมาชิกของ บริษัทไล่เฉิงหนีมาที่นี่ผ่านอุโมง ค์ต้นไม้อีกแห่ง”
“เดี๋ยวก่อน…” หลินม่อมีคําถามใหม่ ตัวเขาเป็นสมาชิกของหน่วยวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ เขาย่อมมีเหตุผลมากกว่าคนอื่น ทันทีที่กู้จวินพูด…หลินมอเองก็เริ่มคิดตามจากนั้นก็วางแผนเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว เขาจะไม่วางแผนก็ไม่ได้เพราะนี่เกี่ยวถึงทางรอดของคนทั้งกลุ่ม พวกเขาอาจจะตายทั้งหมดเพราะขาดเสบียงและขาดน้ํา ส่วนตัวของหลินมอเองถ้าหากตัดสินใจผิดพลาดก็จะทําให้ตัวเองต้องบาดเจ็บเพราะขาดยาจนตายก็เป็นไปได้ เมื่อมองเห็นขาของตัวเองที่ขาดไปข้างหนึ่งหลินต่อก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ จากนั้นเขาก็ทบทวนก่อนที่จะพูดคําถามนี้ให้กู้จวินฟัง “ถ้าเราทําลายต้นไทรพวกนี้ มันจะไม่ทําลายทางออกของเราด้วยเหรอ?”
“นั่นก็เป็นไปได้ครับ…เรายังไม่เห็นหน้างาน ก็ยากที่จะรู้” กู้จวินเองก็พยักหน้าเห็นด้วย เพราะเขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือน ข้อมูลทั้งหมดของเขามาจากการหยั่งรู้และคาดเดารวมถึงนิมิตทั้งสิ้น “เส้นทางเชื่อมต่อผ่านช่องว่างประสาทสัมผัสและรูหนอนเวลาระหว่างต้นไทรสองต้น…น่าจะมีทางออก แต่ผมก็ไม่รู้จะอธิบายทฤษฎีการทํางานเบื้องหลังของมันให้พวกคุณฟังยังไงดี”