ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 648 ข้อจำกัดของกฎเกณฑ์
บทที่ 648 ข้อจำกัดของกฎเกณฑ์
บทที่ 648 ข้อจำกัดของกฎเกณฑ์
ฮ่วนซิงไป๋และเซียวเทียนต่างตกตะลึง!
เซียวเทียนนั้นถือกระบี่อยู่ในมือ เดิมทีก็เป็นผู้ฝึกฝนเจตจำนงกระบี่ ครั้งนี้ภายในใจกลับผุดเจตจำนงกระบี่แบบใหม่ ยิ่งสร้างความตกใจเป็นเท่าทวี
ส่วนฮ่วนซิงไป๋นอกจากเจตจำนงกระบี่ที่กู่อี้เจี้ยนเคยมอบให้แล้ว ตัวเขานั้นก็ไม่ได้ฝึกฝนวิถีกระบี่และไม่เคยสัมผัสกระบวนท่าและเจตจำนงกระบี่มาก่อนเลย!
ทว่าในยามนี้ ภายในร่างของเขากลับมีเจตจำนงกระบี่พุ่งทะยานขึ้นไปบนฟ้าราวกับต้องการจะท้าทายสรวงสวรรค์!
ทั้งสองล้วนตระหนักได้อย่างแจ่มแจ้งแล้วว่า สิ่งใดคือพลังกฎเกณฑ์ของเทพ!
เจตจำนงกระบี่นี้ ลู่หยวนในฐานะเทพผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดของเมืองไร้ขอบเขตได้กำหนดกฎเกณฑ์ขึ้นมา!
ภายใต้กฎเกณฑ์นี้ สรรพชีวิตล้วนสามารถเข้าใจเจตจำนงกระบี่อันล้ำลึกได้ในพริบตา!
ลู่หยวนชี้นิ้วอีกครั้ง บรรดาหอกยาวนับหมื่นก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าแล้วร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน เกิดกระบวนท่ากระบี่ขึ้น ก่อนจะแผ่ขยายเข้าสู่ร่างของเหล่ามนุษย์!
ฮ่วนซิงไป๋ถือกระบี่ยาวพลิ้วไหวไปมาตามใจนึก ทันใดนั้นเจตจำนงแห่งกระบี่ก็แผ่ซ่านทั่วทิศ!
ในแผ่นดินหยวนหง เจตจำนงแห่งกระบี่และหอกนี้ หาได้ยากยิ่ง หากปราศจากโชคชะตา สวรรค์บันดาลและความเพียรพยายาม แต่ ณ ที่แห่งนี้ เพียงแค่ลู่หยวนคิดขึ้นมาได้ชั่วขณะ ทุกคนก็ล้วนได้รับพลังอันแข็งแกร่งนี้มาโดยไม่ต้องออกแรงแม้แต่น้อย!
นี่แหละคือเทพตัวจริง!
ความเป็นความตาย การมอบพลัง ล้วนขึ้นอยู่กับความคิด
“พลังนี้แข็งแกร่งจริง แต่ก็ยังมีข้อจำกัด”
ลู่หยวนหยุด พลังทั้งหมดที่ลู่หยวนมอบให้ก็พลันสลายหายไปสิ้น
“หากเป็นเทพที่ครอบครองตำแหน่งเทพอย่างแท้จริง ย่อมสามารถสร้างกฎเกณฑ์ได้อย่างไร้ขีดจำกัด แต่ดินแดนแห่งนี้ใกล้จะถึงกาลอวสานแล้ว การสร้างกฎเกณฑ์จึงมีข้อจำกัดทั้งในแง่ของพื้นที่และเวลา”
“นี่คือสาเหตุที่ทำให้เมืองไร้ขอบเขตนี้แปลกประหลาดเช่นนี้”
เมืองไร้ขอบเขตไม่ได้แผ่ขยายไปทั่วเกาะสังหารเซียนอย่างไร้ทิศทาง แต่กลับแบ่งเขตแดนอย่างเป็นระเบียบ ถือเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเทพ แม้แต่เหล่าอสูรกายก็จะปรากฏตัวเป็นรูปร่างได้ก็ต่อเมื่อยามราตรีมาเยือน
“ตราบใดที่ยังไม่ได้ครองตำแหน่งเทพ ข้อจำกัดนี้ก็ยังคงอยู่!”
“ศึกตัดสิน… บัดนี้ได้เปิดฉากขึ้นแล้ว…”
ลู่หยวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับกำลังประกาศบางอย่าง
…
ภายในแดนเซียน เหล่ามหาจักรพรรดิต่างแยกย้ายกันไปหลังจากตัดสินใจแน่วแน่แล้ว
เพราะในเวลานี้ อาวุธเทพของพวกเขาล้วนถูกแย่งชิงไป แม้แต่หุ่นดินเหนียวก็ต้องรู้สึกโกรธแค้น ไม่ต้องพูดถึงเหล่ามหาจักรพรรดิผู้สูงส่งเหล่านี้!
พวกเขาย่อมมีวิธีการของตนเอง ไม่ใช่ว่าการถูกแย่งชิงอาวุธเทพไปแล้ว จะทำให้สูญเสียพลังการต่อสู้ไปบางส่วนจนไม่อาจทดแทนได้
ในบรรดาเหล่านั้น มหาจักรพรรดิเหยาจีกลับมายังดินแดนของตนเอง เพิ่งจะเข้าสู่ตำหนักก็มีคนมารายงานด้วยท่าทีร้อนรนว่าที่ดินแดนแห่งเทพธิดาแห่งสงครามเกิดความเปลี่ยนแปลง!
ทันใดนั้นร่างของมหาจักรพรรดิเหยาจีก็หายวับไป ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ณ วิหารแห่งหนึ่ง
ภายในวิหาร ในเวลานี้ยังคงมีเด็กหนุ่มสาวมากมายผู้มีพรสวรรค์กำลังรวบรวมพลังของตนเพื่อช่วยให้เทพธิดาแห่งสงครามได้ฟื้นคืน!
มหาจักรพรรดินีเหยาจีไม่แม้แต่จะชายตามองพวกเขาแม้เพียงนิด อากาศสั่นไหวเพียงครู่เดียว ร่างของนางปรากฏอยู่เคียงข้างกับเทพธิดาแห่งสงคราม
ในยามนี้ เทพธิดาแห่งสงครามถูกพลังศักดิ์สิทธิ์สีเขียวมรกตรองรับอยู่ หากเข้าไปใกล้ก็จะพบว่าภายในแสงสีเขียวมรกตนั้น มีบสงอย่างไหลเวียนอบู่ด้วยพลังแห่งวิถีอันลึกล้ำราวกับพลังแห่งสวรรค์จนผู้คนไม่อาจหยั่งรู้ได้ว่าแท้จริงแล้วพลังนี้เป็นพลังชนิดใด
มหาจักรพรรดินีเหยาจียืนอยู่เคียงข้างเทพธิดาแห่งสงครามมองเห็นว่า ตอนนี้ เทพธิดาแห่งสงครามใกล้จะฟื้นคืนสติแล้ว ใบหน้างดงามหาที่เปรียบหาที่ไม่ได้ คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเล็กน้อยราวกับสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง พลังที่อยู่รอบกายพลันพลุ่งพล่าน!
คลื่นพลังนี้รุนแรงยิ่งนัก หนุ่มสาวที่กำลังทุ่มเทกำลังของตนเพื่อช่วยเหลือเทพธิดาแห่งสงครามล้วนไม่อาจต้านทานได้ พวกเขาต่างพากันกระอักเลือด ก่อนจะล้มลงไปกองกับพื้น
นางกำนัลรีบเข้ามาประคองร่างของหนุ่มสาวเหล่านั้นออกไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็มีคนอื่นเข้ามาแทนที่พลังที่หลั่งไหลเข้าสู่วิหารไม่เคยขาดสาย!
เมื่อมหาจักรพรรดินีเหยาจีเห็นเทพธิดาแห่งสงครามเป็นเช่นนี้ นางก็ยิ้มออกมาด้วยความพอใจ
ท่าทางของเทพธิดาแห่งสงครามเป็นแบบนี้ ดูเหมือนว่านางจะสามารถฟื้นคืนสติได้ทันการต่อสู้ระหว่างลู่หยวนและซ่งชิงอย่างแน่นอน!
เทพธิดาแห่งสงครามผู้นี้ คือไพ่ตายใบสุดท้ายของมหาจักรพรรดินีเหยาจี หากเทพธิดาแห่งสงครามฟื้นคืนสติและเรียกพลังกลับคืนมา บรรดาจักรพรรดิในแดนเซียนก็ไม่มีผู้ใดกล้าต่อกรกับนางเพียงลำพัง!
“ศิษย์พี่ เมื่อใดที่เจ้าฟื้นขึ้น เจ้าจะพบว่า โลกใบนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว…”
มหาจักรพรรดิเหยาจีพึมพำกับตนเอง น้ำเสียงแฝงความรู้สึกนึกคิด “ทว่าบางสิ่งก็ยังคงไม่แปรเปลี่ยน นั่นก็คือผลประโยชน์ของพวกเรา ศิษย์พี่ หากต้องใช้ทุกสิ่งทุกอย่างของเจ้าแลกกับการที่ข้าก้าวสู่ความยิ่งใหญ่ได้ในคราเดียว เจ้าจะยอมทำให้สำเร็จหรือไม่…”
ทั่วทั้งวิหาร เหล่าองค์รักษ์ทั้งสี่ทิศและเด็กหนุ่มสาวที่ทุ่มเทพลังของตน ต่างได้ยินวาจาของมหาจักรพรรดินีเหยาจี แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าตอบ
โถงวิหารอันกว้างใหญ่เงียบสงัดดุจน้ำ ไร้เสียงตอบกลับใด ๆ
ภายในดวงตาของมหาจักรพรรดินีเหยาจีเต็มไปด้วยความมืดมน ไม่อาจคาดเดาได้ว่ากำลังครุ่นคิดสิ่งใดอยู่ ผ่านไปครู่หนึ่ง จึงสั่งให้คนดูแลสถานที่แห่งนี้อย่างเข้มงวด หากเทพธิดาแห่งสงครามมีการเคลื่อนไหวใด ๆ ให้นำความมาบอกนางทันที
จากนั้น มหาจักรพรรดินีเหยาจีก็กลับไปยังตำหนักของตน
ภายในตำหนัก มหาจักรพรรดิเหยาจีประทับอยู่บนบัลลังก์อันโอ่อ่าเพียงลำพัง ตำหนักทั้งหลังถูกห่อหุ้มด้วยพลังจากร่างกายของนาง ด้านนอกตำหนักมีพลังที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะหมุนวนคุ้มกัน ไม่มีผู้ใดเฉียดเข้าใกล้ได้แม้เพียงน้อย!
ทว่าในตอนนี้ เมื่อเสียงโซ่ตรวนลากไปกับพื้นดังขึ้นจากมุมมืดแห่งนั้น ก็ปรากฏร่างระหงก้าวออกมา แสงสว่างสาดส่องใบหน้าของนางเผยให้เห็นว่านางมีรูปโฉมงดงามราวกับคนคนเดียวกันกับมหาจักรพรรดินีหยาจีที่ประทับอยู่บนบัลลังก์!
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีรูปลักษณ์จะเหมือนกันราวกับฝ่าฝืน หากมีผู้พบเห็นทั้งสองในตอนนี้ก็จะไม่มีทางจำผิดตัวเป็นอันขาด
เพราะใบหน้าของมหาจักรพรรดินีเหยาจีมักแสดงออกถึงความโอหังเหนือโลก ในขณะที่สตรีตรงหน้ากลับมีบรรยากาศของความอ้างว้างเดียวดาย ดวงตาทั้งสองข้างราวกับสิ่งไร้ชีวิต ไร้ซึ่งความรู้สึกใด ๆ
ร่างกายของนางปกปิดด้วยอาภรณ์ธรรมดา สิ่งที่สะดุดตาคือบริเวณข้อเท้าของนาง มีโซ่ตรวนเส้นหนาเท่าแขนพันธนาการไว้แล้วบนโซ่ตรวนยังปรากฏอักขระยันต์ลึกลับกะพริบวาบขึ้นและดับลงเป็นระยะ
น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ตอนนี้สตรีผู้นี้แม้ไร้ซึ่งกระแสพลังปราณ แต่กลับแผ่รัศมีแห่งอำนาจน่าเกรงขาม ยิ่งกว่ามหาจักรพรรดินีเหยาจี ผู้ประทับเหนือบัลลังก์ห่มคลุมด้วยอาภรณ์ล้ำค่าเสียอีก!
ดูเหมือนมหาจักรพรรดินีเหยาจีทรงรอคอยการปรากฏกายของนางอยู่แล้ว บัดนี้จึงมองตรงไปยังนาง
“มาหาข้า มีเรื่องอันใด?”
สตรีนางนั้นเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบเย็นชา
มหาจักรพรรดินีเหยาจียิ้มให้แล้วจึงเอ่ย “เหตุใดพี่หญิงจึงเย็นชาเยี่ยงนี้ พวกเรามีสายเลือดเดียวกันไม่ใช่หรือ”
สตรีนางนั้นได้ยินดังนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองมหาจักรพรรดินีเหยาจี ดวงตานิ่งเฉยราวกับไร้วิญญาณฉายแววเย้ยหยัน “สายเลือดเดียวกันรึ? หากไม่ใช่ข้าก้าวขึ้นสู่บัลลังก์มหาจักรพรรดิก่อน เจ้าจะใส่ใจสายเลือดระหว่างเราหรือ ไร้สาระ บอกข้ามา มีเรื่องอันใดกันแน่”
มหาจักรพรรดินีเหยาจีเก็บซ่อนอารมณ์ไว้แล้วเอ่ยว่า “ข้าต้องการให้เจ้าสละวิญญาณเทวะของเจ้า นำทางข้าไปพบกับวิญญาณกระบี่ไท่อี”
สิ้นคำ สตรีผู้มีดวงตาไร้แววก็กลับเปล่งประกาย นางจ้องมองมหาจักรพรรดินีเหยาจีมุมปากยกยิ้มเย้ยหยัน “ว่าอย่างไรนะ?! เจ้าไร้ค่าถึงขั้นคุมสถานการณ์ไม่อยู่แล้วรึ?”