ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 638 ประหาร
บทที่ 638 ประหาร
บทที่ 638 ประหาร
ทั้งสองไม่รู้ว่าเหตุใด ลู่หยวนจึงถามเช่นนี้ ต่างพากันงงงวยสบตากันไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี
ลู่หยวนโยนเจี่ยวหลิ่วเอ่อร์ที่นำมาด้วยให้ทั้งสอง จากนั้นกล่าวว่า “อะไรคือเทพเจ้า? เข้าใจหรือไม่?”
ทั้งสองยื่นมือรับตัวนางสบตากันอีกครั้ง ต่างเห็นความสับสนในดวงตาของกันและกัน
เซียวเทียนลองตอบอย่างระมัดระวังว่า “พลังที่แข็งแกร่งเหนือใคร สามารถข่มขี่ผู้คนได้ นั่นคือเทพเจ้า!”
ฮ่วนซิงไป๋คิดสักครู่ส่ายหน้าปฏิเสธความคิดของ เซียวเทียน “หากเป็นเช่นนั้น พลังของบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่ก็สามารถข่มขี่ผู้คนในแผ่นดินหยวนหง ได้แล้ว ไม่มีผู้ใดเหนือกว่าท่าน แล้วเหตุใดท่านจึงไม่ใช่เทพเจ้าเล่า?”
ฮ่วนซิงไป๋คิดแล้วกล่าวว่า “เทพเจ้ากับพลังแห่งวิถีเดินทางไปด้วยกัน ตำแหน่งของพลังแห่งวิถี กับเทพเจ้าน่าจะคงที่ หากได้แก่นแท้ของพลังแห่งวิถีก้าวขึ้นสู่พลังแห่งวิถี เรียกว่า พลังแห่งวิถี หากได้รับการยอมรับจากตำแหน่งเทพ เทพใหม่แทนที่เทพเก่า ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งเทพ เรียกว่าเทพเจ้า?”
ลู่หยวนส่ายหน้ามองทั้งสอง ดูลึกซึ้งยิ่งค่อย ๆ กล่าวว่า “ได้รับตำแหน่งเทพ ก้าวขึ้นสู่เทพ นั่นคือเทพแท้จริง! ผู้ที่สามารถควบคุมใจคนได้แต่ก็เรียกว่าเทพเจ้านั่นคือเทพปลอม! ในเมืองไร้ขอบเขตนี้ มีเทพปลอมที่ควบคุมใจคนอยู่หนึ่งองค์!”
ทั้งสองได้ยินดังนั้นต่างไม่เข้าใจ
ไม่ใช่ว่าในเมืองไร้ขอบเขตนี้ มีเทพเจ้าอยู่หนึ่งองค์หรอกหรือ?
เหตุใดตอนนี้มาถึงบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่กลับบอกว่าเป็นเทพปลอมไปแล้ว?
ลู่หยวนหันหลัง กระโจนเข้าไปในถ้ำนั้นทันที แสงวาบสว่างในถ้ำนั้น ทันใดนั้นก็ปล่อยแรงดูดออกมาอย่างรุนแรงดูดทุกคนเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ฟึ่บ!
แสงสว่างอ่อนโยนส่องรอบตัวทุกคน ก่อนจะดึงทุกคนจากหลุมลึกมืดมิดเข้าสู่แสงอันอบอุ่นทันที
ฮ่วนซิงไป๋กับเซียวเทียนพักสักครู่จึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้น
ทุกอย่างตรงหน้าเปลี่ยนแปลงไปราวฟ้ากลับดิน เห็นตรงหน้าไม่ใช่ถ้ำที่กว้างใหญ่ไพศาลอีกต่อไป กลับเป็นอาณาจักรอิสระขนาดใหญ่
แสงที่ส่องมาจากที่ไหนไม่รู้ ฉายแสงลงมายังโลกนี้ จากเบื้องบนสูง ยังมีวิหารหลังใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ในอวกาศ
วิหารนั้นเปล่งประกายหมื่นจั้ง รอบด้านมีหมอกเซียนลอยคว้างในอวกาศว่างเปล่า และยังมีสัตว์ร้ายไม่ทราบชื่อบางตัวว่ายเวียนอยู่ในอากาศ ราวกับอยู่ในโลกอิสระไร้ข้อจำกัด
ลู่หยวนเลิกคิ้วขึ้นและร่อนลงไปบนวิหารนั้น
ขณะที่ทุกคนกำลังสำรวจวิหารก็มีเสียงน่าเกรงขามดังขึ้นหลายเสียงราวกับเทพเจ้าเอ่ย
“ผู้มาเยือน เจ้าเป็นผู้ใด?!”
ภายใต้เสียงนั้นปกคลุมด้วยเสียงฟ้าร้องกึกก้อง ราวกับเทพเจ้าทรงพิโรธ มีเสียงฟ้าร้องกระหึ่มลงมา
เสียงเช่นนี้ แม้แต่เจี่ยวหลิ่วเอ่อร์ก็ไม่เคยได้ยินจึงหดคอในดวงตาเผยความงุนงง
โลกแห่งนี้นางดูเหมือนไม่เคยเห็นมาก่อน!
วิหารแห่งนี้ ยิ่งทำให้นางแปลกใจยิ่งนัก นางก็ถือว่าเป็นบุคคลในเมืองไร้ขอบเขตนี้ ไม่ได้ว่าจะสูงส่งเพียงใด อย่างน้อยก็มีชื่อเสียงอยู่ต่อหน้าท่านเทพเจ้า จึงสามารถเข้าออกหลายที่ได้ แต่ไม่ว่าหอไร้ขอบเขตจะมีสถานที่มากมายเพียงใด นางก็ไม่เคยเห็นสถานที่เช่นนี้มาก่อน!
เสียงน่าเกรงขามนั้นจางหายไป ลู่หยวนเงยหน้าเห็นดวงตาทอประกายน่าเกรงขามลงมาทันใด!
ฟ้าดินเปลี่ยนสีฉับพลัน ทั่วทั้งเมืองไร้ขอบเขตที่มืดมิด เมฆค่อย ๆ เคลื่อนออกเผยให้เห็นแสงสว่างริบหรี่ สัตว์ประหลาดที่วนเวียนอยู่ทั่วเมืองไร้ขอบเขตก็เริ่มสลายตัวไปทีละน้อย
แต่แสงที่ส่องทั่วฟ้าดินในโลกนี้กลับมืดลงเพราะพลังของลู่หยวนที่ปล่อยลงมา
“รีบสั่งให้ผู้ที่อ้างตนเป็นเทพเจ้าออกมาพบข้าเดี๋ยวนี้!”
เสียงเย้ยหยันของลู่หยวนดังก้องไปทั่วแดนในพริบตา
“หยาบคาย! พวกเจ้ากล้าดูถูกพวกข้าเช่นนี้หรือ?!”
เสียงอันทรงอำนาจดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อเสียงจางหายไป
ทั้งฟ้าดินสั่นสะเทือนไปทั่ว มือขนาดมหึมาสองข้างโผล่ออกมาจากหลังวิหารทุบลงบนพื้นดินอย่างแรง
ตู้ม!
พื้นดินสั่นสะเทือนไม่หยุดราวกับจะแตกสลายได้ทุกเมื่อ
ร่างมหึมาสองร่างลอยขึ้นมาจากหลังวิหาร
ร่างทั้งสองนั้นเปล่งประกายเจิดจ้าสวมใส่ชุดอันทรงอำนาจ รูปโฉมก็น่าเกรงขามจ้องมองลงมาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยโทสะท่าทางสง่างามดุจเทพเจ้า
ร่างมหึมานั้นทอดเงาบนท้องฟ้า มองลงมาเบื้องล่าง ราวกับเทพเจ้ากำลังดูถูกปุถุชนในโลกมนุษย์
ในสองร่างนั้น ร่างหนึ่งถือกระบี่ปักลงบนพื้น แสงเปล่งประกายระยิบระยับ ถึงแม้กระบี่จะยังไม่ถูกชักออกมา แต่ก็สัมผัสได้ถึงพลังอำนาจที่กดดันจิตใจผู้คน!
ส่วนอีกร่างหนึ่งยกมือขึ้นถือหอคอยไว้ หอคอยนั้นมีเจ็ดสีระยิบระยับเปล่งประกายรุ้งราวกับสมบัติล้ำค่าที่ไร้ผู้ต้านทานในโลก สมบัติทั้งปวงต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของมัน!
ในขณะที่ร่างทั้งสองปรากฏขึ้น ฮ่วนซิงไป๋และ เซียวเทียนก็รู้สึกถึงแรงกดดันที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน
กระบี่นั้นปรากฏขึ้นกลางอากาศ ล้อมรอบฮ่วนซิงไป๋แม้แต่พลังดาบเฉพาะตัวของกู่อี้เจี้ยนก็ถูกบังคับให้หยุดนิ่ง ถึงแม้ฮ่วนซิงไป๋จะพยายามเคลื่อนไหวมันด้วยตนเองก็ทำไม่ได้!
ส่วนเซียวเทียนแบกกระบี่ยักษ์ไว้ข้างหลัง แต่เพราะกระบี่นั้นปรากฏขึ้นจึงถูกตัดขาดจาก เจตจำนงกระบี่โดยสิ้นเชิง!
ด้วยการมีอยู่ของหอคอยทำให้ทั้งสองไม่สามารถใช้สมบัติของตนเองเพื่อต่อกรได้!
ทั้งสองยืนอยู่ที่เดิม มองร่างมหึมาที่เกือบจะเต็มท้องฟ้าในใจรู้สึกตื่นตะลึงยิ่งนัก
นี่คือเทพเจ้าหรือ?!
หากวันนี้พวกเขาทั้งสองต้องเผชิญหน้ากับเทพเจ้าทั้งสอง เกรงว่าจะต้องตายอย่างแน่นอน!
ส่วนลู่หยวนยังคงยืนอยู่ข้างหน้าทุกคน ไพล่หลัง ถึงแม้ร่างมหึมาทั้งสองจะลงมายังโลกมนุษย์ แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความดูถูกอันไร้ขอบเขตในดวงตาของลู่หยวนได้
เขาก้าวออกไปหนึ่งก้าว เดินไปหาร่างมหึมาทั้งสอง!
“บุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่!”
ฮ่วนซิงไป๋และเซียวเทียนร้องเรียกออกมาพร้อมกัน ต้องให้อีกฝ่ายหยุด
หากเบื้องหน้าเป็นเทพเจ้าแท้ ๆ ถึงแม้ลู่หยวนจะเป็นถึงขั้นครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์แล้วก็ยังลำบากอยู่ดี!
รอสังเกตการณ์ไปก่อนจะดีกว่า!
แต่เสียงของพวกเขาดังขึ้นได้เพียงชั่วขณะ ก็หายวับไปในโลก แม้แต่ตัวพวกเขาเองก็ไม่ได้ยินสิ่งที่ตนพูดออกมา
ทั้งสองตกใจ ต้องการลุกขึ้นวิ่งตามออกไป แต่กลับพบว่า ตนเองไม่สามารถก้าวออกไปได้แม้แต่ก้าวเดียว!
พวกเขาเหมือนถูกเวลาหยุดนิ่งไว้ตรงนี้ ไม่สามารถส่งเสียงใด ๆ ได้ แม้แต่ขยับตัวก็ทำไม่ได้ โดยไม่รู้ตัว พวกเขากลายเป็นเพียงปลาบนเขียงให้คนอื่นเชือดได้ตามใจชอบ
ส่วนเจี่ยวหลิ่วเอ่อร์ที่ถูกโยนลงพื้นนั้น ยิ่งเบิกตากว้างขยับตัวไม่ได้แม้แต่น้อย สายตาจ้องมองไม่กะพริบราวกับกำลังจ้องมองบางสิ่งอย่างเอาเป็นเอาตาย
“ณ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ผู้ใดล่วงเกินเทพเจ้า ย่อมต้องตายหมื่นตาย!”
ร่างทั้งสองพร้อมใจกันประกาศคำตัดสินสุดท้ายใส่ลู่หยวน เสียงอันน่าเกรงขามก้องกังวานจนทั่วโลกต้องสั่นสะเทือน!
เอ่ยจบ ร่างยักษ์ทั้งสองก็ยกอาวุธวิเศษของตนขึ้นพร้อมกัน
คมกระบี่วาววับ แสงเจิดจ้านหมื่นจั้งพุ่งออกจากคมกระบี่มุ่งตรงไปยังลู่หยวน!
หอคอยเจ็ดสีหมุนวน พลังคลุ้มคลั่งจากฟ้าสู่ดินโถมใส่ลู่หยวน ล้อมกรอบลู่หยวนไว้แน่นหนาขังเขาเอาไว้จนหนีไม่พ้น!
ร่างทั้งสองขยับตัวอย่างฉับพลัน เสียงน่าเกรงขามก้องกังวาน “พวกข้า รับคำสั่งจากเทพเจ้าให้ประหารเจ้า ณ ที่แห่งนี้!”