ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 636 เพียงแค่ตัวหมากที่ใช้ทดลอง
บทที่ 636 เพียงแค่ตัวหมากที่ใช้ทดลอง
บทที่ 636 เพียงแค่ตัวหมากที่ใช้ทดลอง
“หึ”
เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังมาจากร่างที่ขวางทางพวกเขาอยู่ไม่ไกล นั่นก็คือ เจี่ยวหลิ่วเอ่อร์
เพียงแค่ได้ยินเสียง พวกเขาก็มั่นใจได้ว่า ผู้ที่ขวางทางอยู่นี้เป็น ‘เจี่ยวหลิ่วเอ่อร์’ อย่างแน่นอน
เพียงแต่ร่างที่อยู่ตรงหน้าพวกเขานั้นสูงถึงสองสามฉื่อ รูปร่างใหญ่โต ดูเหมือนจะครอบครองทางเดินในถ้ำทั้งหมดเลยทีเดียว
รูปร่างเช่นนี้ไม่สอดคล้องกับเจี่ยวหลิ่วเอ่อร์หญิงสาวที่อ่อนโยนงดงามที่พวกเขาเคยพบมาก่อนเลย
“อย่าบอกนะว่าข้ามีความคิดบางอย่าง ปิดบังรูปลักษณ์ของตัวเอง เล่นตลกกับผู้คน ไม่คิดว่าเพิ่งจะเจอกันครั้งแรกก็ถูกเจ้าหนูนี่จับไดเสียแล้ว”
เสียงหวานชวนหลงใหลดังขึ้น ขณะเดียวกันก็เห็นร่างใหญ่โตนั้นสลายตัวไปในพริบตา ฝุ่นควันลอยขึ้น เมื่อปรากฏตัวอีกครั้งสัตว์ประหลาดร่างสูงสองสามฉื่อนั้นก็กลายเป็นเจี่ยวหลิ่วเอ่อร์
เจี่ยวหลิ่วเอ่อร์ยังคงสวมเสื้อผ้าขาดวิ่นห่อหุ้มร่างกายอันงดงามเอาไว้แทบไม่มิด
เมื่อเห็นดังนั้น ลู่หยวนก็ยื่นมือขวาออกไปชัก กระบี่เทวะผนึกสวรรค์ออกมา ปลายกระบี่ชี้ตรงไปยังเจี่ยวหลิ่วเอ่อร์
“ฆ่าเจ้าแล้วก็ผ่านไปได้สินะ”
พลังมหาศาลพุ่งทะยานขึ้นทันใด กดดันจนหอคอยไร้ขอบเขตทั้งหมดเริ่มสั่นสะเทือน
เจี่ยวหลิ่วเอ่อร์รู้สึกว่าร่างกายของตนถูกพลังนับหมื่นนับพันกดทับในชั่วพริบตาเดียว ขยับตัวไม่ได้แม้แต่น้อย ได้แต่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ทนรับการโจมตีอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ในชั่วขณะนั้น เจี่ยวหลิ่วเอ่อร์ก็รู้สึกเหมือนเทพแห่งความตายกำลังยกเคียวขึ้น ทาบลงบนศีรษะของตนเหมือนจะเก็บเกี่ยวชีวิตของนางไปได้ทุกเมื่อ
“ช้าก่อน!”
เจี่ยวหลิ่วเอ่อร์ร้องเสียงดังทันที
ลู่หยวนชะงักกระบี่ในมือมองเจี่ยวหลิ่วเอ่อร์ยิ้มมุมปาก “กระไร? ยังมีคำพูดสุดท้ายอีกรึ?”
เจี่ยวหลิ่วเอ่อร์กลั้นยิ้ม ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มหวาน “ท่านบุตรศักดิ์สิทธิ์พูดเช่นนี้ ข้าไม่ได้มาเป็นศัตรูกับท่าน ครั้งนี้มาเพื่อจะบอกข่าวบางอย่างแก่ท่านเท่านั้น เพื่อให้เดินทางต่อไปได้ง่ายขึ้น ผู้ใดจะไปคิดว่าเพิ่งจะพบหน้ากันเป็นครั้งแรก กำลังจะเล่นตลกกับท่านเสียหน่อยก็ถูกโจมตีเสียแล้ว”
แม้ว่าภายนอกเจี่ยวหลิ่วเอ่อร์จะแสดงท่าทางเอาใจเต็มที่ แต่ในใจกลับมีสีหน้าเคร่งขรึม
วันนี้นางก็เป็นเพียงตัวหมากล่อศัตรูให้เข้ามาลึกเท่านั้น ขอเพียงทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี แล้วหลบหนีไปอีกครั้งก็พอ
ถึงแม้ลู่หยวนจะแสดงความสามารถออกมาแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ก็ไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อการจากไปของนางมากนัก
เจี่ยวหลิ่วเอ่อร์มีความมั่นใจมากขึ้นมองลู่หยวน ด้วยสายตาชวนหลงใหล
“โอ้?”
ลู่หยวนเลิกคิ้ว “เจ้าลองพูดมา”
เจี่ยวหลิ่วเอ่อร์ไม่เสียเวลาพูดขึ้นทันที “ท่านบุตรศักดิ์สิทธิ์ถูกลู่เทียนเฉิงนำมาที่นี่ก็น่าจะรู้ชัดแล้วว่าที่นี่คือจุดศูนย์กลางของเมืองไร้ขอบเขตทั้งหมด เทพเจ้าและผู้นำสัตว์ประหลาดต่างอาศัยอยู่ที่นี่”
“แต่ว่า…”
เจี่ยวหลิ่วเอ่อร์เลิกคิ้วมีสีหน้าสั่นไหวเล็กน้อย เสียงหวานยังคงเอ่ยต่อ “แต่ท่านบุตรศักดิ์สิทธิ์รู้หรือไม่ว่าปลายทางของเส้นทางนี้คือ ลานประหารสัตว์ประหลาดและตอนนี้ผู้นำสัตว์ประหลาดจำนวนมากกำลังรอท่านอยู่ พอท่านไปถึง พวกเขาก็จะฆ่าท่านทันที”
พูดถึงตรงนี้เจี่ยวหลิ่วเอ่อร์ก็มองลู่เทียนเฉิง
“เจ้าลุงคนนี้ช่างไม่หวังดีต่อท่านเลย เกรงว่าตอนที่ตอบรับให้ท่านมาก็คงวางแผนไว้แล้ว หวังให้ท่านมาตายที่นี่”
“คนที่ทรยศต่อท่านเช่นนี้ สมควรตายจริง ๆ!”
ลู่เทียนเฉิงเอามือชี้ไปที่เจี่ยวหลิ่วเอ่อร์ แม้ในดวงตาไม่มีความโกรธ แต่ในคำพูดก็มีความร้อนรนที่จะแก้ต่างมากขึ้น “เจ้าอย่ามายุแหย่ให้แตกแยกกันเลยเจี่ยวหลิ่วเอ่อร์ จุดหมายปลายทางข้างหน้าอยู่ที่ใด เจ้าย่อมรู้ดีกว่าข้า!”
ลู่เทียนเฉิงหันไปมองลู่หยวน “เจี่ยวหลิ่วเอ่อร์มาเพื่อก่อกวนพวกเราแน่ ๆ ต้องฆ่าทิ้งเสีย!”
ทั้งสองฝ่ายต่างมอบสิทธิ์ในการตัดสินใจให้ลู่หยวนและต่างก็บอกว่าอีกฝ่ายสมควรตาย
ลู่หยวนมองทั้งสองคนสลับกันไปมา แกว่งกระบี่ยาวในมือเล่น พูดอย่างสนุกสนาน “พวกเจ้าทั้งสองคนต่างคิดว่าอีกฝ่ายควรตาย? คิดว่าเป็นการทำเพื่อข้างั้นหรือ?”
ทั้งสองพยักหน้ารับทันที
ลู่หยวนหัวเราะเบา ๆ “ถ้าอย่างนั้นก็ง่ายนิดเดียว”
พูดจบลู่หยวนก็หยิบของบางอย่างที่ดูคล้ายเชือกออกมา
เชือกเส้นนี้เปล่งประกายวาววับราวกับมีพลังบางอย่างที่ไม่ได้มาจากโลกนี้ เพียงแค่มีอยู่ก็ทำให้ทุกคนรู้สึกหวาดกลัวจากก้นบึ้งของหัวใจได้แล้ว
ราวกับว่าเชือกเส้นเดียวนี้สามารถให้กำเนิดโลกใบนี้ได้ ทรงพลังและสูงส่งยิ่งนัก
สิ่งที่ลู่หยวนถืออยู่ในมือก็คืออาวุธวิเศษชิ้นหนึ่งที่เขาเคยขู่กรรโชกเอาจากวิถีโบราณนั่นเอง
ลู่หยวนเงยหน้าขึ้นมองเจี่ยวหลิ่วเอ่อร์ปล่อยมือแล้วเอ่ยว่า “ไป!”
เชือกในมือก็หายวับไปในพริบตาและปรากฏขึ้นข้างกายเจี่ยวหลิ่วเอ่อร์ในอีกพริบตาถัดมา
เชือกขดเป็นวงคดเคี้ยวราวกับมังกรเกล็ดกำลังหมุนวนพุ่งเข้าโจมตีในทันที มัดเจี่ยวหลิ่วเอ่อร์ไว้อย่างแน่นหนา
“หืม?”
เจี่ยวหลิ่วเอ่อร์ยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็ถูกเชือกมัดไว้จนขยับไม่ได้
นางชะงักไปครู่หนึ่งพยายามดิ้นหลายครั้ง แต่ก็พบว่าไม่อาจหลุดออกมาได้เลย แม้แต่พลังของหอไร้ขอบที่อยู่ในตัวนางก็ยังค่อย ๆ จางหายไป
การมาครั้งนี้ของเจี่ยวหลิ่วเอ่อร์ก็เป็นคำสั่งจากผู้นำสัตว์ประหลาด
นางเป็นคนที่รักชีวิตอยู่แล้ว ถึงแม้ผู้นำสัตว์ประหลาดจะสั่งนางก็ปฏิเสธได้ แต่ผู้นำสัตว์ประหลาดได้ชี้แจงถึงผลดีผลเสียและบอกว่าเมื่อเข้าไปในหอไร้ขอบแล้วจะมีพลังของหอไร้ขอบคุ้มครอง ต่อให้ลู่หยวนจะมีวิชาสูงส่งเพียงใด ก็ไม่อาจทำร้ายเจี่ยวหลิ่วเอ่อร์ได้แม้แต่น้อย
เจี่ยวหลิ่วเอ่อร์จึงตัดสินใจมาพบกับลู่หยวน
เมื่อได้พบลู่หยวนแล้ว เจี่ยวหลิ่วเอ่อร์ก็รู้สึกได้ถึงพลังในตัวนางที่หลอมรวมกับพลังของหอไร้ขอบ หากจะหนีไป ก็เป็นเรื่องง่ายดาย นางจึงสงบใจลง ตั้งใจจะทำเรื่องที่เหลือต่อไป
แต่ใครจะคิดว่าจะถูกลู่หยวนใช้เชือกเส้นเดียวมัดไว้ได้ เชือกนี้ไม่รู้ว่ามีที่มาอย่างไร แต่กลับทำลายพลังของหอไร้ขอบที่อยู่ในตัวนางได้
ตอนนี้นาง เหมือนเต่าในหม้อถูกจับได้ง่ายดาย!
ลู่หยวนดึงเชือกนั้น แล้วออกแรงครั้งหนึ่ง เจี่ยวหลิ่วเอ่อร์ก็ถูกลากมาทันที ถูกลากมาจนถึงตรงหน้าลู่หยวน
ลู่หยวนกระชากเชือก รอยยิ้มในดวงตายิ่งเจิดจ้า “เจี่ยวหลิ่วเอ่อร์ ไม่ว่าอย่างไร จุดประสงค์ที่เจ้ามาที่นี่ก็บรรลุแล้ว”
เจี่ยวหลิ่วเอ่อร์เงยหน้าขึ้นมา ในใจกำลังคิดถึงความหมายของลู่หยวน
จุดประสงค์ที่มา?!
ก็ยังไม่ได้บรรลุเลยนี่!
ท่านผู้นำสัตว์ประหลาดกล่าวว่าต้องการให้นางใช้วิธีบางอย่าง เพื่อดูว่าจะทำให้ลู่หยวนสูญเสียความไว้วางใจในตัวลู่เทียนเฉิง
หากไม่สามารถทำให้ทั้งสองแตกแยกได้ ก็ให้หาวิธีทำให้ลู่หยวนก้าวเข้าไปในพื้นที่อันตรายที่สุดของหอคือพื้นที่ประหาร!
แต่ลู่หยวนไม่ได้สงสัยในตัวลู่เทียนเฉิงเลยและไม่ได้ต้องการที่จะเดินตามทางที่นางนำ
จะมีจุดประสงค์ใดที่สำเร็จได้เล่า?
เจี่ยวหลิ่วเออร์เข้าใจตัวเองดีที่สุด หากลู่หยวน ควบคุมนางไว้ บังคับถามสักครู่นางอาจจะเปิดเผยทุกอย่างออกมาก็ได้
เสียงหัวเราะของลู่หยวนยังคงดังอยู่ข้างหูของเจี่ยวหลิ่วเออร์ “เจ้าเป็นเพียงตัวหมากที่ท่านผู้นำสัตว์ประหลาดโยนออกมาเพื่อทดสอบข้าเท่านั้น พวกเขาแค่อยากจะดูว่า หลังจากที่เจ้าได้รับพลังประหลาดเมื่อครู่แล้ว เจ้ายังจะได้รับความโปรดปรานจากข้าอีกหรือไม่?”
“และคำตอบนี้ก็ถูกส่งกลับไปแล้ว เจ้าตัวหมากนี่จึงไร้ประโยชน์ ควรจะทิ้งไปเสีย”