ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา - บทที่ 620 ลู่เทียนเฟิ่งสิ้นชีพจึงส่งยันต์คืน
บทที่ 620 ลู่เทียนเฟิ่งสิ้นชีพจึงส่งยันต์คืน
บทที่ 620 ลู่เทียนเฟิ่งสิ้นชีพจึงส่งยันต์คืน
“เฮอะ ไอ้เฒ่าไม่อยากตาย ข้าไม่ต้องการให้เจ้าบอกหรอก ข้าดูเองได้!”
พูดจบ พลังมารที่อยู่ในมือของลู่หยวนก็เข้มข้นยิ่งขึ้น ในพริบตาก็ทะลุทะลวงร่างของลู่เทียนเฟิ่ง
ดวงตาของลู่เทียนเฟิ่งเบิกกว้าง อ้าปากกว้างอยากจะส่งเสียงออกมา แต่ทวารทั้งเจ็ดของเขาพลังมารครอบครองจนหมดสิ้น ไม่อาจเปล่งเสียงใด ๆ ออกมาได้เลย
หลังจากนั้นเพียงชั่วขณะ ลู่เทียนเฟิ่งก็ไม่มีแรงดิ้นรนอีกต่อไป ยืนนิ่งราวกับศพเดินได้
ในจิตเทวะของลู่หยวน ปรากฏความทรงจำบางอย่างที่ไม่ใช่ของลู่หยวนขึ้นมา
หลังจากนั้นไม่กี่ลมหายใจ ลู่หยวนก็ค่อย ๆ หลับตาลงรับเอาความทรงจำของลู่เทียนเฟิ่งมาไว้ทั้งหมด
เมื่อดูคร่าว ๆ แล้วลู่หยวนก็ลืมตาขึ้น
ด้านข้าง ร่างของลู่เทียนเฟิ่งถูกพลังมารกัดกินจนเกือบหมดแล้ว
กู้ชิงหรันเห็นดังนั้นก็รู้ว่าลู่เทียนเฟิ่งไร้ประโยชน์แล้ว จึงหยิบแหวนเก็บของของลู่เทียนเฟิ่งมา จากนั้นประสานนิ้วเข้าด้วยกันปล่อยปราณกระบี่ใส่ร่างของลู่เทียนเฟิ่งจนแตกกระจายเป็นผุยผง
ลู่หยวนใช้สองนิ้วหนีบยันต์สื่อสารที่ยังไม่ทันส่งออกไปไว้ สายตาเต็มไปด้วยความเย็นชา
“ช่างน่าสนใจจริง ๆ”
ลู่หยวนเอ่ยประโยคนี้ออกมา
แต่กู้ชิงหรันที่อยู่ด้านข้าง ได้ยินเจตนาฆ่าอย่างหนักแน่นในประโยคนี้ชัดเจน
เจตนาฆ่านี้ซ่อนเร้นอยู่ราวกับมังกรที่ซ่อนตัวอยู่ในเมฆฝนคำรามอยู่ตลอดเวลาพร้อมจะพุ่งลงมาฆ่าฟันได้ทุกเมื่อ ทำลายล้างโลกทั้งใบนี้ให้พินาศสิ้น!
ลู่หยวนออกแรงทำให้ยันต์นั้นแตกกระจายเป็นผุยผงในทันที ก่อนจะหยิบยันต์มาอีกปึกหนึ่งจากแหวนเก็บของของลู่เทียนเฟิ่ง
ครุ่นคิดเล็กน้อย มุมปากของลู่หยวนก็ยกยิ้มเย็นชาขึ้นมา เริ่มขีดเขียนลงบนยันต์นั้น
“วิถีโบราณและลู่หยวนได้พบกันแล้ว สืบทอดพลังโบราณ พลังเพิ่มพูนขึ้นทันที ซ่งชิงก็มาถึงแล้ว สงครามกำลังจะเริ่ม เหล่าผู้อาวุโสรีบมา!”
เมื่อเขียนตัวอักษรตัวสุดท้ายเรียบร้อย ลู่หยวนก็ลบร่องรอยของตนเองออก ใช้ผงธุลีของลู่เทียนเฟิ่งที่ยังลอยอยู่ในอากาศทำให้ยันต์นั้นติดร่องรอยของลู่เทียนเฟิ่ง
ตอนนี้ ในสายตาของลู่หยวนยังคงมีรอยยิ้มเย็นชาปรากฏอยู่
ความทรงจำของลู่เทียนเฟิ่งที่เพิ่งอ่านไปนั้นทำให้เขามีมุมมองต่อโลกนี้เปลี่ยนไปบ้าง
วิญญาณที่ครอบครองร่างของลู่เทียนเฟิ่งนั้น เป็นบรรพบุรุษของตระกูลลู่ ลู่หยวนพอจะมีความทรงจำเกี่ยวกับบรรพบุรุษผู้นี้บ้าง
เหตุผลก็เพราะว่า ในความทรงจำของลู่หยวน ตอนเด็ก ๆ เขามีพรสวรรค์โดดเด่น เมื่อครั้งแสดงพลังยุทธ์ครั้งแรก คนในตระกูลก็เอาเขาไปเปรียบเทียบกับบรรพบุรุษผู้นั้น
ลู่หยวนจึงเกิดความสงสัย ไปสืบค้นเกี่ยวกับผู้อาวุโสผู้นั้นมาบ้าง
ไม่คิดว่าผู้อาวุโสผู้นั้นจะเสียชีวิตตั้งแต่ยังหนุ่มจากการออกท่องเที่ยวครั้งหนึ่ง
แต่แปลกในสถานการณ์เช่นนี้ ตระกูลลู่ที่ปกติแล้วให้ความสำคัญกับคนในตระกูลมาก กลับไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ เลย แม้แต่จัดงานศพอย่างเหมาะสมก็ไม่เคยจัดให้ เพียงแค่ตั้งป้ายชื่อไว้ในศาลเจ้าของตระกูลลู่เท่านั้น
เจ้าของร่างเดิมสืบค้นมาถึงตรงนี้ ก็ไม่ได้สืบต่อไปอีก
แต่ตอนนี้เมื่อนำมารวมกับความทรงจำของ ‘ลู่เทียนเฟิ่ง’ แล้วจึงได้รู้ว่าบรรพบุรุษผู้นั้นถูกลู่ปู้ฝานเลือกให้เป็นกำลังลับของตระกูล จึงได้หายตัวไปจากสายตาผู้คนเช่นนี้
ตั้งแต่นั้นมา ‘บรรพบุรุษ’ ท่านนี้ก็ได้อยู่ร่วมกับพวกองครักษ์ลับที่ถูกเลือกสรรมาอีกหลายคน คอยรับคำสั่งจากลู่ปู้ฟาน
แม้ว่ากายเนื้อของเขาจะสลายไปแล้ว แต่ลู่ปู้ฟานก็ได้ค้นพบวิธีลับที่ทำให้ดวงวิญญาณของเขาไม่ดับสูญ และยังสามารถฝึกฝนต่อไปได้โดยไม่ต้องพึ่งพาร่างกาย
จนกระทั่งตอนนี้ ระดับการฝึกฝนของเขาได้ก้าวเข้าสู่ขั้นอมตยุทธ์แล้ว แต่ถึงแม้จะมีระดับการฝึกฝนเช่นนี้ เมื่อเข้าไปอยู่ในร่างของลู่เทียนเฟิ่ง ก็ยังคงถูกจำกัดอยู่ดี
บรรพบุรุษท่านนี้ทำงานให้ลู่ปู้ฟานมาโดยตลอด จึงพอรู้เรื่องราวของลู่หยวนโดยคร่าว ๆ
ร่างกายของลู่หยวนนี้ กลับถูกปั้นขึ้นมาตามแบบของลู่ปู้ฟานผู้
และในตอนที่วิถีโบราณได้ส่งโอกาสลงมาบน แผ่นดินหยวนหง พวกเขาก็ได้เข้าไปรับเอาโอกาสนั้นอย่างกระตือรือร้นทำให้โอกาสนี้ตกเป็นของตระกูลลู่
ส่วนเหตุผลที่ลู่ปู้ฟานทำเช่นนี้ ก็เพราะต้องการอาศัยความสัมพันธ์ของลู่หยวนในการวางแผน เพื่อที่จะได้ก้าวเข้าสู่อมตยุทธ์
และจากที่ ‘ลู่เทียนเฟิ่ง’ ทราบมา ตระกูลลู่มี บรรพบุรุษชั้นยอดอยู่หลายท่าน หลังจากล่วงลับไปแล้ว ลู่ปู้ฟานก็ได้ใช้วิธีต่าง ๆ เก็บรักษาดวงวิญญาณของพวกเขาเอาไว้ที่แผ่นดินหยวนหง ตอนนี้พวกเขากำลังฝึกฝนอยู่ตามที่ต่าง ๆ ในแผ่นดินหยวนหงอย่างลับ ๆ ก็เพื่อรอคอยโอกาสในครั้งนี้
ตลอดทางที่ลู่หยวนเดินมา เขาแทบจะไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอะไรเลย เพียงแค่รอคอยจนถึงตอนนี้เท่านั้น
เพียงแค่รอจนกระทั่งลู่หยวนก้าวเข้าสู่ครึ่งก้าวสู่เทพยุทธ์ ลู่ปู้ฟานเหมือนจะมั่นใจว่าลู่หยวนจะต้องมาถึงขั้นนี้อย่างแน่นอน
แม้แต่ข่าวเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่แลกมาด้วยการล่มสลายของผู้แข็งแกร่งเกือบครึ่งหนึ่งของตระกูลลู่ ในตอนนั้น ก็ไม่น่าจะทำให้ใครมั่นใจได้ขนาดนั้น ลู่ปู้ฟานผู้นี้ช่างกล้าเสี่ยงจริง ๆ!
ทว่าทุกอย่างที่ลู่ปู้ฟานทำลงไปก็เพียงแค่หวังจะได้ทางรอดจากวิถีโบราณ แล้วก้าวเข้าสู่ขั้นอมตยุทธ์เพื่อสร้างยุคสมัยของตัวเองขึ้นมา
เฮอะ! ในเมื่อเขาอยากจะเข้ามาที่นี่ขนาดนั้นก็ให้มาเดี๋ยวนี้เลยสิ ลู่หยวนอยากจะดูว่าลู่ปู้ฟานที่สะสมกำลังมานานขนาดนี้ จะมีฝีมือแค่ไหน!
ส่วนที่ ‘ลู่เทียนเฟิ่ง’ รู้เรื่องวิถีโบราณจากความทรงจำแล้ว ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ลู่ปู้ฟานบอกเอาไว้
ลู่หยวนโบกมือครั้งหนึ่ง แล้วม่านหมอกพลังมารทั้งหมดก็จางหายไป เกราะป้องกันก็สลายตัวไปเช่นกัน
เฟยซิงรับรู้ได้ในทันทีที่เกราะป้องกันเปิดออกจึงหันไปมอง เห็นเพียงสองคนจากเดิมที่มีสามคน
อีกคนหนึ่ง ไม่เห็นร่องรอยใด ๆ
เฟยซิงมองสายตาเคร่งขรึมของลู่หยวนแล้วก็รู้สึกหวาดหวั่นในใจ จึงไม่กล้าถามอะไร
ไม่นานนัก ฮ่วนซิงไป๋ก็พาเซียวเทียนกลับมา เมื่อไม่เห็นร่างของลู่เทียนเฟิ่งทั้งสองก็ไม่ได้ถามอะไรเช่นกันราวกับเป็นเรื่องปกติ แล้วเล่าถึงสถานการณ์โดยรอบทันที
เมื่อครู่ตอนที่พวกเขาเดินสำรวจรอบ ๆ ไม่คิดว่าจะได้พบเบาะแสบางอย่างจริง ๆ
“บุตรศักดิ์สิทธิ์ดูเหมือนจะมีสิ่งปลูกสร้างอยู่ทางทิศตะวันออก ข้ากับเซียวเทียนลองไปสำรวจดูผิวเผิน เห็นเหมือนจะมีคนเฝ้าอยู่ที่นั่น แต่ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใด”
ลู่หยวนได้ยินดังนั้นก็ยกคิ้วขึ้น “หืม? ไปดูเสียหน่อย”
“ได้เลย!”
ฮ่วนซิงไป๋กับคนอื่น ๆ ตอบรับในทันที แล้วทั้งหมดก็รีบเหาะไปยังทิศทางที่ฮ่วนซิงไป๋ชี้…
ตราสัญลักษณ์ที่มีตัวอักษร ซึ่งลู่หยวนเขียนไว้ถูกส่งไปยังตระกูลลู่ ลู่ปู้ฟานกำมันเอาไว้ในมืออ่านทีละตัวอักษร
ตอนนี้ในเกาะเมฆาไม่ได้มีเพียงลู่ปู้ฟานเพียงคนเดียว ท่ามกลางเมฆหนาแน่น เห็นเงาร่างของผู้คนอีกหลายสิบคนอย่างราง ๆ คนเหล่านี้มีจิตเทวะอันแข็งแกร่ง ดูเหมือนจะมีดวงวิญญาณที่ทรงพลังอย่างยิ่ง!
“เป็นอย่างไรบ้าง? ส่งข่าวกลับมาว่ากระไร?”
เสียงทุ้มลึกดังขึ้นมาจากท่ามกลางเมฆหมอก ถามขึ้น
ลู่ปู้ฝานส่งยันต์สื่อสารไปยังมือของคนเหล่านั้น ให้พวกเขาแต่ละคนได้ดู
“ดีมาก ถึงเวลาแล้ว!”
หลังจากที่คนหนึ่งดูยันต์นี้เสร็จ เขาก็ยิ้มและพูดขึ้นมาด้วยความดีใจอย่างยิ่ง
คนที่เหลืออีกสองสามคนก็พยักหน้า พวกเขาซ่อนตัวอยู่จนถึงตอนนี้ ในที่สุดก็จะสามารถทำขั้นตอนสุดท้ายนี้ให้สำเร็จเสียที
“เฮอะ ไอ้พวกโง่ นี่มันของที่ลู่หยวนส่งกลับมา!”
ลู่ปู้ฝานพูดขึ้นมา น้ำเสียงของเขาปนความหัวเราะเยาะ